ตอนที่ 424 ต้อนรับราวแขกมีเกียรติ พบกันนอกเมือง
ทหารพื้นที่รอบเมืองหลวงเคลื่อนกำลังเป็นภารกิจสำคัญ ย่อมมีม้าเร็วล่วงหน้ามาแจ้งข่าวแต่ละอำเภอระหว่างทาง ในพื้นที่ก็ย่อมเร่งเตรียมเสบียงและสิ่งของสำหรับกองทัพ และต้องส่งคนมารอรับเพื่อรายงานสถานการณ์ต่างๆ
งานประเภทนี้ย่อมเกิดขึ้นบริเวณละแวกคูเมือง หากปีใหม่เช่นนี้ ผู้ใดจะสนใจการมาถึงของทหารเทียนจิน แม้ว่าเป็นขุนนางคนสนิทฮ่องเต้ แต่ทุกคนก็ขุนนางระดับหกถึงระดับเจ็ด ประจบประแจงไปแล้วได้อันใด ก็พอเป็นพิธีก็แล้วกัน
หากมีความจำเป็นต้องผ่านสถานที่อย่างเช่นในเมืองหรือหมู่บ้าน ทหารบังคับให้ทำอะไรก็ทำๆ ไป ขอเพียงไม่ทำเกินเลย ทุกคนก็จะทำเป็นมองไม่เห็น
จะว่าไปชื่อเสียงของหวังทงแห่งเทียนจินในเขตปกครองเหนือนี้มีผู้ใดไม่รู้บ้าง ว่าวางอำนาจเอาแต่ใจเพียงใด ไม่ว่าขุนนางบุ๋นหรือขันทีก็กล้าด่ามารดาและลงมือลงไม้ ยังถึงขึ้นถล่มด้วยปืนใหญ่ ขอเพียงแค่เจ้านายผู้นี้ตอนผ่านไปอย่าได้สร้างความลำบากใจอันใดก็พอ
หลังจากผ่านอำเภออู่ชิง หากยังไม่มาถึงอำเภอหวงชุน ม้าเร็วที่ไปดูลาดเลาที่อำเภออู่ชิงกลับมามารายงาน กลับบอกเล่าถึงสถานการณ์ที่ต่างไปจากที่ทุกคนคิดเอาไว้
ทหารกองกำลังหู่เวยแห่งสำนักอาชาหลวงที่ตั้งใหม่วินัยเข้มงวด ไม่รังแกราษฎรอย่างเด็ดขาด แต่ละที่ที่ผ่านไปล้วนเป็นถิ่นทุรกันดาร ย่อมไม่เข้าใกล้หมู่บ้าน หากต้องการซื้อหาสิ่งใด ก็จะต้องนำเงินไปซื้อขายตามราคาตลาด กองกำลังหู่เวยยังจ่ายก้อนเงินที่มีสีสันไม่เลว ซื้อขายตามราคาตลาด ในความเป็นจริงนั้นก็เท่ากับได้กำไรหนึ่งส่วนครึ่งหรือมากกว่านั้น ปรากฎว่าอำเภออู่ชิงไม่ฉลองปีใหม่กัน หากพากันออกมาตั้งร้านค้าขายของ
วินัยเข้มงวดหนึ่ง แต่การตั้งทัพก็ดูยิ่งใหญ่ ก็แค่การซ้อมรบ กลับทำจนดูเป็นทางการอย่างมาก ทุกวันเดินสามสิบลี้ จากนั้นก็จะตั้งค่ายพักแต่เช้า ค่ายที่ตั้งก็ง่ายดายยิ่ง แค่รถใหญ่ล้อมเป็นวง พื้นที่ในนั้นแบ่งเขตตั้งกระโจม ด้านนอกมีทหารเวรยาม
จากนั้นทีมม้าก็แยกย้ายกันไปตระเวนข้างนอก หากพบผู้ใดไม่เกี่ยวข้องเข้าใกล้ก็จะเข้าไปไล่ เช่นพวกพ่อค้าที่ตามมาขายของ หากยังไม่ยอมไปก็จะลงมือ แม้แต่คนชั้นสูงและขุนนางในพื้นที่ก็ถูกขับไล่ ป้องกันระวังแน่นหนา
