ตอนที่ 422 เพื่อชาติเพื่อกองทัพ ลำบากย่อมยอมทน
“ทูลไทเฮา แผ่นดินใต้หล้าเป็นขององค์ฮ่องเต้ ทหารหมิงก็ล้วนเป็นทหารของฮ่องเต้ ในเมื่อเป็นทหารก็ย่อมต้องรบชิงดินแดนและปกป้องพื้นที่”
หลินซูลู่แห่งสำนักอาชาหลวงคุกเข่าโขกศีรษะ กล่าวอย่างหนักแน่น ฉู่เจ้าเหรินคุกเข่าข้างเขาก็ดูอึดอัดใจ หากไร้ความหวากลัวหรือกระวนกระวายใจ
“ทูลไทเฮา ในเมื่อเป็นทหารในพระองค์ ในเมืองเป็นทหารฝ่าบาท ก็ย่อมต้องเข้มแข็ง กล้าหาญออกรบ ไม่ใช่ศัตรูมาก็ขี้ขลาดตาขาว หัวหดอยู่ข้างหลัง”
ทุกคนในวังรู้หลายเรื่อง ไทเฮาฉือเซ่งแม้ว่าทรงอำนาจ หากก็เป็นผู้รับฟังเหตุผล เรื่องใดก็ตามขอเพียงกล่าวให้ชัดเจน ของเพียงเพื่อแผ่นดิน เพื่อประโยชน์ของราชวงศ์หมิง พระนางแม้ไม่ทรงพอพระทัยก็จะทรงรบฟังส่วนรวม
ที่หลินซูลู่กล่าวมาก็ไม่มีความรู้สึกส่วนตัวปะปน ล้วนเป็นความจริง ไทเฮาทรงแค่นยิ้มไม่ได้ตำหนิต่อ รอให้หลินซูลู่พูดจบ
“ฉู่เจ้าเหรินให้นำทหารเมืองหลวงออกไปฝึกซ้อม ดูจากกองกำลังมังกรฝ่ายซ้ายแล้ว คิดว่าได้ผลดีไม่เลว เป็นแผนการที่ดีเพื่อประโยชน์ของชาติบ้านเมือง กองรบ กองกำลังมังกรฝ่ายขวา กองกำลังรบฝ่ายขวาและฝ่ายซ้ายก็เตรียมตัวพร้อมออกนอกเมืองหลวงไปฝึกซ้อมสำแดงแสนยานุภาพแล้ว ทหารเมืองหลวงสามารถไปฝึกซ้อมทางเหนือ เหตุใดกองกำลังหู่เวยที่เทียนจินจึงจะทำไม่ได้?”
พระพักตร์ไทเฮาฉือเซิ่งผ่อนลงเล็กน้อย หลินซูลู่คุกเข่าอยู่บนพื้น กายท่อนบนยืดตรงยิ่ง น้ำเสียงดังกังวานก้อง กล่าวต่อว่า
“ทูลไทเฮา กระหม่อมขอล่วงเกินกล่าว หวังทงแห่งกองกำลังหู่เวยเป็นขุนนางคนโปรดฮ่องเต้ ยิ่งเป็นเช่นนี้ ก็ยิ่งไม่อาจเอนเอียง กองกำลังหู่เวยเป็นกองกำลังหนึ่งของเรา การเตรียมฝีกซ้อมก็ย่อมเป็นหน้าที่รับผิดชอบ หากอาศัยพระบำมีพระเมตตาพิเศษ ไม่คิดการก้าวหน้า ขี้เกียจฝึกซ้อม หวาดกลัวการศึก ใช่ว่าจะเสียเบี้ยหวัดไปเปล่าๆ หรือ กระหม่อมขอบังอาจกราบทูลอีกสักคำว่า ในเมื่อกองกำลังหู่เวยเป็นกองกำลังที่ฝ่าบาททรงไว้วางพระราชหฤทัย หากไม่ปฏิบัติเฉกเช่นกองกำลังอื่น ขลาดกลัวความหนาว วันหน้าก็ย่อมเป็นการทำงานนายกองพันหวัง เป็นการทำร้ายกองกำลังนี้ไปเสียสิ้น”
