ตอนที่ 38 การค้าเจริญรุ่งเรือง
องครักษ์เสื้อแพรในเมืองหลวงประจำเขตต่างๆ ที่ลำบากที่สุดก็คือเขตกำแพงเมือง ที่นั่นไม่มีผู้คนและการค้า เพราะเก็บกวาดจัดการกันจนเป็นที่ว่างเปล่า จึงไม่มีค่าน้ำร้อนน้ำชาอะไรเลย
แต่ชายชรากล่าวมาเช่นนี้ หวังทงกลับไม่ได้ตอบรับ เพียงแค่ยิ้มเท่านั้น ไม่นานก็กวาดล้างลานเสร็จ หวังทงเดินเข้ามาคุยกับลุงเถียนว่า
“ท่านลุง จากวันนี้ไปหากหวังทงสามารถมาได้ก็จะพยายามมาช่วยท่าน แต่ถ้างานยุ่ง ท่านลุงโปรดอภัยข้า คาดว่าอีกหน่อยคงมิอาจปลีกตัวมา…ใช่แล้ว ห่อผ้านี้รบกวนท่านลุงมอบให้ใต้เท้าเถียน หลังจากที่เขาเห็นก็จะทราบเอง”
หากไม่กล่าวให้เข้าใจ ลุงเถียนอาจเข้าใจว่าเขาแล้งน้ำใจ แต่พอได้พูดออกไป ลุงเถียนกลับโบกมือพูดอย่างไม่ใส่ใจนักว่า
“มีงานทำเป็นเรื่องเป็นราวก็ดี ตาแก่อย่างข้ากวาดล้างพื้นคนเดียวเช่นนี้มาหลายปีแล้ว…ห่อผ้านี้หนักเอาการนะ”
หวังทงกล่าวอำลาแล้ว ลุงเถียนก็หยิบห่อผ้ากลับเข้าไปมอบให้เถียนหรงหาว พอเปิดดู กลับเป็นแท่งทองสองสามแท่ง ข้างบนมีกระดาษเขียนแปะไว้
พอให้คนรู้หนังสือมาอ่าน ก็เป็นข้อความว่า “จดจำบุญคุณไว้ ขอใต้เท้าอย่าได้แคลงใจ” เถียนหรงหาวได้ยินว่าหวังทงส่งมาให้ ก็เข้าใจทันที มองปริมาณทองแท่งในนั้นแล้ว มากเกินกว่าที่ตนมอบให้หวังทงไปราว 10 ตำลึง พ่อลูกสบตากันอย่างรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ
เป็นลุงเถียนที่เอ่ยปากก่อนว่า
“เจ้าเด็กนี่อายุยังน้อย แต่รู้ความเช่นนี้ วันหน้าดีไม่ดีเจ้าอาจต้องพึ่งเขา”
นายกองร้อยเถียนรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะเถียงกลับไปว่า
“ท่านพ่อ บ้านเรามีใต้เท้าจางดูแล จะไปมีวันนั้นได้อย่างไร”
“เหลวไหล! บนโลกนี้มีอะไรไม่เปลี่ยนแปลงบ้าง…”
****
หอเลิศรสยังคงเปิดร้านตอนประตูวังเปิดเหมือนเดิม แต่เพิ่งผ่านไปได้แค่หนึ่งชั่วยาม จางซื่อเฉียงก็รีบเรียกบรรดาพ่อครัวลูกจ้างพร้อมเรียกรถใหญ่สองคัน รีบร้อนตะบึงไปตลาดสด
การค้าช่างขายดิบขายดีเสียจริง ขันทีและองครักษ์ในวังจำนวนมากราวกับว่าพอเลิกเวรก็รีบตรงมาที่นี่ แม้ว่าจะเป็นยามเช้า แต่หน้าประตูก็ต่อแถวยาวแล้ว
หอเลิศรสตอนนี้มีพ่อครัวลูกจ้างเกือบ 60 คน คนงานดูแลเตาไฟอีก 20 คน แรงงานก็ไม่ถือว่าขาดแคลน แต่ก็ยังมือใหม่มากเกินไป อาหารก็ยากที่จะควบคุมคุณภาพ
แต่บรรดาคนในวังที่มากินอาหารที่นี่กลับไม่สนใจเรื่องเหล่านี้กันนัก สำหรับพวกเขาแล้ว เหมือนว่าการที่จะสามารถมานั่งที่หอเลิศรสสักหน่อย ได้กินอะไรสักเล็กน้อย ก็สามารถดูดซับเอาพลังเซียนไว้ได้อะไรอย่างนั้น
เมื่อก่อนล้วนเป็นขันทีไร้ยศตำแหน่งที่สวมชุดเขียวคราม บางทีก็มีระดับใส่ชุดเขียวแต่ก็ถือว่าน้อยมาก แต่วันนี้กลับต่างออกไป ชุดเขียวไม่ต้องเอ่ยถึง เพราะชุดม่วงและชุดแดงเข้มก็พบเห็นได้กันไม่น้อย