แต่ก็ไม่รู้ว่าเคร่งเครียดกันไปทำไม แม้ว่าจะมีโจร แต่พวกเขาก็ต้องฉลองปีใหม่ ย่อมไม่โง่เง่าแตะต้องตัวโชคร้ายอย่างทหารทางการเช่นนี้แน่ นี่เป็นกองกำลังขนาด 4,000 นายเชียวนะ
บางครั้งผู้คนที่ผ่านหรือมองดูอยู่ห่างๆ ยังกล่าวว่า พวกเขาได้ยินเสียงดังจากในกองกำลังหู่เวย แต่ไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ภายใน
ในอดีตหากทหารผ่านเขตแดน ขุนนางในพื้นที่ย่อมออกมาต้อนรับ หากทางการไม่มีเงินก้อนโต ก็จะขอเรี่ยไรเอาจากคนชั้นสูงและขุนนางในพื้นที่ ในพื้นที่ก็จะถือโอกาสหาเงินสักก้อนเข้ากระเป๋าด้วย ทำเอาทุกภาคส่วนในพื้นที่ต่างไม่พอใจเสมอ แต่ครั้งนี้กลับไม่เหมือนเดิม
ยังไม่ทันรอให้นายอำเภอเอ่ยปาก พ่อค้าทุกคนก็มาเยือนถึงที่ทำการ ว่าต้องการให้นายอำเภอเป็นผู้นำไปสอบถามกองทัพว่าต้องการให้อำเภอดูแลเงินทองใดหรือไม่ นี่เป็นเรื่องที่ช่างแปลกประหลาด
แต่เมื่อคิดดูดีๆ ก็ไม่น่าแปลกอันใด อำเภอชิงห่างจากเทียนจินระยะทางแค่สองวัน ตั้งแต่ต้นปีมาก็ไม่รู้ว่ามีคนไปร่ำรวยกันที่เทียนจินมากมายเท่าใด และไม่ต้องกล่าวถึงร้านที่มีสายตากว้างไกล ย่อมเดินทางไปมาสองเมืองเพื่อติดต่อค้าขายกันแล้ว แม้แต่เจ้าของที่ดินใหญ่หลายคนในอำเภอต่างก็ขายเสบียงให้เทียนจินได้กำไรมาไม่น้อย ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงชาวนาที่ว่างจากการทำนาได้ไปขายแรงงาน คนทุกระดับในอำเภอต่างได้ประโยชน์จากเทียนจินไม่น้อย
ตอนนี้ผู้ดูแลเทียนจินเช่นหวังทงจะผ่านมา คนทำการค้าก็ย่อมไปต้อนรับ ไม่ขอให้หวังทงมอบผลประโยชน์อันใดให้ ขอเพียงได้พบหน้าค่าตากันสักครา วันหน้าอาจจะค้าขายสะดวกมากขึ้น
พอเห็นบรรดาคนชั้นสูงและพ่อค้าในอดีต ที่มักบ่นไม่พอใจ ยามนี้กลับกระตือรือร้นมาก เจ้าหน้าที่ทางการในอำเภอต่างก็ได้สติขึ้นมา ที่แท้มิใช่ผ่านทางมาขูดรีด แต่เป็นเทพเจ้าเงินทองผ่านมาต่างหาก
อย่างไรก็ต้องออกไปประจบสักหน่อย แต่หวังทงเอาแค่เนื้อสัตว์กับเสบียงไว้ ที่เหลือส่งคืนพร้อมกล่าวขอบคุณ คนของหวังทงไม่เข้าเมืองไปรับเลี้ยงแต่อย่างได้ ได้แต่กล่าวปฏิเสธขอบคุณ
************
“หู่โถว ไม่คุยกับบิดาเจ้าหลายคำหน่อยเล่า?”