ทูลจบก็โขกศีรษะ ฉุ่เจ้าเหรินข้างๆ ก็หรี่ตามอง เห็นความกริ้วของไทเฮากับความเย็นเยียบมลายหานไป ก็คิดอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็อดโล่งใจไม่ได้ โขกศีรษะกราบทูลว่า
“ทูลไทเฮา กระหม่อมตอนคิดการนี้ขึ้น ก็คิดเพียงแค่ให้กองกำลังเราได้เข้มแข็งขึ้นอีก ให้ทหารในวังยิ่งเพิ่มสมรรถนะให้เข้มแข็งจะได้ไร้กังวล”
จางจิงที่ยืนอยู่ข้างไทเฮาฉือเซิ่งสีหน้าไม่ดีนัก ขันทีใหญ่ของสำนักอาชาหลวงสองคนพูดแต่ว่าฝึกซ้อมทหาร ใช่ว่าเป็นการกล่าวหาตนว่าดูแลไม่ดีหรอกหรือ
ในพระตำหนักเงียบไปพักหนึ่ง ไทเฮาตรัสขึ้นช้าๆ ว่า
“จางจิง เจ้าว่าที่หลินซูลู่กล่าวว่าเป็นอย่างไร?”
ที่หลินซูลู่กล่าวมาล้วนอ้างหลักการใหญ่ ทุกเรื่องเพื่อสำนักอาชาหลวง จางจิงย่อมรู้ว่าควรทูลเช่นไร แม้ในใจมิยินยอม แต่ก็ยังน้อมตัวก้มลงกราบทูลว่า
“ทูลไทเฮา หลินซูลู่กล่าวได้มีหลักการ ในเมื่อเป็นทหารก็ต้องฝึกซ้อม เตรียมพร้อมการศึก การฝึกซ้อมที่ทางเหนือบางทีอาจจะลำบากทหารอยู่บ้าง แต่มีผลดีต่อแผ่นดินหมิงเรา……”
ไม่รอให้เขาทูลจบ ไทเฮาก็ขัดจังหวะคำพูดของเขาตรัสสุรเสียงอ่อนโยนนุ่มนวลว่า
“ข้าไม่สนใจว่าตอนคิดการนี้มาพวกเจ้าคิดอย่างไร เรื่องนี้ขอเพียงเป็นประโยชน์ต่อแผ่นดินหมิงเรา เช่นนั้นก็ควรทำ จิ่นซิ่ว!”
นางกำนัลรีบเข้ามารับพระบัญชา ไทเฮาตรัสว่า
“บอกไปว่าเป็นประสงค์ของข้า นำสิ่งที่หลินซูลู่กราบทูลมากราบทูลต่อฮ่องเต้ ให้ฝ่าบาททรงมีราชโองการให้กองกำลังหู่เวยไปฝึกซ้อมที่เมืองเซวียนฝู่!”
นางกำนัลรีบรับพระบัญชา ทุกคนคุกเข่าลงโขกศีรษะ……
************
“รบกวนแม่นางจิ่นซิ่วมาถ่ายทอดทอดรับสั่งแล้ว เสี่ยวเลี่ยง เจ้าไปที่ตำหนักข้างๆ หนิบผีเสื้อหยกเขียวมาให้พี่จิ่นซิ่วของเจ้า”
ประตูห้องทรงอักษรปิดลง จางเฉิงแห่งสำนักส่วนพระองค์ออกมาส่ง ใต้หล้านี้ผู้นี้สามารถให้จางเฉิงออกมาส่งได้นั้นมีน้อยมาก คนมาจากตำหนักไทเฮา ผู้ใดกล้าไม่ให้เกียรติ
เมื่อได้ยินคำสั่ง เจ้าจินเลี่ยงก็คำนับรับคำสั่ง รีบวิ่งออกไป จิ่นซิ่ว นางกำนัลตำหนักฉือหนิงกงยิ้มกระซิบบอกจางเฉิงเบาๆ ว่า
“ผู้น้อยขอบคุณน้ำใจกงกง……”
ขณะกำลังกล่าววาจากันตามมารยาท ก็ได้ยินเสียงฮ่องเต้ว่านลี่ดังออกมาว่า
“จางเฉิง!”
