ตอนที่ 41 รายการเครื่องเสวยสำนักห้องเครื่อง
ราวกับว่าสัปหงกอยู่ก็มีคนส่งหมอนมาให้ หวังทงอดที่จะอึ้งไปไม่ได้ ตนเองที่กำลังกลัดกลุ้มใจอยู่ กลับมีทางแก้ส่งมาถึงที่
โจวอี้ผู้นั้นหันกลับมาตรวจว่าประตูปิดลงกลอนดีแล้วก็ยิ้มกล่าวว่า
“ใกล้วังก็มีข้อดี ก็คือกลางคืนข้างนอกเงียบสงบ และเวลานี้เป็นช่วงที่ในวังเสียงเคาะบอกเวลาดังไม่หยุด ไม่เคยนอนหลับได้สนิท!”
พูดไปยิ้มไปก่อนจะหยิบหนังสือปึกหนาออกมาจากห่อผ้า ถามเนิบนาบว่า
“ขอล่วงเกินถามสักหน่อย ใต้เท้าหวังรู้หนังสือหรือไม่?”
หวังทงได้พบขันทีมาไม่น้อย บรรดาที่เป็นลูกค้าไม่เอ่ยถึง เอาที่คบค้าสมาคมกันมากหน่อยสองสามคน ก็ล้วนเป็นคนใหญ่คนโตในวัง พูดจาก็มักวางท่าทางตำแหน่งสูงกว่า
แต่โจวอี้เบื้องหน้าผู้นี้ต่างออกไป พูดจาอ่อนโยน เนิบนาบเสียงเบา ไม่มีวางท่าอะไรแม้แต่น้อย หวังทงยังรู้สึกงงอยู่ จะมาช่วยเหลือตน แล้วถามว่ารู้จักหนังสือทำไมกัน แต่ก็ตอบเสียงเรียบว่า
“อักษรก็พอรู้บ้าง แต่รู้ไม่มาก”
หัวหน้าหน่วยองครักษ์เสื้อแพรธรรมดาทั่วไปกลับรู้หนังสือเห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องแปลก โจวอี้ประหลาดใจครู่หนึ่ง ก็ยิ้มตามมาพลางกล่าววาจาว่า
“เช่นนี้ก็ง่ายขึ้นมาก จางกงกงต้องการให้ใต้เท้าอ่านหนังสือนี้อย่างละเอียด จะต้องคิดหาของใหม่ออกมาได้แน่นอน”
หนังสือส่งมา หวังทงมองดูเห็นหน้าปกปิดทอง ใช้ลายเส้นสีแดงเขียนหน้าปกไว้ว่า “รายการเครื่องเสวยสำนักห้องเครื่อง” พอเห็นสีหน้างุนงงของหวังทงก็อธิบายอย่างนุ่มนวลว่า
“รายการเครื่องเสวยนี้ ขันทีห้องเครื่องเป็นผู้จดบันทึกเครื่องเสวยของโอรสสวรรค์และรายการงานเลี้ยงในวังมาแต่โบราณ ในวังเจ้านายมีมาก ที่เสวยกันในแต่ละวันมีเพียงเท่านี้”
ขอเพียงไม่อยู่ในบันทึก สำหรับฮ่องเต้แล้วก็เป็นของแปลกใหม่ทั้งนั้น หวังทงคิดเข้าใจหลักการได้ในทันที ก็รู้สึกดีใจอย่างมาก
ประตูวังในยามค่ำคืนปิดแล้ว เข้าออกต้องให้ขันทีใหญ่สองสามท่านมอบป้ายคำสั่งมา ควบคุมเข้มงวด รายการเครื่องเสวยจากสำนักห้องเครื่องนี้แม้เป็นเพียงรายการอาหาร แต่ก็เป็นเอกสารลับวังหลวงชั้นใน โจวอี้นำออกมาก็จัดว่าเสี่ยงอันตรายมาก หวังทงดีใจมากจงได้รีบคารวะกล่าวขอบคุณ
“…การนี้เร่งรีบ ขอยังไม่ยกน้ำชาให้กงกง ข้าน้อยขออ่านก่อน…”
โจวอี้ตอบรับด้วยรอยยิ้ม นั่งลงข้างๆ ใบหน้าเขายังคงไม่แสดงสีหน้าใด แต่ในใจกลับรู้สึกแปลกใจกับการแสดงออกของหวังทง เขามาที่นี่ครั้งแรก ตามที่เคยคิดไว้หัวหน้าหน่วยองครักษ์เสื้อแพรอายุไม่ถึง 14 สามารถมีโอกาสงามเช่นนี้ ย่อมเป็นเพราะโชคใหญ่และความฉลาดหลักแหลม
