ตอนที่ 371 แยกกันไม่ได้ คนแปลกน่ากังวล
“ใต้เท้าหวังส่งเงินก้อนจินฮวามากมายเข้าเมืองหลวง แต่ใต้เท้าทุกท่านดูสิ ที่ทำการและจวนแห่งนี้เรียบง่ายเช่นนี้ ช่างเป็นผู้มีจิตคิดถึงแต่ส่วนรวมจริงๆ”
“น่าขันที่คนโง่เขลาในเมืองหลวงยังเอาแต่โจมตีใต้เท้าว่าโกงกินขูดรีด ความภักดีต่อแผ่นดินเช่นนี้กลับถูกกระทำเช่นนี้ ไม่ใช่จะทำให้ผู้ภักดีใต้หล้ารู้สึกปวดใจหรอกหรือ?”
“วันนี้ตรวจสอบมาทั้งวัน บัญชีก็ตรงกันทีละแถวแล้ว ไม่พบข้อผิดพลาดใด จะรบกวนอยู่ต่อกันทำไม”
“เสิ่นกงกงกล่าวได้ถูกต้อง ราชสำนักส่งพวกเรามาปฏิบัติงานที่นี่ ก็เพื่อเป็นรางวัลให้พวกเราได้เที่ยวชมฤดูใบไม้ผลิที่เทียนจิน เทียนจินมีงานการมากมาย รีบสรุปให้เสร็จ เสร็จงานแล้ว ก็รีบกลับเมืองหลวงกันเถอะ!”
สีหน้าท่าทางของทั้งสี่เห็นได้ชัดว่าผิดปกติ แต่พวกเขาทั้งหมดยังพูดจาเออออกันเองแสดงท่าทีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เจ้าพนักงานที่มาด้วยกันตอนนี้ยืนอยู่ข้างๆ ก็ย่อมอยากจะกลับไปให้เร็วขึ้น กินข้าวกลางวันเสร็จ อาหารเย็นเห็นชัดว่าอีกฝ่ายไม่คิดจะเลี้ยงรับรอง รีบกลับไปหากอะไรกินให้อิ่มท้องน่าจะดี
ทว่าเมื่อครู่นี้ใต้เท้าทั้งสี่ไม่ได้ประกาศว่าจะสอบคดีใหญ่ด้วยท่าทางเต็มเปี่ยมด้วยคุณธรรมยิ่งใหญ่หรอกหรือ เหตุใดจึงเปลี่ยนท่าที เจ้าพนักงานอายุน้อยผู้หนึ่งกำลังจะเอ่ยถามก็มีคนข้างๆ ดึงเอาไว้
หันกลับไปมอง กลับเห็นว่าคนข้างส่งสายตาดุมาให้ ก็รู้ได้ทันทีว่าไม่ถูกต้องแล้ว จึงไม่กล้ากล่าวอันใดอีก
ใต้เท้าทั้งสี่พูดจาเออออกันจบ พวกเขาทั้งคณะยินยอมมอบตำแหน่งหัวหน้าให้กับกัวผิงกว่างแห่งกรมทหารไปอย่างไม่ต้องเอ่ยวาจา สายตาทุกคนตอนนี้จึงมองไปยังใต้เท้ากัว
พอกัวผิงกว่างกล่าวจบก็นิ่งอึ้งไป ในห้องบรรยากาศอึดอัดเงียบไปนาน มีคนข้างๆ ผลักมาทีหนึ่ง จึงได้สติ รีบลนลานลุกขึ้นยืนกล่าวว่า
“ตรวจสอบถึงตรงนี้เป็นที่สิ้นสุด ทุกท่านกลับไปพักผ่อนกันให้ดี พรุ่งนี้มะรืนนี้เที่ยวเทียนจินกันสองสามวัน”
ไม่ต้องทำงาน และยังได้เดินเที่ยว ใช้เงินทางการอีก ทุกคนก็ย่อมยินดี ทุกคนพากันยิ้มร่าก้มกายรับคำสั่ง ทยอยออกจากห้องไป
ในห้องมีขุนนางบุ๋นสอง ขันทีหนึ่งและนายกองพันหนึ่ง นั่งมองตากันไปมาอยู่ตรงนั้น ต่างเห็นความหนักใจในแววตาของทุกคน ตามธรรมเนียมแล้ว คณะตรวจสอบจะกลับ หวังทงอย่างไรก็ต้องออกมาส่ง แต่ครั้งนี้ ทุกคนกลัวอย่างเดียวว่าหวังทงจะออกมา
นั่งนิ่งกันอีกพักใหญ่ เสิ่นฉุนก็ถอนหายใจกล่าวขึ้นก่อนว่า
“ทุกท่าน อยู่ที่นี่น่าเบื่อ ทุกคนกลับกันก่อนเถอะ!”
