ตอนที่ 426 ทหารยากไร้ไหนเลยจะเข้มแข็ง แม่ทัพชายแดนรู้หลักการค้า
ลี่อวิ๋นเซิ่งรู้จักความสำคัญของหวังทง ไม่เหมือนพวกทหารติดตามคนอื่นของลี่เทา กอปรกับวันนี้หวังทงยังมาในฐานะทหารวังหลวง ทุกคนสถานะใกล้กัน ดังนั้นจึงปฏิบัติต่อด้วยความสุภาพอย่างมาก
อย่างไรก็ตามความสุภาพคือส่วนความสุภาพ ความสัมพันธ์ระหว่างลี่เทากับหวังทงนั้นไม่ธรรมดา สองฝ่ายการงานคล้ายกันก็เรื่องหนึ่ง แต่ก็ยังมีสายสัมพันธ์ส่วนตัวอยู่ ดังนี้ความสุภาพจึงแฝงไว้ด้วยความสนิทสนมอยู่ด้วย
ได้ยินดังนี้หวังทงก็ยิ้มถามออกไป ลี่อวิ๋นเซิ่งไม่ได้คิดมาก คิดเพียงว่าหวังทงถามไปเช่นนั้น จึงยกจอกสุราขึ้นก่อนจะกล่าวว่า
“ใต้เท้าหวังล้อเล่นแล้ว ตระกูลลี่เราไม่เท่าไร ใต้เท้าหวังหากไปที่จวนแม่ทัพหม่า นั่นจึงเรียกว่าหรูหราอลังการ”
หวังทงยิ้มแตะสุราที่ริมฝีปาก ก่อนจะวางลง วันนี้ผู้ที่สามารถอยู่ในงานเลี้ยงนี้ไม่มาก ลี่อวิ๋นเซิ่งกับลี่เทาพ่อลูก ไช่หนาน และหวังทงกับหลี่หู่โถวเท่านั้น
นายกองไช่หนาน ผู้บัญชาการค่ายหวังทงสถานะย่อมใหญ่พอ ซุนซิงกับเด็กอื่นๆ ต่างจัดให้นั่งอยู่ด้านนอก ที่หลี่หู่โถวมาอยู่ที่นี่ได้ก็เพราะเขาเป็นคนสนิทของฮ่องเต้ วันนั้นที่ลานฝึกหู่เวยหากตาไม่บอดย่อมเห็นความสนิทสนมระหว่างหลี่หู่โถวและ “หวงอี้จวิน”
เมื่อหลี่หู่โถวเข้าเมืองหลวงครั้งนั้น ฮ่องเต้ว่านลี่ยังรั้งให้เขาอยู่รับตำแหน่งในเมืองหลวง หากหลี่หู่โถวปฏิเสธ และเขาเองก็เป็นช่างเล่า พอกลับถึงเทียนจินก็บอกเล่าแก่คนสนิทหมดสิ้น ยิ่งแสดงให้เห็นว่าเขาอยู่ในสถานะเช่นไรในพระทัยฮ่องเต้
อย่าเห็นว่าหลี่หู่โถวเป็นแค่นายกองธงใหญ่ ในพระทัยว่านลี่ วันหน้าอนาคตไม่รู้ว่าจะใหญ่โตไปถึงขั้นไหน ตอนนี้สร้างสัมพันธ์ให้ดีไว้ก่อน ดังนั้นจึงหาเหตุให้มานั่งด้วยกันที่นี่
หวังทงกล่าวไปตามเรื่อง หากหลี่หู่โถวกลับปากไว
“ท่านลุงลี่ ตลอดทางมาหลานเห็นทหารไม่น้อยสวมชุดทหารเก่าๆ เมืองเซวียนฝู่หนาวกว่าเทียนจินไม่น้อย จะทนรับไหวหรือ หนาวตัวแข็งจะออกรบอย่างไร……”
กล่าวไม่ทันจบ ไช่หนานข้างๆ ก็กระแทกท่อนแขนเบาๆ หวังทงกำลังพูดถึงความร่ำรวยของตระกูลลี่ เจ้ากลับพูดถึงทหารชุดขาดๆ เก่าๆ จะทำให้คนเข้าใจผิดเอาได้
ได้ยินเช่นนี้ ลี่อวิ๋นเซิ่ง รองแม่ทัพแห่งเมืองเซวียนฝู่ก็กวาดตามองไปที่หวังทงและหลี่หู่โถวอย่างรวดเร็ว เห็นหวังทงทำหน้าไม่ถูก ก็เข้าใจทันทีว่าไม่ได้ตั้งใจจะกระทบกระเทียบ แต่สีหน้าหวังทงกับหลี่หู่โถวก็สงสัยจริง อย่างไรก็ต้องอธิบาย จะได้ไม่ให้ทั้งสองคิดไปเอง วันหน้าบางทีอาจทำให้เกิดความยุ่งยากที่ไม่จำเป็น