เครื่องแต่งกายขันทีในวังกับชุดขุนนางปกติก็จะแบ่งแยกลำดับขั้น ชุดเขียวนับว่าเป็นเจ้าหน้าที่ระดับพื้นฐาน ขันทีชุดม่วงส่วนใหญ่ก็มีหน้าที่ดูแลรับใช้เจ้านาย หรือไม่ก็ควบคุมงาน และขันทีชุดแดงเข้มก็เป็นระดับขุนนาง มีหน้าที่ประจำอยู่ใน 12 สำนักขันที 4 ส่วนงาน และ 8 หน่วยงานย่อยในวัง
กล่าวให้ถูกต้องก็คือ มีเพียงขันทีชุดแดงเข้มและชุดแดงเหล่านั้นเป็นขันทีระดับไท่เจี้ยน[1] ไม่ใช่แบบชาวบ้านทั่วไปพอเห็นคนถูกตอนแล้วก็เรียกว่าขันทีเหมือนกันหมด
เมื่อบรรดาขันทีระดับสูงแวะเวียนมาที่นี่ ก็ย่อมไม่ต้องเข้าแถว ขันทีชุดเขียวครามและชุดเขียวต่างก็ต้องหลบให้ผู้ใหญ่ได้ทานอาหารก่อน
พอเข้ามาในร้าน ก็แยกโต๊ะกันนั่งไปตามเจ้านายที่ตนรับใช้หรืออำนาจบารมีที่ตนพึ่งพาอาศัยอยู่ กินข้าวไปก็วิจารณ์กันไปเงียบๆ รสชาติอาหารหอเลิศรสแม้ว่าจะไม่เลวนัก แต่ก็ยังทำอาหารได้สะอาดด้วย แต่ในสายตาของคนที่เคยพบเคยกินกันมา ก็ไม่นับว่าน่าสนใจนัก ทุกคนต่างมองมายังหวังทงที่นั่งอยู่มุมร้าน
พวกเขาจ่ายเงินอย่างไม่ตระหนี่ อาหารชุดละ 20 30 อีแปะก็วางก้อนเงินหนักหนึ่งถึงสองตำลึงไว้ อีกทั้งยังไม่ต้องทอน
หากทำกำไรได้เช่นนี้ ยามนี้จะตกถังทองร่ำรวยก็คงไม่ยาก หวังทงยิ้มเรียบเฉย หากพยักหน้าอย่างนอบน้อมพลางออกไปดูด้านนอก พบว่ามีขันทีชุดเขียวครามและชุดเขียวไม่น้อย และยังมีพลทหารองครักษ์เดินไปเดินมาอยู่ด้านนอก คนเหล่านี้บางทีอาจมีจุดประสงค์อื่น หากสำหรับพวกเขาแล้ว ส่วนใหญ่มักต้องการทานอาหารร้อนๆ หลังเลิกเวร ร้านอาหารเบื้องหน้าเข้าไปก็ไม่ได้ แต่หากให้หิ้วท้องกิ่วกลับไป ก็ช่างทรมานเกินไป
แม้ว่าจะเป็นปรากฏการณ์ประหลาด แต่หอเลิศรสอย่างไรก็ทำการค้า หวังทงยืนนิ่งอยู่ด้านนอก ลมหนาวพัดมาราวกับทำสงครามกับความเหน็บหนาว จึงได้คิดแผนรับมือขึ้น
“น้าหม่า น้าพาพ่อครัวและคนงานที่ร้านเราเพิ่งรับมาใหม่ไปบ้านด้านข้างทั้งสองด้าน ใช่ ที่พวกเราซื้อเอาไว้ทั้งสองแห่งนั้น ใช้เตาของพวกเขาหุงหาอาหาร ตั้งโต๊ะเก้าอี้ในห้องโถงกลางและเรือนข้าง ต้อนรับลูกค้าข้างนอกที่มากินอาหาร อย่าลืมแต่ละเรือนต้องวางเตาถ่านเพื่อให้อบอุ่น”
นางหม่ารีบรับคำ เรียกคนกว่าครึ่งในร้านออกไป หอเลิศรสร้านเดิมนั้นมีผู้ชำนาญงาน 20 กว่าคนก็พอจะสามารถรักษาคุณภาพอาหารไว้ได้แล้วเช่นกัน
หวังทงแค่นยิ้มพลางคิดว่า นี่นับว่าเป็นการวิเคราะห์ตลาดอย่างละเอียด คนที่นั่งอยู่ในร้านเก่าตรงหน้านี้ล้วนมีตำแหน่งมีสถานะ กินก็ย่อมดีหน่อย บริการก็ต้องละเอียดปราณีตหน่อย
ลูกค้าข้างนอกส่วนใหญ่ก็แค่มากินให้อิ่มๆ ไปสักมื้อ ให้กินที่ร้านสองข้างประทังไปก่อนละกัน!