ทุกคนพากันลุกขึ้นงงๆ ในใจครุ่นคิดหนัก เดินลากเท้ากันออกจากห้องไป ทหารอารักขาที่ทำการสำนักองครักษ์เสื้อแพรที่นี่ตัวตรงไหล่ตั้ง สีหน้ำเย็นชา คณะตรวจสอบรู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังหัวเราะเยาะดูถูกตน แต่ก็เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ ได้แต่ก้มหน้าเดินจากไป
*********
“ใต้เท้าหวัง คณะตรวจสอบกลับไปแล้ว!”
หวังทงส่งเสียงรับรู้ ทหารด้านนอกก็ไม่กล่าวอันใดต่อ เอกสารในกล่องไม้เป็นข่าวจากแต่ละสายข่าวของสำนักรักษาความสงบในเมืองหลวงสืบมาได้ เจ้าหน้าที่ที่มาตรวจสอบที่เทียนจินทุกคนต่างก็ถูกจับผิดไว้ไม่น้อย
สายสืบสำนักรักษาความสงบเริ่มค่อยๆ สยายปีกออก ขยายวงกว้างขึ้น ตั้งแต่ราชสำนักเบื้องบนจนถึงตลาดเบื้องล่าง ก็ล้วนวางสายไว้หมด ครั้งนี้หวังทงส่งจดหมายไปขอความช่วยเหลือ โจวอี้ หลี่เหวินหย่วนและหลี่ว์วั่นไฉทั้งสามคนก็ย่อมเร่งปฏิบัติการให้สำเร็จ
สำนักข่าวกรองที่มีต้นแบบจากองค์กรที่สมัยใหม่เช่นนี้ ถึงเวลาใช้งานจริง ประสิทธิภาพย่อมน่าเกรงขามยิ่ง
ยิ่งไปกว่านั้นพวกขุนนางบุ๋นไร้สามารถ ที่เรียกว่าหน้าขุนนางใจสัตว์ป่า พวกที่มาผู้ใดบ้างใสสะอาด การหาข้อพบพร่องนั้นง่ายมาก
การกล่าวถึงจุดอ่อนออกมา พวกที่ดูว่ามั่นใจเต็มร้อยก็ต้องตกอยู่ใต้ความหวาดกลัวทันที หลุดอาการออกมาต่อหน้า ทำให้หวังทงรู้สึกราวกับว่าอยู่ในที่สูงส่งพร้อมอำนาจในมือ ตัดสินความเป็นความตายพวกเขาอย่างไรอย่างนั้น
กล่องไม้ที่ใส่เอกสารใบนั้นขนาดใหญ่มาก นอกจากเอกสารของสี่คน ยังมีอีกหลายคนในคณะตรวจสอบทั้งหมดนี่เป็นความน่ากลัวของสายข่าวสำนักรักษาความสงบ
พอหวังทงใส่กุญแจกล่องไม้เสร็จ ก็ถอนหายใจยาว วันนี้เอาเรื่องพวกนี้มารับมือคนเหล่านี้ พรุ่งนี้บางทีอาจจะต้องถูกผู้อื่นใช้วิธีการเช่นเดียวกันมาต่อกรกับตนบ้าง อย่าได้ปล่อยให้ดาบสองคมนี้ย้อนกลับมาทำลายตนเองก็แล้วกัน
กำลังคิดอยู่นั้น ด้านนอกมีเสียงทหารรายงานดังเข้ามาว่า
