Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 431

ตอนที่ 431 พักระหว่างรบ

ปู้ป๋อแม่ทัพมองโกลยืนอยู่บนหลังม้ามองสนามรบ เมื่อครูปาเอ่อหู่ที่ถูกเขาฟาดหน้าจนเลือดซิบก็อยู่ข้างๆ พอเห็นทัพใหญ่วิ่งกลับมากันอย่างคอตก ก็อดไม่ได้กล่าวว่า

“ใต้เท้าปู้ป๋อ สถานการณ์เมื่อครู่ เร่งเสริมกำลังเข้าไปอีกก็ตีฝ่าได้แล้ว……”

“หุบปาก ตีฝ่าได้แล้ว? ตอนนี้ยังเข้าไปไม่ได้แม้แต่คนเดียว ต้องล้มตายลงอีกเท่าไร ถึงตอนนั้นอย่าว่าแต่ข้าจะรายงานต่อหน้าใต้เท้าน่าจี๋เท่ออย่างไรเลย เจ้าคิดว่าเจ้าจะดีไปกว่าข้าหรือ”

ปู้ป๋อสบถเสียงเย็นโดดขึ้นหลังม้า คว้าถุงหนังที่ข้างอานม้าออกมา ก่อนจะยัดเข้าปากดื่มไปสองอึก จากนั้นก็หัวเราะดังลั่น กลิ่นสุรารุนแรงคละคลุ้งไปทั่ว

สุราดีมองโกล หากบนทุ่งหญ้าไม่อาจเพาะปลูก ได้แต่ใช้นมมาหมักสุรา กลิ่นเปรี้ยวฝาดยากดื่ม ดังนั้นสุราฤทธิ์แรงของหมิงจึงมักขายได้ราคาสูงบนทุ่งหญ้า แต่การขายสุรานั้นขนส่งลำบาก ผ่านด่านยาก การเก็บรักษาก็ยุ่งยาก ไม่สู้ขายสินค้าอื่นที่ทำกำไรได้ดียิ่งกว่า ดังนั้นจึงมีแต่ชนชั้นสูงระดับผู้นำในมองโกลเท่านั้นถึงจะได้ดื่ม พวกขุนพลใหญ่ใช่ว่าจะมีดื่มกัน

ปู้ป๋อดื่มสุราฤทธิ์แรงลงไป พวกทหารข้างๆ แม้แต่ปาเอ่อหู่เองก็มองอย่างเปรี้ยวปาก แต่ปู้ป๋อกลับทำเป็นมองไม่เห็น เอ่ยว่า

“เป็นสุราดี เข้าปากก็หวาน พอลงคอเหมือนว่ามีลูกไฟสายหนึ่งไหลลงไป รู้สึกร้อนระอุไปทั้งตัว ของดีสุนัขหมิงนี่มันมากมายเสียจริง เข้าด่านได้เมื่อไรจะไปปล้นชิง……”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ก็นึกได้ว่าไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดตอนนี้ ปู้ป๋อสะบัดหน้าไปมา สบถหยาบคายว่า

“สุนัขหมิงพวกนี้ป้องกันอย่างดี แต่หากทำลายกำบังได้ก็แค่แกะน้อย พวกเราจับตาไว้ พวกมันไม่กล้าขยับ ปาเอ่อหู่ เจ้านำกำลังพลม้าสองร้อยไปเผ่าหั่วเลย นำเชลยสุนัขหมิงพวกนั้นมาที่นี่!”

ดวงตาของปาเอ่อหู่จับต้องอยู่ที่ถุงหนังของปู้ป๋ออยู่ก็อึ้งไปถามว่า

“ใต้เท้าปู้ป๋อ ตายไปขนาดนั้นยังจะรบอีกหรือ?”

“รถใหญ่มากมายเพียงนี้ด้านในยังมีสัตว์เลี้ยงอีก ยังมีปืนใหญ่พวกนั้นอีก ขอเพียงตีแตกก็สามารถกลับไปรายงานใต้เท้าน่าจี๋เท่อได้ เมื่อครู่พวกมันก็ยากลำบากกันมากแล้ว พวกเราแค่หาทางทำให้พวกมันออกมาจากกระดองเต่านี้ได้ ก็มีวิธีจัดการพวกมัน รีบไป หากตีแตกได้ สุราดีมีให้เจ้าดื่มจนหนำใจ!”

เมื่อได้ยินดังนี้ ปาเอ่อหู่ก็มีกำลังใจขึ้นมาทันที ตะโกนเรียกคนขึ้นม้าควบไปยังตอนเหนืออย่างรวดเร็ว รอจนเขาไปไกลแล้ว ปู้ป๋อก็หันไปถ่มน้ำลายใส่ด้านหลัง ออกคำสั่งว่า

“ถอยไปสามลี้ เฝ้าดูว่าพวกสุนัขหมิง ไม่ให้ฉวยโอกาสหลบหนี!”