สุรเสียงนั้นค่อนข้างทนไม่ไหวแล้ว จางเฉิงส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มอย่างเสียไม่ได้ นางกำนัลจิ่นซิ่วเผยรอยยิ้มอย่างรู้กัน
จางเฉิงหันหลังเดินเข้าห้องทรงอักษร ฮ่องเต้ว่านลี่ประทับอยู่หลังโต๊ะทรงอักษร พอเห็นจางเฉิงก้าวเข้ามาก็คิดจะตรัส จางเฉิงรีบส่ายหน้า ชี้มือออกไปด้านนอก
ฮ่องเต้ว่นลี่สีพระพักตร์เคร่งเครียดเงียบลง รอจนเสียงประตูด้านนอกปิดลง จึงได้ตรัสขึ้นว่า
“ฉู่เจ้าเหริน เจ้าบ่าวสมควรตาย ถึงกับไม่รู้จักจบจักสิ้น คนสนิทเรายังกล้าลงมือไม่ยอมรามือ เราไม่ออกราชโองการให้กองกำลังหู่เวยไปฝึกซ้อม ไม่ยอมเด็ดขาด!”
จางเฉิงเงียบลง กราบทูลอย่างลำบากใจว่า
“ฝ่าบาท ฉู่เจ้าเหรินทำการนี้ด้วยเรื่องส่วนตัวไม่น้อย มีจิตคิดร้ายผู้อื่น แต่กระหม่อมบังอาจกราบทูลสักคำ ฉู่เจ้าเหรินเรื่องนี้ทำได้ถูกต้อง!”
คิดไม่ถึงว่าจางเฉิงจะเห็นด้วยกับเรื่องนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่อึ้งไป พระขนงขมวดแน่น ทรงคิดว่าจางเฉิงอยู่ข้างพระองค์ การกล่าวเช่นนี้ใช่ว่าคิดอยู่คนละฝั่งงั้นหรือ คิดถึงตรงนี้ ก็ระงับความกริ้วลง ตรัสถามสุรเสียงเยียบเย็นว่า
ไม่ได้ กรีดร้องและคิ้วของเขาก็เมาขึ้นเขารู้ว่าจางเฉิงยืนอยู่ข้างตัวเขาเองเขาสามารถพูดได้ว่าสิ่งนี้จะไม่ขัดกับตัวเองฉันคิดถึงมัน โกรธถามอย่างเฉยเมย :
“อย่างไรกัน?”