“หู่โถว เหตุผลนี้เจ้าไม่เข้าใจ พยัคฆ์หมาป่าหากยามปกติให้กินกันอิ่มหมีพีมัน ไหนเลยจะยอมออกล่าสัตว์ ทหารก็เช่นกัน ยามปกติหากให้พวกเขาสุขสบาย ไหนเลยจะมีใจออกสังหารศัตรู ยากปกติให้พวกเราลำบากสักหน่อย ยามออกรบมีรางวัลมอบให้สักหน่อย จึงเป็นหลักการที่ดี”
วาจามีเหตุผลอยู่หลายส่วน หลี่หู่โถวเหมือนกำลังคิดอันใดอยู่ ลี่อวิ๋นเซิ่งยิ้มกล่าวว่า
“แม่ทัพหม่าเริ่มจากเป็นทหารก้าวขึ้นสู่แม่ทัพ ตอนนี้อายุมาก จิตใจอ่อนลงไม่น้อย เมืองเซวียนฝู่เราทุกปีก็มีเงินเบี้ยหวัดราวเจ็ดเดือนมาถึงมือ หากอยู่ต้าถงกับส่านซีทางนั้น ทหารขายลูกชายลูกสาวยังมี ให้ภรรยาออกหากินก็มี นั่นจึงเรียกว่าลำบาก!”
ได้ยินดังนี้ หลี่หู่โถวก็เบิกตามองค้าง หวังทงมีสีหน้าประหลาดใจ ในเมื่อถึงขั้นนี้ ลี่เทาข้างๆ ก็กล่าวเสริมอย่างมีความรู้ว่า
“เมืองเหลียวโจวพื้นที่กว้างใหญ่ แม้ว่าไม่มีเบี้ยหวัด บรรดาทหารก็มีที่ดินทำนากัน อันดับสองก็คือเมืองเซวียนฝู่เรากับเมืองจี้โจวแล้ว ส่านซีกับซานซีทางนั้นล้วนหักเบี้ยกันหนักมาก หากการเป็นทหารก็เพื่อออกรบ เมื่อออกรบจึงมีเงิน”
ทหารยากจนถึงขั้นนี้ ยังจะมีเรี่ยวแรงกำลังใดไปต่อสู้กัน แต่ลี่อวิ๋นเซิ่งเป็นแม่ทัพชายแดนมานานปี กล่าวจนถึงขั้นนี้ ก็ย่อมไม่สนใจว่าพวกหวังทงจะเชื่อหรือไม่
แต่ฟังก็ส่วนฟัง ในเมื่อเบี้ยหวัดมีเรื่องเช่นนี้ แต่ก็ยังมีเรื่องเสบียงอาหารอีก คนอื่นออกฆ่าฟันถวายชีวิต ไม่ให้ค่าตอบแทนที่พอเพียง ผู้ใดจะฟังคำสั่ง ผู้ใดจะสู้ตาย ในยุคสมัยนี้ ชนชาติอันใด ประเทศอันใด ความคิดพวกนี้ล้วนเลือนลาง ในใจทหารทุกคนไม่มีความคิดพวกนี้ ที่จะรั้งใจไว้ได้ก็มีเพียงเบี้ยหวัด กินอิ่ม จากนั้นก็ฝึกทหารและรักษาวินัยให้เข้มงวด
หลี่หู่โถวได้ยินก็ส่ายหน้า หวังทงยกสุราดื่มหมดจอก ลี่อวิ๋นเซิ่งกล่าวต่ออีกว่า
“ทางต้าถงหลายปีมานี้รบกันทัพใหญ่มาก ช่วงฤดูหนาวพวกนอกด่านรุกรานเข้ามา ต้าถงแต่ละป้อมก็รักษาการแน่นหนา ทุกครั้งก็จะตัดศีรษะสองสามร้อยหัวเอาไปรับพระราชทานรางวัล”
บรรยากาศเริ่มอึดอัดเต็มทน หญิงรับใช้ด้านหลังเทสุราเต็มจอก หวังทงไม่กล่าวอันใด หลี่หู่โถวกลับส่ายหน้ากล่าวว่า
“พวกนอกด่านไม่กี่พันคนก็เรียกว่าทัพใหญ่หรือ?”