แต่การปฏิสัมพันธ์ในเวลาสั้นๆ ก็พบว่าอีกฝ่ายรู้หนังสือ ท่าทางสงบนิ่ง ปฏิสัมพันธ์โต้ตอบก็นุ่มนวล นี่เป็นหัวหน้าหน่วยที่ไหนกัน เห็นชัดว่าเป็นท่าทางของลูกหลานตระกูลบัณฑิต
หวังทงพลิกอ่านไปถามไป แต่หัวหน้าขันทีห้องเครื่องกับขันทีระดับล่างทุกวันมีแต่เรื่องเครื่องเสวย ระดับการศึกษาจึงไม่สูงนัก ในบันทึกล้วนเป็นอักษรภาษาพูดง่ายๆ และยังใช้เครื่องหมายแบ่งประโยคชัดเจน อ่านเข้าใจง่ายมาก
“ประเภทอาหารไม่มากจริงด้วย ธรรมดาจน…”
อ่านอยู่พักหนึ่ง หวังทงก็อดถอนใจอย่างโล่งใจไม่ได้ ทุกวันอาหารที่กิน ไม่เป็นเนื้อแพะ เนื้อหมู เนื้อไก่เป็ดพวกนี้ รวมกับพวกผักตามฤดูกาลและสัตว์น้ำในแม่น้ำ ก็ไม่มีวิธีการทำแบบใหม่อะไร ไม่มีอาหารแปลกใหม่อันใด
โจวอี้ยิ้มรับกล่าวว่า
“รูปแบบอาหารในวังอร่อยหรือไม่นั้นไม่สำคัญ สำคัญก็คืออย่าทำให้กินแล้วเกิดเรื่อง ดังนั้นการเลือกเครื่องปรุงเลือกการปรุงจึงเป็นแบบกลางๆ ไม่ออกนอกลู่นอกทาง น่าเบื่อยิ่งนัก ที่เลือกกินหน่อยก็มีห้องเครื่องเล็กๆ ของตน ไทเฮากับอำมาตย์จางที่ต้องการให้ฮ่องเต้เรียบง่าย ดังนั้นตอนนี้ฮ่องเต้ยังคงกินอาหารที่ห้องเครื่องกำหนด”
เรื่องง่ายขึ้นมาก หวังทงถอนหายใจยาว แหงนหน้านิ่งไปครู่หนึ่งก็ยืนขึ้นกล่าวกับโจวอี้ว่า
“โจงกงกงเข้ามาข้างในก่อน คืนนี้ก็ต้องลำบากท่านพักในห้องธรรมดาที่หนาวเย็นคืนหนึ่ง ที่ตรงนี้วุ่นวาย ข้าน้อยจะจัดที่ให้ท่านไปนั่งดื่มน้ำชา”
โจวอี้พยักหน้ายิ้มเดินเข้าเรือนข้างไป หวังทงรีบเรียกพ่อครัวและคนงานที่อยู่ข้างๆ ให้ตื่น เขาคิดอะไรออกอย่างหนึ่ง แต่ต้องเริ่มเตรียมกันคืนนี้
พ่อครัวกับคนงานตาปรือถูกปลุกให้ตื่นมาก็รู้สึกไม่ยินยอมนัก แม้ว่าทำงานหาเงิน แต่กลางวันก็ยุ่งวุ่นวายกันมาก ตอนกลางคืนต้องนอนให้เต็มอิ่ม ไม่เช่นนั้นก็ยากที่จะทนไหวจริงๆ
หากหวังทงก็ตรงไปตรงมา ส่งเงินให้ไป ทำงานโต้รุ่งไม่ได้ให้ทำฟรี เช่นนี้แล้ว พ่อครัวและคนงานก็คอตั้งขึ้นมาทันที
พอเห็นกล่องจุดไฟขยับเข้าออก เตาภายในห้องครัวก็ติดไฟ วัตถุดิบลงหม้อไปแล้ว หวังทงจึงได้วางใจกลับไปที่เรือนตน
โจวอี้ไม่คิดว่าตนเองเป็นคนนอกจริงๆ หยิบหนังสือมาอ่านคอยอยู่ ในใจหวังทงพลันสะดุ้ง เพื่อจดจำอักษรจีน นอกจากหนังสือ “ร้อยแซ่” “พันอักษร” หนังสือเริ่มเรียนพวกนี้แล้ว ยังซื้อพวกบันทึกและเรื่องเล่าชาวบ้านมาอ่านยามว่างหลายเล่ม หนังสือพวกนี้แม้ว่าไม่ดูดีพอจะจัดไว้ในห้องหนังสือ แต่ก็ไม่ใช่หนังสือที่วัยอย่างเขาควรอ่าน อย่าได้เผยเรื่องที่ไม่ควรเปิดเผยออกไปด้วยเหตุนี้เลย