************

“ใต้เท้า พวกมองโกลถอยไปทางเหนือแล้ว!!”

ทหารบนหอสังเกตการณ์ตะโกนดังขึ้น หวังทงจับตาดูทัพใหญ่มองโกลถอยห่างไป กล่าวว่า

“ลงไปหาคนมาแทนเจ้า จุดไฟผิงคลายหนาว อยู่ข้างบนหนาวจนแข็งไปหมดแล้ว”

ทหารผู้นั้นอึ้งไป จากนั้นกล่าวเสียงดังอย่างซาบซึ้งใจว่า

“ขอบคุณใต้เท้า ข้าน้อยไม่เหนื่อย ไม่หนาว”

หวังทงโบกมือ ทหารไม่กล้าโต้เถียงต่อ รีบปีนลงไปทันที มีหทารด้านล่างเตรียมเปลี่ยนตัวอยู่ก่อนแล้ว ถานเจียงกระซิบเบาๆ ว่า

“นายท่าน ตอนนี้พวกเราไม่อาจเคลื่อนที่ได้ รถเราก็เปิดช่องโหว่แล้ว พวกทหารมองโกลย่อมบุกเข้ามา ระยะห่างนี้เหมือนไกล พวกมันขี่ม้ามาเร็ว แต่เรากลับขยับถอยไปไหนไม่ได้”

“พวกมองโกลคงคิดว่าพวกเราเช้ามายังไม่ทันเตรียมพร้อม คิดไม่ถึงเลยว่าใช้ค่ายรถเป็นกำบังในการตั้งพักค่ายของพวกเราจะได้ผลดีมาก คาดว่า แม่ทัพมองโกลเห็นแล้ว คงรอให้พวกเราขยับ พวกเราสังหารศัตรูไปมาก ได้เปรียบอยู่ ร้อนใจไปไย รอก็แล้วกัน”

ที่ถานเจียงกล่าวมานั้น หวังทงเข้าใจพยักหน้าตอบกลับไป ถานเจียงเห็นหวังทงนิ่ง ก็ยิ้มพยักหน้า เอ่ยชมว่า

“วิธีการใช้รถใหญ่ตั้งค่ายของนายท่านราวกับค่ายรถของแม่ทัพชี หากใช้แรงงานสัตว์ขับเคลื่อนและยังใช้ประกอบกับปืนใหญ่ ประสิทธิภาพจึงมากกว่าอีกหนึ่งขั้น บนเขาอาจใช้การไม่ได้ แต่บนทุ่งหญ้ารบกันนั้น ขอเพียงตั้งค่ายเสร็จ ทหารมองโกลนั้นไม่อาจเข้าเขมือบได้จริงๆ ……”

“ก็แค่รังแกมองโกลไร้ปืน หากพวกมันมีปืนเหมือนกัน ก็ย่อมดูว่าปืนใครทรงอานุภาพกว่า!”

หวังทงหรี่ตามองไปยังทัพมองโกลที่วิ่งไปตั้งพักทัพก่อนจะกล่าวออกมาเช่นนั้น ถานเจียงสังเกตการทำงานของรถตั้งแต่เริ่มต้น ชมไม่หยุดปาก เขาเป็นขุนพลทหารจากตระกูลถาน เติบโตในกองทัพ จึงสนใจในเรื่องนี้อย่างมาก พอเห็นว่าใช้การได้ดีเยี่ยม ก็ย่อมถามไม่หยุด

“นายท่าน ว่ากันว่าขบวนรถนี้เป็นการออกแบบของพวกต่างชาติ พวกป่าเถื่อนไร้อารยธรรมพวกนั้นมีความสามารถเช่นนี้ได้ ไม่ใช่วิธีการของนายท่านเองหรือ?”

แผ่นดินจีนดูถูกพวกต่างชาติป่าเถื่อนไร้อารยธรรม หวังทงเห็นพวกมองโกลเริ่มจุดไฟ ก็รู้ว่าอีกฝ่ายเตรียมพัก จึงได้โบกมือให้ถานเจียงเอยว่าให้ลงไปสั่งการว่า

“กองค่ายเจ็ดและแปดออกไปสังหารพวกมองโกลที่ขยับไม่ได้ทิ้ง พวกที่ยังเดินได้ก็ให้จับตัวมา ม้าที่ตายก็ลากเข้ามา ลี่เทา ซุนซิงกับหู่โถว พวกเจ้าให้คนงานจุดไฟเตรียมทำอาหาร ถานปิง ถานเจี้ยน พวกเจ้าจัดทหารเฝ้าเวรยาม มู่เอิน ไปเตรียมปืนใหญ่เจ้าให้ดี ให้ยิงได้ทุกเมื่อ นายกองไช่ นำคนไปปลอบใจดูแลทหารบาดเจ็บ เก็บกวาดให้ดี!!”