“ใต้เท้า มีจดหมายจากเมืองหลวง ขอใต้เท้าออกไปรับ”
คนส่งจดหมายรออยู่นอกห้อง พอเห็นหวังทงออกมา ก็ยื่นให้ด้วยท่าทางนอบน้อม จากนั้นก็เอ่ยว่า
“ใต้เท้าหวัง ใต้เท้าหลี่ว์วั่นไฉกำชับว่าให้รีบส่งม้าด่วนมา บอกว่าใต้เท้ารับจดหมายแล้วก็ให้รีบแกะอ่าน”
หวังทงพยักหน้าและสั่งให้คนของเขานำคนส่งจดหมายไปพักผ่อน เขาหยิบจดหมายกลับเข้าห้อง เนื้อหาในจดหมายไม่มาก กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า เบื้องหลังการตรวจสอบนี้ก็คือจางซื่อเหวยแห่งกรมทหาร มีหลี่ซานไฉแห่งกรมอากรที่เมืองหลวงช่วยโหมกระพือข่าว เกรงว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวพันกับการค้าเกลือที่อำเภอชิง เฉียนชุนผิงที่กรมค้าเกลือฉางหลูก็ตายอย่างมีเงื่อนงำ ปีนั้นเฉียนชุนผิงเคยเป็นแขกประจำจวนใต้เท้าจางฮั่นแห่งกรมขุนนาง พอพอเกิดเรื่อง จางซื่อเหวยเป็นผู้เสนอตำแหน่งให้
จดหมายฉบับนี้ดูเหมือนจะคลุมเครือ และไม่ประติดประต่อนัก หากหวังทงกลับอ่านเข้าใจทันที ตะโกนดังออกไปว่า
“เชิญท่านหยางมา รีบไปเร็ว!”
วันนี้แม้ว่าหวังทงจะออกหน้าคนเดียว แต่ลูกน้องคนสำคัญทั้งหมดล้วนรออยู่ในจวนที่ทำการ ทหารนอกประตูรีบไปตาม ไม่นานนักก็มาถึง
พอหยางซือเฉินเดินเข้าประตูมา กำลังจะประสานมือคำนับยินดีกับหวังทงที่พ้นเรื่องตรวจสอบในวันนี้มาได้ แต่เห็นสีหน้าดำคล้ำของหวังทงแล้ว ก็รีบหยุดวาจาเอาไว้
“ท่านหยาง รู้จักเฉียนชุนผิงไหม?”
“ใช่ที่ในเมืองหลวงให้ฉายาว่าบุรุษดำขาวท่านนั้นหรือไม่ เคยเป็นแขกที่จวนเสนาบดีจางฮั่นแห่งกรมขุนนาง ต่อมาจางฮั่นล้มลง เขากลับได้ตำแหน่งไปอยู่กองขนส่งเกลืออะไรนั่นใช่ไหม?”
ตอนนั้นหยางซือเฉินในเมืองหลวงสนใจแต่พิณ เฉียนชุนผิงอาศัยศิลปะการเล่นหมากล้อมกลมดำกลมขาว ล้วนมีชื่อเสียงจากการเป็นแขกของจวนขุนนางใหญ่ ย่อมต้องคุ้นเคยกันอยู่ หวังทงถามถึง เขาจึงได้สติ
หวังทงพยักหน้า ถามต่อว่า
“เฉียนชุนผิงได้ตำแหน่งนายกองกรมขนส่งเกลือ แต่เป็นจางซื่อเหวยกรมทหารเสนอ เรื่องนี้ท่านหยางรู้หรือไม่?”
