ตอนที่ 417 ซื้อใจคน อะไรก็ซื้อ
“นายท่าน พวกต่างชาติพวกนั้นบอกว่าจะให้ดีก็ให้ขุดสระน้ำ ตอนผลิตนั้นต้องการใช้น้ำจำนวนมากเป็นสื่อนำ”
เฉียวต้าหัวหน้าช่างตีเหล็กของหวังทงรายงานขึ้น พอได้ยินหวังทงก็อึ้งไป ตามมาด้วยการส่ายหน้ายิ้มและกล่าวว่า
“เป็นน้ำแข็งไปหมดแล้ว จะไปหาขุดสระไหนได้!”
เฉียวต้ายิ้มตาม กล่าวต่อว่า
“ข้าน้อยก็บอกไปเช่นนี้ หากพวกนั้นบอกว่าเพื่อการณ์วันหน้า บางคนบอกว่านี่เป็นแผนระยะยาว ช่างเราใช้เชือกลากดึงทั้งช้าทั้งเสียเวลา ตอนนี้สร้างสระน้ำไม่ได้ เช่นนี้ก็ให้สร้างระบบม้าวัวลากแทน ดังนั้นจึงได้มาขอยืมม้าวัวจากใต้เท้าที่นี่”
หวังทงพยักหน้า กล่าวกับซุนต้าไห่ด้านข้างว่า
“อย่าแตะต้องม้าวัวที่กองกำลังหู่เวยเราใช้เทียมลากรถ เข้าไปนอกเมืองที่ตลาดม้าวัวทางนั้นไปซื้อแล้วส่งไปก็แล้วกัน!”
ทางนั้นรับคำ หวังทงยิ้มถามว่า
“พวกเจ้าทางนี้ติดตามดูมาตลอด เรียนรู้ได้อะไรมาบ้างไหม?”
เฉียวต้าส่ายหน้า เงียบไปครู่ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า
“เรียนใต้เท้าตามตรง ไม่ใช้ว่าข้าน้อยขี้คุย ที่ชาวต่างชาตินั้นทำได้ใช่ว่าเราทำไม่เป็น เพียงแต่ของบางอย่างคิดไม่ถึงเท่านั้น อย่างเช่นเครื่องเจาะใช้น้ำช่วยลดแรงเสียดและแรงม้าวัวลากจานหมุนทีละชั้นเสริมแรง ของพวกนี้พวกเราก็มี โม่หินที่โรงโม่นั้นก็หลักการเดียวกัน ด้านในแท่นโม่หินก็เป็นเช่นนี้ แต่พวกต่างชาติพวกนั้นมีรายละเอียด ทุกอย่างมีขั้นตอน เรื่องพวกนี้ไม่ค่อยเหมือนกับเรา”
ในยุคนี้ การอาศัยแรงอื่นมาใช้ทำงาน ไม่แรงน้ำก็แรงสัตว์หรือแรงลมเท่านั้น เครื่องจักรพลังน้ำของยุโรปจริงๆ แล้ว ก็เรียนรู้มาจากเครื่องโม่แบบเติมน้ำของจีน
ในยุคนี้ช่องว่างในงานฝีมือก็เป็นเพียงแค่ความแตกต่างในการคิด ไม่มีช่องว่างคุณสมบัติพิเศษอันใด มีหลายสิ่งแค่เห็นก็เข้าใจ
เฉียวต้ากล่าวเช่นนี้ หวังทงก็รู้ว่าเฉียวต้าตั้งใจใคร่ครวญมาแล้ว หวังทงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา กล่าวว่า
“เจ้ายังจำกรณีจัดซื้อของได้ไหม?”
ตอนนั้นเฉียวต้าเล่นลูกไม้ในการซื้อหาเหล็ก โกงเงินไปไม่น้อย ถูกหวังทงจับได้ บอกกับเขาว่าถ้าตั้งใจทำงานก็จะปล่อยให้ผ่านไป
เฉียวต้าราวกับได้เกิดใหม่ ตั้งแต่นั้นก็ทำงานอย่างขยันขันแข็ง ไม่กล้าแอบขี้เกียจ นานวันเข้า ก็ได้เป็นหัวหน้าโรงตีเหล็กของหวังทง เรื่องนั้นทุกคนค่อยๆ ลืมไป คิดไม่ถึงว่าหวังทงจะยกมากล่าวถึงในวันนี้
เฉียวต้าคาดไม่ถึง รู้สึกตกใจสะดุ้งวาบ รีบคุกเข่าลง ยังไม่ทันได้อธิบาย ก็ได้ยินหวังทงกล่าวว่า
“เจ้าตั้งใจทำงานจริงๆ เรื่องที่พักไว้ ตอนนี้ก็หายกันละกัน!”