แต่การกระทำของเขากลับถูกจับจ้องตามด้วยสายตาของบรรดาขันทีเหล่านี้ในร้าน ในใจขันทีลำดับสูงก็ชมเชย เพราะพวกที่ถูกลมพัดอยู่ข้างนอกพวกนั้นอย่างไรก็ล้วนเป็นคนของเราเอง
ขันทีมีอำนาจในวังเหล่านี้สอบถามข่าวคราวกันมาอย่างชัดเจน ที่ร้านอาหารเล็กๆ เช่นนี้โด่งดังได้นั้น เป็นเพราะขันทีน้อยที่ปฏิบัติหน้าที่ทางประตูวังทิศใต้ด้านข้างมากินกัน บอกกันไปปากต่อปากก็ยิ่งมาก ถึงได้มีโชคหล่นจากฟ้ามาเช่นนี้
ตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว หากสลัดลูกค้าเหล่านั้นที่เคยให้เกียรติมาเยือนในคราแรกสุดทิ้ง แม้ว่าจะไม่มีอะไรถูกผิด แต่เกรงว่าอาจทำให้หลายคนคับแค้นใจ
นิสัยพวกชายโดนตอนมักเล่ห์เหลี่ยมร้ายกาจ ล้วนแต่เป็นพวกคิดมากในเรื่องเล็กน้อย ดังนั้นวิธีการที่หวังทงออกไปจัดการนั้นแม้ว่าจะเป็นเรื่องเล็ก แต่ในสายตาพวกเขาแล้ว กลับเป็นการกระทำที่ได้ใจ ได้รับคำวิจารณ์ว่ามีคุณธรรมเมตตา
****
การต่อเติมร้านด้านข้างทั้งสองด้านของหอเลิศรสแม้ว่าจะยังไม่เริ่มดำเนินการ แต่ติดไฟทำอาหารเป็นร้านอาหารชั่วคราวก็พอได้ ขันทีระดับล่างที่รอกันอยู่ด้านนอกและพลทหารองครักษ์ก็ทักทายกันและกัน เข้ามาในร้านด้านข้างทานอาหารกัน
ผู้คนเข้าออกไม่ขาดสาย ไปๆ มาๆ ทุกคนในหอเลิศรสก็ยุ่งกันไม่ได้หยุดพัก เพิ่งพ้นเวลาอาหารกลางวัน คนเก็บเงินและหวังทงนั่งคิดเงินกันคร่าวๆ อยู่ๆ ก็ตกใจ ยังไม่ได้นับร้านด้านข้างสองด้าน แค่ตรงกลางอย่างเดียว ก็กำไรถึง 350 ตำลึง
การค้าเช่นนี้เกรงว่าจะดีเกินไปแล้ว…
หวังทงยุ่งจนหัวหมุน วิ่งข้ามไปมาสามร้านไม่หยุด เขาคิดว่าใกล้จะปีใหม่ คาดว่าคนในวังคงยุ่งกัน เจ้าเด็กอ้วนนั้นก่อนปีใหม่ก็คงไม่ได้มา
ตอนบ่ายบรรดาขันทีและพลทหารองครักษ์ก็ค่อยๆ สลายตัวไป ส่วนใหญ่ที่มาหอเลิศรสก็จะเป็นพวกเวรกลางคืนและเวรบ่าย ไปไม่ทันอาหารที่ในวังเตรียมไว้
แต่บนท้องถนนก็ยังคงมีคนแวะเวียนไปมากันเป็นระยะ นี่อาจมาด้วยจุดประสงค์อื่นๆ หวังทงเดินออกมาจากร้านทางซ้าย ก็เห็นเป็นองครักษ์ประจำพระองค์สวมชุดเกราะใหม่เอี่ยมกำลังเดินมาสองสามคน
………………
[1] ตำแหน่งขันทีระดับสูงสุด