“สั่งสอนอีกแล้ว ให้ข้าหมั่นฝึกฝนเพลงทวนและธนูให้มาก อย่าเอาแต่ห่วงเล่นปืนไฟอะไรพวกนั้น”
หลี่หู่โถวสีหน้าไม่พอใจ หลี่หู่โถวแต่ไรมาก็กลัวเกรงบิดา กองกำลังหู่เวยผ่านอำเภอหวงชุนมาได้ห้าสิบลี้ กำลังจะถึงเขาจิ่งซาน ก็พอมองเห็นภาพรางๆ ของคูน้ำเมืองหลวง
มีทหารผ่านมาทางเมืองหลวง ย่อมไม่ใช่เรื่องเล็ก สำนักอาชาหลวงส่งทหารม้าออกมานำทาง กองกำลังเมืองหลวงย่อมส่งกำลังมารอรับ แม้ว่ารอรับ แต่ทุกคนก็รู้ดีว่าเป็นการเตรียมการเพื่อป้องกันไว้ก่อน
ใกล้กันเพียงนี้ คนรู้จักที่มาได้ในเมืองก็ล้วนมากัน ได้พบกันก็ทักทาย หลี่หู่โถวอย่างไรก็ต้องถูกบิดาเรียกไป
ได้ยินหลี่หู่โถวบ่น หวังทงก็ยกมือตบหมวกเกราะเขาเบาๆ ยิ้มบังคับม้าให้ก้าวไปทางนั้น
โจวอี้ หลี่ว์วั่นไฉ หลี่เหวินหย่วนและเติ้งจิ้นจากสำนักอาชาหลวง และเซวียจานเยี่ยจากสำนักบูรพาก็ล้วนมากันครบ ทุกคนลงจากหลังม้าประสานมือคารวะ พวกโจวอี้สามคนก็ทักทายสารทุกข์สุกดิบ กล่าวถึงสถานการณ์ของสำนักรักษาความสงบจากนั้นก็หลีกทางให้ อย่างไรหากทำให้การเดินทัพเสียเวลาย่อมเป็นการไม่ดี
เวลาที่พูดคุยย่อมต้องเหลือให้เติ้งจิ้นและหูฉีสองคนที่ไปเมืองเซวียนฝู่กันมา เติ้งจิ้นยิ้มมองรถใหญ่ของกองกำลังหู่เวย และมองการแต่งกายของพลทหาร ก็ยิ้มสบถว่า
“เมืองหลวงว่ากันว่าเทียนจินเป็นภูเขาทองทะเลเงิน ข้าไม่เชื่อ ได้เห็นเครื่องแต่งกายทหารครบครันเช่นนี้ ช่างเป็นภูเขาทองทะเลเงินจริงๆ กองเงินทั้งนั้น”
ทุกวันนี้อยู่เมืองหลวงไม่เหมือนเมื่อก่อน หวังทงตอนนี้เป็นขุนนางใหญ่ในสำนักอาชาหลวง แม้ว่ามีลำดับก่อนหลัง แต่ตำแหน่งเขาอาจเรียกได้ว่าสูสีกัน เติ้งจิ้นยิ้มกล่าวต่อว่า
“จากที่นี่ไปตามเส้นทางหลวงเลียบเส้นทางน้ำ ราวเจ็ดวันก็จะถึงเมืองเซวียนฝู่ แม้ว่ามีภูเขา แต่หนทางก็ราบเรียบ อากาศหนาวทำเอาถนนเป็นน้ำแข็ง หากก็ทำให้รถใหญ่ผ่านได้สะดวก มีเพียงที่ป้อมจางเจียโข่วเท่านั้นที่จะหนาวหลายส่วน ต้องเตรียมการแต่เนิ่นๆ”
กล่าวถึงตรงนี้ก็หยุดลง หวังทงอึ้งมองไป ในใจคิด มีแค่นี้เองหรือ ได้เห็นสีหน้าแปรเปลี่ยนของหวังทง เติ้งจิ้นกับหูฉีก็สังเกตเห็นได้ รีบหัวเราะดังขึ้น