เฉียวต้ารีบโขกศีรษะขอบคุณ ใบหน้าหวาดกลัวของเขามลายหายไป แต่ก็ไม่ได้มีความรู้สึกซาบซึ้งอันใด เดิมทุกคนก็ลืมไปเกือบหมดแล้ว ไม่เอ่ยอ้างก็ได้
“ต้าไห่ เฉียวต้าวันนั้นเอาไปเท่าไร?”
“ทั้งหมดสองพันสองร้อยตำลึง”
“อืม เดี๋ยวไปเบิกมาสี่พันตำลึง……”
ได้ยินซุนต้าไห่ตอบคำถามหวังทง เฉียวต้าก็รู้สึกงงเงยหน้าขึ้น ได้ยินหวังทงยิ้มกล่าวว่า
“เจ้าทำงานขยันขันแข็งมีความดี ข้ามีรางวัลให้ สี่พันตำลึงไปรับที่ต้าไห่ รวบรวมความคิดของต่างชาติพวกนั้นมาให้หมด เรียนรู้ความสามารถพวกนั้นมาให้หมด ถึงเวลายังมีรางวัลให้อีก”
ในเวลานี้ เฉียวต้าเข้าใจกระจ่างแล้ว สี่พันตำลึงเป็นรางวัลหนักมากจริงๆ ความผิดก่อนหายกัน ยังได้รับรางวัลมาอีกเกือบสองพัน ยังไม่ทันได้โขกศีรษะขอบคุณ หวังทงก็กล่าวว่า
“เฉียวฉิวอัน ลูกชายเจ้าปีนี้อายุ 16 ก็ไปเข้าสังกัดกองกำลังหู่เวยหรือองครักษ์เสื้อแพรได้ มีสถานะจะได้ทำอะไรได้สะดวก!!”
“ขอบคุณใต้เท้าที่เมตตา ข้าเฉียวต้า……ข้าน้อย ขอยอมรับใช้ใต้เท้าจนตาย!”
“อย่าเอ่ยเรื่องตายไม่ตาย ทำงานให้ดี วันดีๆ ยังรอเจ้าอยู่”
หวังทงยิ้มถอนหายใจกล่าวเสริมว่า
“เลือกคนงานฉลาดว่องไวเพิ่มอีกหน่อย ให้ตามฝึกกับช่างต่างชาติ ใครเรียนรู้ได้มาก เรียนรู้ได้ดี เจ้าก็รายงานมา ข้าย่อมมีเงินทองและตำแหน่งมอบให้”
เฉียวต้าตื้นตันจนน้ำตาไหล ให้เงินก็ดีแล้ว ยังเปลี่ยนสถานะให้ลูกชายตนอีก ยิ่งทำให้รู้สึกสำนึกในพระคุณ นาทีนี้เขาก็ยิ่งภักดีต่อหวังทงอย่างไร้เงื่อนไข ภักดีด้วยใจ
หวังทงกำลังจะกล่าวต่อ ก็ได้ยินเสียงด้านนอกดังมา
“ใต้เท้า นายเรือใหญ่ต่างชาติมาแล้ว”
นายเรือใหญ่ของเรือสินค้าติดอาวุธที่ถูกนำมายังเทียนจิน หลังจากนายช่างทำปืนใหญ่ถูกพาตัวไป ก็เริ่มเอะอะขอพบหวังทง
หลังทหารยามรายงานมา หวังทงก็ให้พบทันที แต่หวังทงกลับไม่อยากใช้คนที่รู้ภาษาโปรตุเกสที่เทียนจิน ชาวตะวันตกที่ทำงานให้ทางการแม้ว่าจะภักดี แต่อย่างไรก็เป็นชาวตะวันตก หวังทงไม่อาจไว้ใจ
ชาวโปรตุเกสมากมาย วันหน้าต้องไปทักทายทีละคน ในเมื่อมีความคิดนี้ก็ต้องเตรียมการล่วงหน้า หวังทงส่งคนไปเมืองหลวงหาล่ามที่รู้จักภาษาโปรตุเกสมา จ้างมาด้วยเงินก้อนโต
ตอนอยู่เมืองหลวง หวังทงจำได้ว่าเคยเห็นชาวตะวันตกสวมชุดคลุมยาว ว่ากันว่ามาจากทางใต้ เป็นบาทหลวงชาวฟะรังคีที่มาถึงเมืองหลวงเพื่อสอนศาสนา คนพวกนี้มาเมืองหลวงก็ไปมาหาสู่กับชนชั้นสูง ไม่ได้เผยแผ่ศาสนาเท่าไร แต่ก็มีคนชอบความแปลกใหม่จึงไปศึกษากับพวกเขา