วาจานี้ทำเอาลี่อวิ๋นเซิ่งอึ้งไป ลี่เทากลับแทรกขึ้นว่า
“ทหารม้าสองหมื่นก็มี……”
“สองหมื่นตัดหัวมาแค่ไม่กี่ร้อย ทหารเทียนจินเราสามพันนายตัดหัวโจรสลัดก็ได้เกือบสามร้อยแล้ว”
หลี่หู่โถวกล่าวอย่างไม่ยี่หระ ลี่อวิ๋นเซิ่งอึ้งไป ตามมาด้วยเสียงหัวเราะดังลั่น ก่อนจะหยุดเอ่ยว่า
“พวกนอกด่านเป็นภัยใหญ่ที่มีมาตั้งแต่ก่อตั้งราชวงศ์หมิง ทหารม้าพวกมันองอาจกล้าหาญ พวกโจรสลัดนั่นเทียบไม่ติด!”
หลี่หู่โถวกำลังจะโต้ต่อ หวังทงก็ใช้ตะเกียบคีบเนื้อแพะย่างสองชิ้นวางลงในจานของหลี่หู่โถว ยิ้มเอ่ยว่า
“เอาแต่คุย กินให้อิ่มท้องก่อนเถอะ!”
กำลังคุยสนุกได้ที่ กำลังจะบอกว่าไม่หิว พอหันหน้าไปเจอหวังทงจ้องถลึงตาใส่ก็รู้จักสงบเสงี่ยมทันที จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตากิน
จากนั้น ทั้งสองฝ่ายก็ไม่เอ่ยถึงอะไรเกี่ยวกับการทหารอีกเลย เปลี่ยนบทสนทนาไปยังเรื่องหิมะลมหนาวและการค้า ตระกูลลี่มีการค้าหนังสัตว์ หนังแต่ละแบบที่ผ่านการบวนการแปรรูปส่งไปที่เทียนจินขายดีมาก แต่ตระกูลลี่รู้ข่าวสายไป พอคิดจะไปค้าขายก็ไม่มีที่ให้แทรกตัวเสียแล้ว
ปรากฎว่าเห็นว่าสามารถหาเงินได้อย่างน้อยก็แปดส่วน เพราะการขายให้ร้านค้าตัวแทนที่เทียนจินได้กำไรอย่างมากแค่สองส่วน ครั้งนี้หวังทงมาที่นี่ จึงต้องเอ่ยเรื่องนี้
ลี่อวิ๋นเซิ่งสวมชุดนวมหนา ร่างกายแข็งแรง ก้าวย่างก็มีท่าทางแบบแม่ทัพใหญ่ผ่านสมรภูมิมามาก มีความองอาจอย่างมาก หากยามที่คุยเรื่องการค้าขึ้นมากลับเชี่ยวชาญยิ่ง เข้าใจกระจ่างในทุกเรื่อง กล่าวว่าหากหวังทงยินยอมเปิดทางให้ร้านหนังสัตว์ตระกูลลี่ ก็จะให้หุ้นส่วนหนึ่ง
หวังทงไหนเลยจะเอาเปรียบผู้อื่น เอ่ยปากมาก็รับปากว่าจะให้ร้านสามธาราแบ่งหน้าร้านให้ตระกูลลี่ร้านหนี่ง เอาไปเปิดร้านก็แล้วกัน ลี่อวิ๋นเซิ่งย่อมไม่รับไว้ฟรีๆ สองฝ่ายเจรจาต่อรอง สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปว่า กำไรที่ได้เพิ่มมาแปดส่วน ให้หวังทงสองส่วนเป็นค่าเช่าและค่าเหนื่อย