“ใต้เท้าหวัง นี่เป็นแค่ซ้อมรบ ท่านคิดว่ามีเรื่องอันใดให้ต้องบอกกล่าวกัน ไปเมืองเซวียนฝู่ ย่อมเพื่อให้ท่านได้นำกองกำลังออกไปเดินวนสักรอบเท่านั้น นอกจากเดินทางยากลำบากแล้ว ทุกอย่างมอบให้คนมีหน้าที่ดูแลดูแลไปก็พอ ทุกคนล้วนปฏิบัติหน้าที่กันอย่างดี เกรงอกเกรงใจกันอย่างมาก”
หูฉีกล่าวเสริมความ หวังทงส่ายหน้ายิ้ม เซวียจานเยี่ยข้างๆ ก็ก้าวขึ้นหน้ามายิ้มกล่าวว่า
“จางกงกงกำชับมาว่า ขอใต้เท้าอย่าได้กังวล เมืองเซวียนฝู่ทางนั้นบอกกล่าวไว้ดีแล้ว ยังกล่าวอีกว่า ที่เทียนจินปฏิบัติงานกันได้ไม่เลว ในวังทุกฝ่ายพอใจอย่างมาก”
ดูเหมือนว่าไม่มีอะไรสำคัญจริง ๆ ทุกคนมาทักทายเท่านั้น หวังทงยิ้มประสานมือกล่าวขอบคุณ พวกเติ้งจิ้นกับเซวียจานเยี่ยรีบกลับไปฉลองปีใหม่ ทักทายกันเสร็จก็กล่าวอำลา พอพวกเขาจากไป คนของสำนักรักษาความสงบก็ล้อมวงเข้ามา โจวอี้กล่าวว่า
“คนในวังนอกวังที่ใช้งานได้ต่างออกสืบข่าวแล้ว ไม่มีเหตุผิดปกติใด ครั้งนี้เป็นการซ้อมนั้นจริงๆ ตอนนี้ทางเมืองเซวียนฝู่ยังเป็นแม่ทัพหม่าฟางทำหน้าที่ดูแลไปก่อน แม่ทัพคนใหม่ยังไม่ไปรับตำแหน่ง ทุกอย่างที่นั่นยังเป็นระบบดี ไม่มีอันใดจะทำให้น้องหวังต้องลำบาก”
หวังทงพยักหน้า หลี่ว์วั่นไฉกล่าวว่า
“ทางข้าคิดอยู่นาน รู้สึกว่าใต้เท้าหวังมีจดหมายส่วนพระองค์ฮ่องเต้ และพระดำรัสชื่นชมจากไทเฮา ฉู่เจ้าเหรินแห่งสำนักอาชาหลวงย่อมไม่กล้าทำอันใดท่าน แค่เพียงต้องการให้ท่านไปทนทรมานสักครั้งเท่านั้น ไม่ได้ฉลองปีใหม่ ลำบากหน่อยเท่านั้นเอง”
หลี่เหวินหย่วนทางด้านข้างก็พยักหน้าช้าๆ ดูเหมือนว่าสำนักรักษาความสงบจะสืบข่าวในเมืองหลวงมาแล้ว ไม่มีเหตุน่าสงสัยอันใดแม้แต่น้อย หวังทงเงียบไปครู่หนึ่ง ก็ถอนหายใจกล่าวว่า
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นก็วางใจไปสักครั้งก็แล้วกัน”
“นายท่าน กองทัพเดินทาง แม้ว่าเป็นเพียงซ้อมรบก็ไม่อาจประมาท ต้องระวังให้ดี จะได้ไม่เกิดเรื่องใหญ่”
หวังทงกล่าวไม่ทันจบ หลี่เหวินหย่วนก็เอ่ยเตือน หวังทงยิ้มพยักหน้า หันไปชี้ที่รถใหญ่กับทหารที่พักอยู่ว่า
“นี่เป็นการซ้อมรบ ข้าก็ยังทำตามแบบแผนการออกรบจริง ทุกวันก็เคร่งครัด ระวังอย่างมาก”