จีนเมื่อหลายพันปีก่อน ทัศนคติต่อพระต่อเทวดาก็คือเห็นก็ไหว้ เชื่อไม่เชื่อค่อยว่ากัน คนนับถือในเมืองหลวงมีไม่มาก แต่กลับมีแรงงานไปศึกษากับพวกเขาก็เพราะต้องการผลตอบแทนที่ไม่เลวจากบาทหลวงสอนศาสนาเหล่านี้
เป็นไปตามที่หวังทงคาด คนที่ส่งไปเมืองหลวงไม่นานก็นำล่ามกลับมาห้าคน แต่พอเอาไปคุยกับชาวตะวันตกสามคนที่โรงตีเหล็กก็พบว่าในนั้นสองคนเป็นภาษาสเปน เป็นที่รู้กันว่า ในสมัยหมิงเรียกโปรตุเกสและสเปนว่าฟะรังคี ไม่มีความแตกต่าง ยังดีที่คนพวกนี้คุ้นเคยกับภาษาโปรตุเกสและสเปน ไม่มีปัญหาอันใด
**********
“นายท่าน ข้าน้อยชื่อหูอันเป็นหัวหน้าเรือกวางบิน”
การแปลล่ามยังไม่ปรากฎในยุคนี้ แปลนั้นขึ้นอยู่กับนิสัยการพูดคุยของผู้คนในราชวงศ์หมิง หวังทงกลั้นหัวเราะแทบตาย มีบางเรื่องไม่คุ้นชินก็คือไม่คุ้นชินวันยังค่ำ
ชายตะวันตกรูปร่างกำยำกำลังโค้งคำนับต่ำ สมัยนี้ตะวันออกกับตะวันตกเทียบกันแล้ว ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวหมิงนับว่าเป็นอันดับหนึ่งในโลก บำรุงดี รูปร่างสูงใหญ่ ความสูงชาวตะวันตกไม่ได้เปรียบอันใดนัก
“คุกเข่าลง!”
หวังทงพูดด้วยรอยยิ้ม ล่ามยืนอยู่ที่ประตูอึ้งไป ก่อนจะแปลไป หูอันผู้นั้นได้ยินก็เบิกตากว้างนิ่งไป ก่อนจะโบกมือโหวกเหวกไปมา
“นายท่าน หูอันบอกว่าประเพณีพวกเขานั้นโค้งคำนับ ไม่ใช้การคุกเข่า”
ล่ามรีบแปล หวังทงส่งเสียงหัวเราะ ก่อนจะเอ่ยว่า
“ที่นี่คือแผ่นดินหมิง บอกเขาว่าต้องรักษาธรรมเนียมเรา คุกเข่าโขกศีรษะคำนับ”
ล่ามไม่กล้ารอช้า รีบแปลไปทันที หูอันมีสีหน้าโมโห หวังทงโบกมืออย่างรำคาญ เอ่ยว่า
“ช่วยเขาหน่อย!”
มารยาทอันใดของชาวผิวขาวที่โค้งคำนับ หวังทงเคยได้ยินบามองด์เล่าตอนอยู่มาเก๊า ไม่ว่าพบกับชนชั้นสูง พระบำทหลวง ชาวบ้านก็ต้องคุกเข่า ถึงกับคุกเข่ากันยิ่งกว่าแผ่นดินหมิงเสียอีก ตอนนั้นได้ยินแล้ว หวังทงยังตกใจ ในโลกก่อนไม่ว่าสื่อภาพยนตร์โทรทัศน์และหนังสือรายงานไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้ ตอนนี้คิดดูแล้ว ก็แค่ใครบางคนจงใจที่จะสร้างภาพสวยงาม ดูเหมือนว่าประเทศของเขาจะหยาบคาย เหตุใดจึงต่ำช้าเช่นนี้ คิดไม่ตกจริงๆ
หวังทงออกคำสั่งไป ทหารหลายคนเดินเข้ามาข้างหน้า หูอันที่เมื่อครู่แกล้งแข็งกร้าวและทำสีหน้าโกรธ แต่พอเห็นทหารติดอาวุธหลายคนเข้ามาใกล้ ก็รีบโบกมือ คุกเข่าลงอย่างรวดเร็ว โขกศีรษะดังปังๆ
“ว่ามา ต้องการพบข้าทำไม?”