ปากก็เจรจาการค้า แต่ในใจหวังทงกลับมีความคิดที่น่าขันอันหนี่ง หรือว่าแม่ทัพชายแดนราชวงศ์หมิงไม่คัดเลือกกันด้วยฝีมือการรบ หากดูว่าทำการค้าเป็นหรือไม่ ขุนพลซุนโส่วเหลียนที่เมืองเหลียวโจวนั้นก็เชี่ยวชาญการค้า ยังรู้ว่าส่งไม้ใหญ่มาเทียนจินทำกำไรใหญ่ได้ ลี่อวิ๋นเซิ่งทางนี้ก็รู้ไปทุกเรื่องเช่นกัน
ทว่าหลังเจรจาเรื่องร้านเสร็จ ก็มีผลประโยชน์เกี่ยวเนื่องกัน ความสัมพันธ์ของทุกคนก็ใกล้ชิดกันกว่าก่อนหน้ากินเลี้ยงขึ้นอีกหน่อย แม้หวังทงจะอายุใกล้เคียงกับลี่เทา แต่การสนทนากับลี่อวิ๋นเซิ่งนั้นราวกับผู้ใหญ่คุยกัน ลี่เทากับหลี่หู่โถวฟังไม่เข้าใจ และก็ไม่มีที่ให้แทรกด้วย ได้แต่รู้สึกเซ็งอยู่ตรงนั้น
ผ่านไปครู่หนี่ง ลี่เทาก็ลากหลี่หู่โถวไปดูม้าที่โรงม้า ตระกูลลี่อยู่ชายแดนที่มีการค้ากับชาวทุ่งหญ้า มีม้าดีไม่น้อย พอเขาสองคนออกไป หวังทงก็ยกจอกสุราขึ้นยิ้มกล่าวว่า
“ครั้งนี้มาเมืองเซวียนฝู่ ไม่คุ้นเคยพื้นที่และผู้คน โชคดีที่มีใต้เท้าลี่อยู่ที่นี่ ขอโปรดให้คำแนะนำให้มากๆ ข้าขอคารวะท่านหนึ่งจอก”
กล่าวจบ ก็ดื่มหมดจอก ลี่อวิ๋นเซิ่งยิ้มลุกขึ้นยืน ดื่มไปหนึ่งจอกเช่นกัน ก่อนจะโบกมือกล่าวว่า
“คนกันเองทั้งนั้น ไยต้องกล่าววาจาเหินห่างเช่นนี้ อยู่เมืองเซวียนฝู่ทางนี้ก็ทำเหมือนอยู่เทียนจินได้เลย การซ้อมรบนั้นก็แค่เดินทางออกจากป้อมจางเจียโข่วไปห้าสิบลี้เท่านั้น ค้างแรมสักหนึ่งคืนค่อยกลับมา ข้าจะส่งนายกองพันตามไปคนหนึ่ง ฝากให้คนไปแจ้งพวกชาวนอกด่านให้ดูแล วางใจได้”
หวังทงขมวดคิ้ว วันนี้ดื่มสุราหวงจิ่ว ตนดื่มไปไม่กี่แก้วหรือว่าเมาแล้ว ชายแดนกับพวกนอกด่านเป็นศัตรูกัน แจ้งพวกนอกด่านให้ดูแลนี่มันอะไรกัน ดูไปก็ไม่ได้เป็นเรื่องต้องห้ามอันใด มิเช่นนั้นคงไม่กล่าวออกมาง่ายๆ เช่นนี้ คิดไปคิดมาอดไม่ได้ถามขึ้นว่า