ออกคำสั่งเป็นชุดลงไป ทุกคนในกองกำลังหู่เวยเหน็ดเหนื่อยจากชัยชนะเล็กครั้งนี้แล้ว ก็ยังรู้สึกงง ไม่รู้ว่าควรทำอันใด หวังทงสั่งการดังไป ทุกคนก็รีบไปปฏิบัติการทันที

ด้านหน้าและหลังค่ายรถมีแผ่นไม้ประกอบกับตัวรถเป็นประตูค่าย ทหารเปิดประตูออกไปเก็บกวาดสนามรบ ราวร้อยกว่าก้าวด้านนอกยังมีพลหทารมองโกลชะเง้อมองมา พวกทหารพวกนี้โดดเดี่ยวคนเดียวก็ทำอันใดไม่ได้ ได้แต่ถอยหลังไปหลายก้าวและจับตามองต่อ

ทหารกองกำลังหู่เวยไม่สนใจ เริ่มเก็บกวาด จัดการตามคำสั่งให้เสร็จ หวังทงถอนหายใจนั่งลงบนรถ ก่อนจะขยี้ขมับ เอ่ยขึ้น

“ข้าไหนเลยจะคิดได้ หากเป็นช่างต่างชาติที่ชื่อฟารังเกอ บอกว่าร้อยปีก่อนประเทศพวกเขาเคยออกปราบปรามผู้ก่อการไม่สงบกลุ่มหนึ่ง แต่ละฝ่ายประจันหน้ารบ แต่พวกก่อการกลับใช้วิธีนี้ รถใหญ่บังไว้และมีปืนน้ำหนักเบา พวกทหารกองทัพในชุดเกราะถูกยิง ระยะใกล้แม้ปีนขึ้นไปได้ แต่ก็จะถูกพวกก่อการไม่สงบแทงด้วยหอกยาว จากนั้นมีพวกก่อการบางคนยอมกลับตัว ทำให้สถานการณ์สงบลง ฟารังเกอนั้นได้ยินว่าพวกเราจะออกรบทุ่งหญ้า จึงได้มาขอพบและบอกกล่าวยุทธวิธีนี้แก่ข้า”

เดิมคิดว่าถามไปงั้น ยามนี้ถานเจียงกลับมีสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ เอ่ยถามต่อว่า

“พวกป่าเถื่อนนี้ใช้วิธีนี้ตั้งแต่เมื่อร้อยปีก่อน เช่นนั้นตอนนี้กองทัพยอดเยี่ยมถึงขั้นไหนกันแล้?”

เมื่อได้ยินคำถามนี้ หวังทงก็อึ้งไป มองเห็นกลุ่มควันไกลๆ ก็ถอนหายใจกล่าวว่า

“เรือลำนั้นเจ้าก็เห็นแล้ว แผ่นดินหมิงมีเรือรบไหนเทียบได้ ทางทะเลยังเช่นนี้ ทางบกก็ย่อมไม่ต่างกันเท่าไร……แต่ยังทันอยู่ ยังตามทัน”

ขณะกำลังรำพึงกันอยู่ ลี่เวยด้านล่างก็ฟื้นขึ้นมา คนรอบๆ ยุ่งกับงานไม่มีผู้ใดสนใจเขา ลี่เวยลุกขึ้นยืนสะบัดหัวไปมา เห็นลี่เทานำทหารกำลังลอกหนังม้า ข้างๆ มีหม้อใบใหญ่ ด้านใต้มีกองฟางแห้ง ในนั้นต้มน้ำจากหิมะ สถานการณ์กำลังวุ่นวาย

ลี่เวยรีบวิ่งเข้าไป กล่าวอย่างร้อนใจเร่งด่วนว่า

“นายน้อยอย่าได้ร้อนใจไป พรุ่งนี้เมืองเซวียนฝู่ไม่เห็นใคร ก็จะส่งทัพใหญ่มา ข้าน้อยเอาเงินให้พวกนอกด่านมองโกล ต้องให้นายน้อยได้……”

วาจายังกล่าวไม่ทันจบ ลี่เทาก็เริ่มหน้าแดงก่ำ รีบอุดปากเขาไว้ มองซ้ายมองขวา คำรามใส่เบาๆ ว่า

“หุบปากเดี๋ยวนี้ หน้ำตานายน้อยอย่างข้าถูกเจ้าฉีกเละไปหมดแล้ว กองกำลังหู่เวยรบชนะแล้ว เจ้าไม่รู้หรือ ยังจะเอาเงินให้พวกมองโกลมันอีก!”