จางเฉิงก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว ถวายคำนับกราบทูลว่า
“ทูลฝ่าบาท นายกองเติ้งจิ้นและหูฉีแห่งกองกำลังมังกรฝ่ายซ้ายกลับมา เซวียจานเยี่ยกับโจวอี้ไปเยี่ยมพุดคุยมาก สำนักรักษาความสงบก็จับตาดูมา ทุกคนกลับมาบอกว่า แม้จะลำบาก แต่ทุกคนในกองกำลังต่างเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ยิ่งมีความเก่งกล้าหาญมากขึ้น คนที่ไปสอดแนมล้วรู้การทหาร ไว้ใจได้ ฝ่าบาท กระหม่อมรู้ว่าหวังทงกับกองกำลังหู่เวยเป็นกองกำลังที่ทรงไว้ใจและใช้งานได้ หวังทงทำงานเป็น และยังเป็นผู้จงรักภักดีที่หาได้ยากยิ่ง”
เดิมฮ่องเต้ว่านลี่เอนพระวรกายอยู่ด้านห้า พอได้ยินก็ค่อยๆ พิงลงด้านหลัง จางเฉิงติดตามรับช้ำทวัน ย่อมรู้ว่าพระอารมณ์ค่อยๆ นิ่งลงแล้ว จึงทูลต่อว่า
“ในเมื่อเป็นกองกำลังของพระองค์ ก็ยิ่งต้องให้พวกเราเก่งกล้ายิ่งขึ้น ไม่ว่าฉู่เจ้าเหรินจะคิดอย่างไร แต่การไปเมืองเซวียนฝู่ครั้งนี้เป็นประโยชน์ต่อกองกำลังจริงๆ กระหม่อมเคยได้ยินพิชัยยุทธ์กล่าวว่าทหารเก่งกล้าย่อมไม่ใช่หดหัวฝึกซ้อมอยู่ในพื้นที่ปิด ออกไปเดินๆ ดูๆ โลกภายนอก ได้ติดตามกองทัพออกสังหารพวกชนเผ่านอกด่าน จึงจะใช้การได้ การฝึกกองกำลังเช่นนี้ออกมานั้น ก็เป็นประโยชน์ต่อหวังทงในวันหน้า กองกำลังหู่เวยเข้มแข็ง กำลังของฝ่าบาทก็จะยิ่งยิ่งใหญ่เกรียงไกรไปด้วย กองกำลังหู่เวยเข้มแข็.หวังทงก็ยิ่งมีความชอบมาก”
กล่าวจบอย่างยืดยาวหลายประโยค ฮ่องเต้ว่านลี่ก็นิ่งเงียบไป ก่อนจะถอนหายใจยาว ค่อยๆ ตรัสว่า
“จางปั้นปั้น ออกราชโองการละกัน!”
*************
เมื่อหลินซูลู่ออกมาจากพระตำหนักฉือหนิงกง สิ่งที่เขากราบทูลไทเฮายังไม่แพร่กระจายข่าวออกไป
แต่คนในวังก็มองออกว่า ฉู่เจ้าเหรินมีท่าทีต่อหลินซูลู่เปลี่ยนไปจากเดิม ตอนนี้ล้วนทำตัวเหมือนบ่าวรับใช้ วาจาล้วนยอมอ่อนข้อให้อย่างมาก
หลินซูลู่ออกจากอาณาเขตพระตำหนักแล้ว สองฝ่ายก็กล่าวอำลา หลินซูลู่ขึ้นเกี้ยวไป สั่งไปว่า
“รู้สึกง่วง เดินเร็วหน่อย กลับไปนอนสักครึ่งชั่วยาม ยังต้องออกไปปฏิบัติหน้าที่ต่อ”
ขันทีน้อยแบกเกี้ยวขึ้นรับคำพร้อมเพรียง ยกขึ้นรีบเดิน พอกลับมาถึงที่พักตน ก็รีบเข้าไปในห้อง ซวงศี่ขันทีรับใช้ในห้องก็รีบยกน้ำชาก้าวตามเข้าไป
พอเข้าไปในห้อง หลินซูลู่ที่ว่า “ง่วง” นั่งอยู่หลังโต๊ะ ซวงสี่ปิดประตูลง หลินซูลู่ก็กล่าวขึ้นเบาๆ ว่า
“ซวงสี่ อีกหนึ่งชั่วยามเจ้าออกจากวังไป บอกกล่าวคำกล่าวข้าแก่เจ้าสอง”