“นายท่าน เขาบอกว่า อยากจะจากไปให้เร็วที่สุด ถ้าไปสาย ก็จะเสียโอกาสในช่วงฤดูกาลเดินเรือ ถึงตอนนั้นจะถูกเจ้านายหักเงิน การค้าก็พัง……”
หูอันกล่าวไม่หยุด ล่ามก็ตามทัน
“นายท่านต้องการอันใด ขอเพียงบนเรือมี เขาก็จะช่วยเหลือแน่นอน และคนบนเรือเขาก็เป็นหลายอย่าง ล้วนสอนให้พวกนายท่านได้ นายท่านไม่ใช่ชอบปืนใหญ่หรือ เขาสามารถถอดปืนใหญ่มอบให้ใต้เท้าได้ หากยังไม่แล่นออกไปตอนนี้ อ่าวในตอนเหนือก็จะแข็งเป็นน้ำแข็งแล้ว……”
หูอันช่างชอบพูดเองเออเองเสียจริง หวังทงฟังจบก็หัวเราะดังออกมา เอ่ยว่า
“ถามเขา ซื้อเรือนี้ เอาเงินเท่าไร?”
พอถามออกไป สีหน้าหูอันก็อึ้งตะลึงไปทันที เห็นได้ชัดว่าคิดไม่ถึงว่าหวังทงจะถามเช่นนี้ จึงเงียบไปนาน
“หลังจากเขาได้เงิน ก็จะให้เรือสินค้าพากลับไปที่มาเก๊า ถึงตอนนั้นพวกเขาจะได้มีความสุขกับเงินตามสบาย”
หวังทงยิ้มกล่าวเสริมอีกประโยค ล่ามเห็นว่าหูอันไม่ตอบ จึงส่งเสียงดังขึ้นอีก รีบแปลคำพูดหวังทงอีกรอบ หูอันจึงได้สติ ตอบติดอ่างกลับมาสองสามประโยค
หลังจากฟังแล้ว ดวงตาล่ามก็เบิกกว้าง รีบคำนวณอย่างเร็ว ครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า
“ขอนายท่านโปรดอภัย เมื่อครู่หัวหน้าเรือกล่าวเป็นตัวเลขพวกเขา ข้าน้อยต้องคำนวณก่อน น่าจะราว 45,000 ตำลึง……”
ล่ามแปลจบ ก็เห็นหูอันโบกไม้โบกมือ รีบกล่าวว่า
“นายท่าน เขาบอกว่าไม่ใช่เรือเขา เขาไม่มีสิทธิ์จะขาย……”
************
เส้นทางเมืองหลวงไปเมืองเซวียนฝู่ หันไปมองคูเมืองไม่เห็นแล้ว ทหารกองหนึ่งอยู่บนเส้นทาง เกือบ 3,000 นาย ทหารกองนี้แต่งกายชุดดำ เคลื่อนกำลังมาอย่างน่าเกรงขาม ดูแล้วน่าเป็นกองกำลังเข้มแข็ง แต่ดูเหมือนไม่ฮึกเหิมนัก ทุกคนดูไม่มีกระจิตกระใจนัก
“มารดามันสิ กำลังจะฉลองปีใหม่แล้ว จะมาให้ฝึกด้วยการออกรบอันใดกัน พวกเรากองกำลังมังกรฝ่ายซ้ายประจำพระองค์คอยดูแลวังหลวง ไปเมืองเซวียนฝู่ปราบพวกนอกด่าน เลอะเลือนไปแล้วหรือไง!”
นายทหารผู้หนึ่งด่าทออย่างหยาบคาย ขันทีผู้หนึ่งที่ห่อตัวแน่นหนา ส่งเสียงแหลมดังขึ้นว่า
“นายกองเติ้งอย่าได้บ่นไป ฉู่กงกงคิดจะสร้างความชอบ เหนื่อยก็แต่พวกเรา ไม่รู้จะไปกล่าวกับผู้ใด เดินต่อไปเถอะ!”