หลี่เหวินหย่วนเงียบไม่กล่าวอันใดต่อ ได้แต่ประสานมือคำนับ คนอื่นๆ ก็พากันคำนับตาม กล่าวพร้อมเพรียงกันว่า
“ขอให้ใต้เท้าเดินทางปลอดภัย กลับมาเร็ววัน”
หวังทงประสานมือขอบคุณ สองฝ่ายอำลากันเช่นนี้ กองทัพพักอยู่ครึ่งชั่วยามกว่า ก็เดินทางต่อ มองทุกคนกลับเข้าเมืองหลวงไป หวังทงยิ้มคิดว่าสามคนจากสำนักรักษาความสงบเรียกตนสามแบบ ทั้ง “น้องหวัง” “ใต้เท้า” “นายท่าน” ทว่าเรียกขานใกล้ชิดใช่ว่าใกล้ชิด เรียกขานเหินห่างใช่ว่าเหินห่าง
หลังจากเดินทางมาหลายวัน ช่วงเวลาเดือนหนึ่งในเขตปกครองเหนือย่อมเป็นพื้นที่แห้งแล้งทุรกันดาร หรือไม่ก็ปกคลุมไปด้วยหิมะ หรือไม่ก็ดินเหลืองแห้งๆ ไม่มีต้นไม้ ไม่มีภูเขาอันใด พวกทหารเดินไปแรกๆ ก็รู้สึกแปลกใหม่ จากนั้นก็รู้สึกเบื่อหน่ายอย่างมาก บรรยากาศกองทัพก็เริ่มเงียบเหงาน่าเบื่อ
หวังทงรู้สึกสนใจบางอย่าง เขาขี่ม้าอยู่ข้างรถใหญ่ เห็นล้อรถบดถนนทิ้งร่องรอยไว้ เขายิ้มกล่าวกับหลี่หู่โถวด้านหลังว่า
“เป็นดังที่นายกองเติ้งว่าไว้ พวกเราครั้งนี้นำของมามากไป แต่ด้วยประโยชน์ของหน้าหนาว พื้นผิวแข็งแกร่งราวเหล็ก หากเป็นฤดูอื่นมากันละก็ ล้อคงจมลึกลงไปในดินให้ยุ่งยากเป็นแน่……”
************
เขตปกครองเหนือกับซานซีนั้นไม่นับว่าห่างไกลนัก แต่เดินทางไปมายุ่งยากมาก ซานซีประกอบด้วยภูเขาและแม่น้ำรวมกัน นอกจากเมืองต้าถงแล้ว เส้นทางอื่นเข้าสู่ซานซีก็ล้วนเดินทางยากลำบากมาก
หากออกเดินทางในเดือนสิบสอง ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 7 ไปต่อต้นปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 8 ม้าเร็วจากเมืองหลวงมาซานซีโดยเส้นทางจากเมืองเจินติ้งผ่านมาทางด่านเหว่ยเจ๋อ ไปทางเส้นทางหลวงตะวันตกสู่เมืองไท่หยวน จากเมืองไท่หยวนลงใต้ไปเมืองเฝินโจว จากนั้นก็ขึ้นเหนือไปเมืองต้าถง หากไม่ใส่ใจม้า เอาแต่เดินทาง เดือนสิบสองถึงเดือนหนึ่งก็ถึงแล้ว หากตลอดทางมีผู้มีอิทธิพลในท้องที่ซานซีให้ความช่วยเหลือ เช่นนั้นย่อมไม่ต้องพูดถึง
นับประสาอันใดกับคนที่จากเมืองหลวงมาซานซีเป็นคนจากตระกูลหย่งเซิ่งป๋อ ที่ซานซีย่อมอำนวยความสะดวกให้……”