*************
หลังจากที่หวังทงได้รับราชโองการ ก็คิดว่าการฝึกซ้อมแม้ว่าจะลำบาก แต่ก็มีประโยชน์ต่อกองกำลังหู่เวย ราชโองการของฝ่าบาทไม่ได้กระพืดคลื่นลมในเมืองหลวงอันใด
ในเมื่อเป็นประโยชน์ต่อแผ่นดิน หวังทงและกองกำลังหู่เวยของเขาก็แค่รับทุกข์เล็กน้อย ลำบากเล็กน้อย หากก็เป็นเรื่องที่ไม่กระไรนัก
*************
ราชโองการจากในวังไปถึงเทียนจิน ด้วยระยะทางที่ไกล นับว่าหวังทงได้ตอบสนองในทันที และยังเรียกได้ว่าตอบสนองได้รวดเร็วอย่างมาก
คนที่มีสายสัมพันธ์กับหวังทงในเมืองหลวงล้วนรู้ว่า นายกองพันหวังผู้นี้อารมณ์ไม่เบา ด้วยเป็นที่โปรดปราน ไม่รู้ว่าจะทำอันใดขึ้นมา คิดไม่ถึงว่าครั้งนนี้เขากับรู้จักรักษาธรรมเนียมส่วนรวมเช่นนี้
ไม่ใช่ว่าไม่มีผู้ใดจับตาดูปฏิกิริยาของหวังทง เตรียมจะเอามาสร้างเรื่องกล่าวหา แต่เห็นเขารู้ความเช่นนี้ ก็พากันเงียบกริบ
ปฏิกิริยากระตือรือร้นของหวังทงทำให้ไทเฮาทรงพอพระทัย ชมเชยอยู่หลายประโยค ณ ตำหนักฉือหนิงกง ฮ่องเต้ว่านลี่เองก็ทรงมีราชโองการชมเชยไป และยังให้สำนักรักษาความสงบส่งเงินไปห้าหมื่นตำลึง
*************
หลังจากราชโองการชมเชยมาถึงเทียนจิน พ่อค้าที่ใจไม่ดีหวาดกลัวกันก็สงบลง แต่พวกที่หัวไวก็รู้ได้ทันทีว่านี่เป็นโอกาสอันใดในการประจบหวังทง
พ่อค้าหลายคนเริ่มไปหาหวังทงที่จวนเอง ขอให้เงินช่วยเหลือ ถามว่ากองกำลังหู่เวยไปเมืองเซวียนฝู่ครั้งนี้ ทุกคนช่วยอันใดได้บ้าง หากใต้เท้าหวังทงต้องการ ทุกคนก็พร้อมจะช่วย
ความตั้งใจของรางวัลเทียนจิงเจียมาถึงเทียนจินเหว่ยแล้วนักธุรกิจที่มีเล่ห์เหลี่ยมและมีไหวพริบและผู้คนทุกชนิดก็ถูกกำหนด แต่คนที่มีใจจะตระหนักได้ทันทีว่านี่เป็นโอกาสที่ดีสำหรับหวังทง
มีพ่อค้าใหญ่ออกหน้า คนอื่น ๆ ก็ตามกันมา แต่ทุกคนล้วนเข้าใจดีว่า หวังทงเดิมก็ร่ำรวยมาก จะต้องการจากทุกคนหรือ ประเด็นก็คือการสนับสนุนกองทัพ ทุกคนได้แสดงตัวออกไป ทำให้ใต้เท้าหวังประทับใจ
แต่ที่คิดไม่ถึงก็คือ หวังทงครั้งนี้กลับเรียกเอาจากทุกคน ให้ร้านสามธาราออกหน้า หนี่งซื้อไม้ในครอบครองของแต่ละคน สองเช่าวัวและม้าจากแต่ละคน
ตอนนี้การขนส่งสินค้าไปเมืองหลวงหรือเมืองโดยรอบก็ล้วนอาศัยแรงม้าและวัวลากรถ กองกำลังหู่เวยขอเช่นนี้ก็ทำให้ทุกคนลำบากใจ แต่หวังทงก็ใช่ว่าจะเอาไปหมด ทุกคนก็ให้กันคนละตัวสองตัว
ทุกคนต่างแปลกใจ จากเทียนจินไปเมืองเซวียนฝู่ ตลอดเส้นทางมีคนมากมาย ก็ค่อยไปซื้อหาเพิ่มระหว่างทางไม่สะดวกกว่าหรือ ไยต้องหาสัตว์มาลากรถไปมากมายอย่างนี้!”