ทั้งหลี่หู่โถวและซุนซิงต่างก็พลอยหัวเราะตาม เห็นท่าทางทุกคนแล้ว ลี่เทาก็รู้สึกอาย ใช้สายตามพิฆาตถลึงใส่ลี่เวย เขาจึงได้ยิ้มแห้งๆ เดินกลับไป

************

“ตอนนี้พวกเจ้ารู้แล้วกระมังว่าข้านำรถม้ามามากมายทำไม!?”

หวังทงกระโดดลงจากรถม้า กล่าวกับลูกน้องอย่างลำพองใจ รถใหญ่หลายคัน ตลอดทางไม่มีอันใดขาดเหลือ หลังเข้าสู่พื้นที่นอกด่าน ของในนั้นยังเต็มแน่น นอกจากกระสุนที่พอเพียงแล้ว ของกินของใช้ที่กองกำลังหู่เวยจำนวนมากต้องใช้ก็มีเหลือสำหรับอยู่ได้อีกหลายวัน

“ใต้เท้าช่างคาดการณ์แม่นยำราวองค์เทพ!”

“ใต้เท้าปรีชาสามารถ……”

ทุกคนเห็นเช่นนี้ หรือยังไม่รู้ว่าควรกล่าววาจายกยอ ใต้เท้าหวังไม่ค่อยได้ชมตัวเองเท่าไร ทุกคนจึงได้เย้าแหย่หัวเราะกันเสียงดังลั่น หวังทงเองก็หัวเราะดังตาม ย่อมไม่ใช่ว่าเขารู้สึกลำพองใจ แต่เพื่อสร้างบรรยากาศผ่อนคลายให้กองทัพ ได้ยินเสียงหัวเราะ เป้าหมายก็เสร็จสิ้นแล้ว

หวังทงเดินเข้าไปในค่าย ตบบ่าคนนั้น คุยกันคนนี้ ก็เพื่อให้ทุกคนผ่อนคลาย ในยามนั้นเอง ก็มีเสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้ ไช่หนานวิ่งมาอย่างเร็ว ดวงตาแดงก่ำ เข้ามากระซิบเสียงแหบพร่าว่า

“ใต้เท้าหวัง มีพี่น้องเราสามคนถูกธนูยิงโดนจุดสำคัญ……ทนไม่ไหว……ยังมีคนงานอีก……”

กองกำลังหู่เวยไม่เหมือนที่อื่น ไช่หนานแม้กล่าวไม่ได้ว่าสนิทสนมกับทหารพวกนี้ แต่ก็ใกล้ชิดกันมา ตายไปเช่นนี้ก็ย่อมเศร้าเสียใจอย่างมาก เขาเองก็อายุน้อย ย่อมไม่อาจคุมอารมณ์ไว้ได้ ก้มหน้าเงียบไปครู่หนึ่งก็เงยหน้ากัดฟันกล่าวว่า

“ใต้เท้าหวัง พวกที่ยังรอดชีวิตที่จับกลับมา 20 กว่าคนนั้น สังหารล้างแค้นให้พี่น้องเรา”

หวังทงส่ายหน้า เงียบไปครู่หนึ่งเอ่ยว่า

“อย่าเพิ่งรีบสังหารทิ้ง เรื่องนี้อึมครึมอยู่ ฉู่เจ้าเหรินสามารถออกคำสั่งพวกมองโกลนอกด่านได้? ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะสามารถถึงเพียงนี้ รอให้สอบสวนเสร็จ กลับเมืองเซวียนฝู่ค่อยสังหารทิ้ง”

ไช่หนานกัดฟันพยักหน้า กลับไปทำงานต่อ

************

ตอนนี้พระอาทิตย์ขึ้นสูงแล้ว การรบยามเช้าตรู่ถึงตอนนี้ ทหารกองกำลังหู่เวยยังไม่ได้กินข้าวไม่ได้ดื่มน้ำเลย ยามนี้ในค่ายตั้งหม้อใหญ่ นำเนื้อม้าจัดการเรียบร้อยโยนลงไปตุ๋น เติมเกลือและเครื่องเทศ หอมกรุ่นอบอวล นำแผ่นแป้งฉีกละลายในน้ำซุบกินแล้วอบอุ่นใจมาก

ทั้งวันจนกระทั่งดวงอาทิตย์ตก ทางนั้นไม่มีการเคลื่อนไหวใด หยุดพักอยู่อย่างนั้น จากกลิ่นที่โชยมา เหมือนว่าติดไฟหุงอาหารเช่นกัน

************

“ใต้เท้า ทัพใหญ่มองโกลเข้าประชิดมาอีกแล้ว……ด้านหน้าเหมือนกับ……เหมือนกับมีหลายสิบคนเดินมา……”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version