ตอนหยางซือเฉินเป็นแขกของจวนเสนาบดีกรมพิธีการเซินสือหัง สิ่งที่เขาได้ทำผิดไปก็ล้วนเป็นจางซื่อเหวยบงการ เขาเองก็เป็นคนฉลาด ได้ยินหวังทงถาม ไหนเลยจะไม่เข้าใจ ได้สติขึ้นมาทันที สีหน้าเคร่งเครียด กล่าวเป็นการเป็นงานว่า
“นายท่านเอ่ยขึ้น ข้าก็เริ่มพอนึกออก”
“พวกเราตรวจการลอบค้าเกลือที่อำเภอชิงครั้งนี้เกี่ยวโยงไปถึงกองขนส่งเกลือที่ฉางหลู มีนายกองผู้หนึ่งฆ่าตัวตาย ก็เท่ากับแบกรับความผิดนี้ไว้ผู้เดียว นายกองผู้นี้ก็คือเฉียนชุนผิง จากนั้นในเมืองหลวงก็เริ่มโจมตีข้าราวกระแสคลื่นกระหน่ำ คณะตรวจสอบก็ถูกส่งมาที่นี่……”
หวังทงกล่าวจบ หยางซือเฉินก็เริ่มคิดออก ยืนขึ้นกล่าวอย่างร้อนใจว่า
“หรือว่าเพราะเกี่ยวโยงไปถึงเฉียนชุนผิง จึงล่วงเกินคนผู้หนึ่งเข้า จากนั้นจึงได้สร้างกระแสพวกนี้ขึ้น หรือว่าจะเป็นท่านซือหม่า”
วาจานี้แม้มิได้เอ่ยนาม แต่เสนาบดีกรมทหารกุมอำนาจทหารใต้หล้า ชาวประชาเรียกนามกันทั่วไปว่า ท่านซือหม่า หวังทงพยักหน้าเอ่ยว่า
“ยังมีข่าวอีกสายมาว่า เฉียนชุนผิงตายอย่างมีเงื่อนงำ”
หยางซือเฉินสีหน้าแปรเปลี่ยน ไม่ได้นั่งลงต่อ เอาแต่เดินไปมาพึมพัมกล่าวว่า
“ปกติท่าทางดูเป็นปราชญ์บัณฑิตสูงส่ง ถึงกับมีจิตใจโหดเหี้ยมเช่นนี้……”
พึมพัมสองสามประโยคแล้วก็หยุดเดินหันมากล่าวว่า
“นายท่าน จางซื่อเหวยใช้วิธีการชั่วร้ายเช่นนี้ หนึ่ง คำนวณแม่นยำว่าฝ่าบาททรงไว้วางพระราชหฤทัยในตัวใต้เท้า หากออกหน้าโจมตีเองก็ย่อมทำให้เบื้องบนไม่พอใจ ดังนั้นจึงแอบกระพือลมอยู่ด้านหลัง สอง แน่ใจแล้วว่าใต้เท้ากับเขานั้นไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้ แต่ในเมื่อใต้เท้าเป็นขุนนางคนสนิท ตามหลักแล้วย่อมไม่มีขุนนางคนสนิทใดสามารถชนะราชบัณฑิตใหญ่ได้”
“ก็หมายความว่า เขาจะลงมือไปเรื่อยๆ ได้ ข้าทางนี้ไม่อาจโต้คืนได้ใช่หรือไม่?”