ได้ยินเสียงประตูเปิดออก โจวอี้ก็วางหนังสือลง ยิ้มพยักหน้า หวังทงเห็นอีกฝ่ายไม่มีทีท่าแปลกใจ ก็ประสานมือคารวะกล่าวว่า
“ฝากโจวกงกงช่วยกล่าวขอบคุณ ความเมตตาครั้งนี้ หวังทงจะจดจำไว้”
“ใต้เท้าหวังกล่าวหนักไปแล้ว หนังสือนี้พรุ่งนี้ก็ต้องเอากลับวังไปด้วย หรือจะอ่านอีกรอบ จดจำไว้ให้มากหน่อยก็ดี”
แม้ว่ารูปแบบอาหารไม่น้อย แต่แนวคิดคร่าวๆ หวังทงก็พอรู้แล้ว ฮ่องเต้ที่สูงส่งที่สุดไม่มีความสุขด้านการกินอะไรที่น่าอิจฉาเลย ที่จะเอามาปรับใช้ได้ก็มากแล้ว นับว่าไม่ต้องกังวลใจแล้ว
แต่จดบันทึกไว้ก็ดีกว่า หวังทงเตรียมจะใช้ดินสอถ่านมาคัดลอกตอนอีกฝ่ายเข้านอน พอขอบคุณความหวังดีของอีกฝ่ายแล้ว ก็จัดเตรียมที่นอนผ้าห่มให้
ห้องหวังทงไม่เล็ก ที่นอนห้องรับรองแขกเก่าแล้ว แต่ยังใช้ได้ เขาไม่มีคนรับใช้ทุกอย่างทำด้วยตัวเอง จึงได้แต่ฝืนทนร่างกายอีกครู่หนึ่งจึงได้กลับไปที่ห้องรับแขก
แขกมาถึงแล้วแต่ตอนนี้กลับยังไม่มีน้ำดื่มสักคำ หวังทงอดไม่ได้ที่จะไปที่ร้านอาหาร หยิบกาน้ำกลับมา ต้มน้ำชงชา โจวอี้ก็กล่าววาจาตามมารยาทครู่หนึ่ง ช่างนุ่มนวลอ่อนโยนยิ่งนัก
รอจนชงชาเสร็จยกมาวาง ดื่มไปคำหนึ่ง ก็ได้กลิ่นอาหารโชยมาทางด้านหน้า หอมอบอวลมาก ดูเหมือนว่าน่าจะเตรียมเรียบร้อยแล้ว
ฟ้ามืดค่ำมากแล้ว หวังทงเตือนให้โจวอี้พักผ่อน โจวอี้ก็ลุกขึ้นกล่าวขอบคุณ หยิบหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะห้องรับแขกเพื่อจะกลับไปนอนที่ห้องรับรองแขก
โจวอี้เดินไปได้สองก้าวก็หยุด ราวกับลังเลครู่หนึ่ง ก่อนหันกลับมายิ้มถามว่า
“ใต้เท้าหวัง ท่านได้พบกับฮ่องเต้มาสี่ครั้งแล้วกระมัง แต่เรื่องราวเป็นที่เล่าขานกันมาก เฝิงกงกง อำมาตย์จางก็มาถึงที่นี่ จางกงกงช่วยเหลือเช่นนี้ ท่านรู้ว่าหรือไม่ว่าเป็นเพราะสาเหตุใด?”
ก็จริง แต่ก็แค่พบหน้ากันไม่กี่ครั้ง ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นราวกับสะเทือนทั่วแผ่นดิน และไม่ว่ามองอย่างไร จางเฉิงจางกงกงผู้นั้นถึงกับกล้าช่วยเหลือตนเอง คิดอย่างแล้งน้ำใจหน่อย รู้จักกันเพียงผิวเผิน หัวหน้าหน่วยองครักษ์เสื้อแพรที่เปิดร้านอาหาร ฮ่องเต้มาแล้วพอพระทัยก็เห็นความสำคัญหน่อย หากฮ่องเต้ไม่พอพระทัย นั่นก็ย่อมไม่ควรแค่แก่การใส่ใจ ตำแหน่งสูงอำนาจมากอย่างจางกงกงไยจึงได้เอาใจใส่เช่นนี้