“ฝากพวกนอกด่านดูแล……”
เห็นหวังทงสงสัยไม่กล้าถาม หากสีหน้างุนงงเต็มที ลี่อวิ๋นเซิ่งก็ยิ้มกล่าวอธิบายว่า
“ใต้เท้าหวังอยู่ใจกลางแผ่นดินคงไม่รู้ ชายแดนแม้ว่าเป็นชานแดน แต่ก็ใช่ว่าจะสู้กันทุกวันทุกเดือน ยังไงก็ต้องทำการค้ากับพวกนอกด่าน ราชวงศ์หมิงเราต้องการม้าวัวของพวกเขา พวกเขาอะไรๆ ก็ไม่มี ต้องอาศัยชนเผ่าริมกำแพงเมืองเราค้าขายกับเรา ไม่กล้ามีเรื่องกับพวกเรา ไม่งั้นไม่ส่งเกลืออาวุธให้พวกมารดามันคงได้ตายเรียบบนทุ่งหญ้านั่นแล้ว”
ที่แท้คุมเส้นเลือดการค้าอีกฝ่ายไว้ ในที่สุดหวังทงก็เข้าใจ ดูท่าแล้วไม่ต้องกังวลอันใดจริงๆ แต่น่าขันก็คือฉู่เจ้าเหรินยังคิดว่าเป็นวิธีทรมานตนเองให้ลำบาก หากกลับเป็นช่วยตนฝึกซ้อมทหาร
***********
หวังทงปฏิเสธการรั้งให้อยู่ร่วมงานต่อของสองพ่อลูกตระกูลลี่ อย่างไรก็ออกไปพักที่ค่ายนอกเมืองดีกว่า พอหวังทงจากไป สองพ่อลูกก็ออกไปที่เรือนด้านข้าง มีคนรับใช้นำน้ำชาและของว่างมาให้
“เจ้าหลี่หู่โถวช่างเป็นเด็กน้อย เจ้ากับเขาก็เป็นสหายจริงใจกัน อยู่ร่วมกันดีๆ วันหน้าย่อมได้ช่วยเหลือกัน”
ลี่เทายิ้มรับคำ ก่อนจะลังเลถามขึ้นว่า
“ท่านพ่อ ลูกอยากจะตามออกไปนอกด่านด้วย……”
กล่าวได้ครึ่งเดียวก็ถูกลี่อวิ๋นเซิ่งตัดบทว่า
“กลับมาก็ไม่ต้องมาทำหน้าที่เจ้าที่นี่แล้ว ตามกลับเทียนจินไป!”
ลี่เทาอึ้งไป ยังคิดว่าบิดาโกรธ กำลังจะพูดก็ได้ยินบิดากล่าวต่อว่า
“กองกำลังหู่เวยเป็นกองกำลังหนึ่งของสำนักอาชาหลวงแล้ว เจ้าเป็นนายกองพันที่นั่น อนาคตย่อมดีกว่าอยู่เป็นหัวหน้าป้อมที่เมืองเซวียนฝู่นี่ เมื่อก่อนฟังเจ้าเล่า ยังคิดว่าหวังทงเป็นเพียงเด็กน้อยยังไม่โต แต่วันนี้ได้พบ ช่างเป็นงาน การทหารแม้ไม่ค่อยรู้มากนัก แต่ก็รับมือได้ดี จะว่าไป เจ้าดูที่ปรึกษาทางทหารเมืองเซวียนฝู่เราสิ ต่อหน้าแม่ทัพหม่ายังกล้าวางท่าวางทางใหญ่โต แต่เจ้าดูที่ปรึกษาทหารข้างกายหวังทงสิท่าทางทรงภูมิ……