เห็นหยางซือเฉินกล่าวจบด้วยสีหน้าย่ำแย่ หวังทงจึงได้ถามกลับด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ หยางซือเฉินพยักหน้าด้วยสีหน้าย่ำแย่กว่าเดิม
รองมหาอำมาตย์ตัวจริงในคณะเสนาบดีใหญ่ เป็นอันดับสองรองจากจางจวีเจิ้ง ขุนนางระดับสูงสุดเช่นนี้ ได้รับความไว้วางพระทัยจากไทเฮาและความไว้ใจจากจางจวีเจิ้ง กับอีกคนที่เป็นนายกองพันองครักษ์เสื้อแพรถูกส่งไปประจำเทียนจิน เป็นขุนนางคนสนิทที่ฮ่องเต้เริ่มเหินห่าง ถูกบรรดาขุนนางในเมืองหลวงดูแคลน
สถานะสองคนนี้ รวมทั้งอิทธิพลที่มี ต่างกันราวกับฟ้ากับเหว แม้ว่าไม่อยากยอมรับ แต่เรื่องนี้เกรงว่าคงเป็นดังหยางซือเฉินกล่าวมานั่นเอง
หวังทงนั่งเงียบอยู่พักหนึ่ง หยางซือเฉินคิดจะเอ่ยอะไรสักอย่าง แต่ก็คิดไม่ออกว่าควรเอ่ยอันใด เบื้องหน้าที่ห่างกันไกลเกินไป อุบายมากมายล้วนไร้ประโยชน์
หากตนเองเป็นที่ปรึกษา เจ้านายกำลังประสบความยากลำบาก ตนเองกลับไร้ความสามารถช่วยเหลือ หยางซือเฉินรู้สึกละอายยิ่ง กำลังคิดจะกล่าวขึ้น ก็เห็นหวังทงตบมือขึ้นเบาๆ เอ่ยขึ้นก่อนว่า
“อย่างไรก็ไม่อาจปล่อยให้ใต้เท้าจางซื่อเหวยทำตามอำเภอใจ วันนี้เอาจุดอ่อนคนมากมายมาบีบให้จำยอม ใต้เท้าจางเองก็ใช่ว่าเป็นบัณฑิตดีพร้อมอันใด อย่างไรก็น่าหาอะไรมาบีบได้ ท่านหยาง ข้าพูด ท่านเขียน ส่งจดหมายให้ใต้เท้าเซินสือหังสักฉบับ”
***********
วันรุ่งขึ้นเงียบเชียบมาก คณะตรวจสอบไม่มารบกวน เมื่อว่าได้บรรลุ “ความเข้าใจร่วมกัน” ไป ทุกอย่างล้วนทำไปตามระบบทางการ
เอกสารหลังตรวจสอบเสร็จก็ให้เจ้าหน้าที่เขียนเสร็จแล้ว และยังคัดลอกให้หวังทงอ่านชุดหนึ่ง เอกสารรายงานอวยหวังทงกับเทียนจินเสียเลิศเลอ แม้แต่หวังทงที่ปกติเก็บอารมณ์อยู่ ได้อ่านแล้วก็ยังรู้สึกตัวลอย
อย่างไรก็ตาม ดังที่ได้กล่าวไว้ชัดเจนแล้ว เอกสารไร้ความหมาย ทุกคนลงนามยังไม่พอ ยังต้องให้หูจื้อจงลงนามเห็นชอบด้วย ตามธรรมเนียมแล้ว หูจื้อจงนับได้ว่าเป็นหัวหน้าคณะ หากเขาไม่ยอมรับ ก็เท่ากับเสียแรงเปล่า
หวังทงย่อมเข้าใจประเด็นสำคัญนี้ดี แต่เมื่อวานหูจื้อจงไม่มา ทางนั้นร่างเอกสารเสร็จ หูจื้อจงก็ยังไม่ปรากฎตัว ส่งคนมาตามคนไปนำทางเหมือนเดิม แล้วก็ยังไปเที่ยวเตร่นอกเมืองในเมืองเหมือนเดิม
การเดินเที่ยวเตร่นั้นเดิมคิดว่าจะมีอะไรผิดปกติบ้าง แต่คนที่ตามไปด้วยกลับมารายงานว่า หูกงกงผู้นี้เที่ยวไปทั่ว คุยกับคนผ่านไปมา ไปกินอาหารร้านดังหลายร้านที่คลองส่งน้ำและที่แม่น้ำทะเล และยังเดินเข้าออกหลายร้าน และถึงขั้นไปถึงค่ายทหารและป้อมปืนใหญ่
เห็นเช่นนี้แล้ว เรียกได้ว่าเที่ยวเตร่จริง วันที่สอง วันที่สาม วันที่สี่ หูกงกงก็ยังคงเที่ยวเตร่ไปมาทั้งในและนอกเมือง
วันที่ห้า หวังทงทนต่อไปไม่ไหว คิดว่าหากให้เดินเที่ยวเตร่เช่นนี้ต่อไป ไม่สู้ไปถามกันตรงๆ เลยดีกว่า แต่คืนวันที่ห้านั่นเอง หูจื้อจงก็มาเยือนถึงที่ด้วยตนเอง……