ตอนที่ 439 ขบวนการค้าหู่เวย
พอออกจากป้อมจางเจียโข่วมาก็เดินทางไปยังเมืองเซวียนฝู่ กองกำลังหู่เวยไม่เพียงแต่ไม่ได้ใช้เงิน หากยังได้เงินเข้าบัญชีมาก้อนโต ที่กวาดต้อนมาได้นอกจากเป็นวัวและม้าชั้นดีแล้ว ก็มีบ้างที่ไม่เหมาะเป็นม้าในกองทัพก็ขายทิ้งทันที ที่ป้อมจางเจียโข่วมีคนมีเงินมากมายมาซื้อไปหมด
แม้ว่าตลาดไม่ขาดม้า แต่ราคาที่กองกำลังหู่เวยขายนั้นถูกว่าราวหนึ่งส่วนครึ่งถึงสองส่วน เห็นว่าใกล้ฤดูเพาะปลูกแล้ว เป็นช่วงเวลาที่ต้องการใช้งานพอดี ซื้อมาอย่างไรก็ไม่ขาดทุน
กองกำลังวั่นเฉวียนกองขวาและกองซ้ายห่างจากป้อมจางเจียโข่วระยะเดินทางไม่ถึงหนึ่งวัน มีข่าวว่ามีวัวม้าขายก็ได้ข่าวกันฉับไว
กองกำลังหู่เวยเดินทางจากป้อมจางเจียโข่วไปเมืองเซวียนฝู่กันได้ช้ามาก สาเหตุไม่มีอื่นใด ส่วนใหญ่ก็เพราะมีคนมารุมกันแย่งซื้อวัวและม้า
เดิมหวังทงยังสงสัยว่า เมืองเซวียนฝู่เป็นพื้นที่ทหารใกล้กับชายแดน เหตุใดยังมีคนต้องการวัวม้ามากมายเช่นนี้ และดูท่าแล้วไม่น่าจะใช้ลากรถม้า ที่แท้ใช้เพื่อทำการเพาะปลูก ลี่เทาและคนท้องถิ่นเมืองเซวียนฝู่สองสามคนก็ย่อมเข้าใจดี
แต่ละกองกำลังในเมืองเซวียนฝู่มีพื้นที่เพาะปลูกมาก ก็ย่อมต้องการวัวและม้ามาก ที่นี่เป็นพื้นที่สบกันของแม่น้ำซางกานเหอและหยางเหอ พื้นที่เพาะปลูกส่วนใหญ่ก็ไม่ขาดแคลนน้ำ ในยุคสมัยนี้จะเป็นพื้นที่เพาะปลูกที่ดีหรือไม่ก็ย่อมดูว่ามีแหล่งน้ำพอเพียงหรือไม่ เมืองเซวียนฝู่มีน้ำเพียงพอ ก็ย่อมเป็นพื้นที่ดี
จะว่าไปนายกองพัน นายกองร้อยและบรรดานายทหารระดับแนวหน้าพวกนั้นน่าจะเรียกว่าเจ้าของที่รายใหญ่ที่ใช้ชาวบ้านและพลทหารเป็นแรงงานเพาะปลูกจะดีกว่า ที่ดินมากมายเช่นนี้ เจ้าของที่มากมายเช่นนี้ ย่อมไม่ขาดแคลนเงินทอง หวังทงมีม้าและวัวขายถูกมากมายเช่นนี้ ก็ย่อมมาขอทำการค้าด้วย
เมื่อใกล้จะถึงเมืองเซวียนฝู่ คนของกองกำลังวั่นเฉวียนกองขวาและกองซ้าย ยังมีกองกำลังไหวอันต่างก็มาซื้อ ที่เรียกได้ว่าเกินเลยอย่างไม่น่าเชื่อก็คือ กองกำลังเทียนเฉิงที่ต้าถงอยู่ใกล้เมืองเซวียนฝู่ก็มีคนได้ข่าวนี้ คนของกองกำลังไหวไหลกับคนของกองกำลังหลงเหมินทางตะวันตกของเมืองเซวียนฝู่ ก็กำลังรีบมาเช่นกัน
วัวที่หวังทงกวาดต้อนมายังไม่ทันถึงเมืองเซวียนฝู่ก็ขายหมดเกลี้ยง ม้าขายออกไปราวพันกว่าตัว ยังต้องแบ่งรถออกมาไว้ขนเงินที่ขายได้จำนวนมากอีกคัน
ไช่หนานตามกองกำลังหู่เวยขึ้นเหนือ ตลอดทางก็แค่ใส่ใจดูแลเรื่องชีวิตความเป็นอยู่กองทัพทั่วไป พอถึงตอนออกศึกก็สั่งการเท่านั้น ตลอดทางมาไม่ได้ทำอะไรมากนัก
คิดไม่ถึงว่าพอมาถึงเมืองเซวียนฝู่ ก็ต้องยุ่งจนหัวปั่นไม่ได้หยุด ทั้งวันได้แต่จดบัญชีเก็บเงิน กลับไปปฏิบัตหน้าที่เหมือนกับเมื่อก่อนตอนอยู่เทียนจิน
************
ลี่อวิ๋นเซิ่งรองผู้บัญชาการเมืองเซวียนฝู่มาต้อนรับถึงหน้าประตูเมือง ตามธรรมเนียมขุนนางแล้ว ส่งแค่นายทหารมีตำแหน่งมาคนหนึ่งก็นับว่าให้เกียรติแล้ว
เลี่ยวเฉวียนจงส่งคนนำจดหมายมาแจ้งก่อนแล้วว่านอกด่านเกิดเรื่องแล้ว
พอได้ยินข่าว ลี่อวิ๋นเซิ่งก็หน้ามืดเกือบเป็นลม ทุกคนต่างร้องไห้กันระงม
เพิ่งส่งพลส่งข่าวคนแรกออกจากจวนไป คนที่สองก็มา บอกว่ากองกำลังหู่เวยกับพวกคุณชายได้ชัยชนะที่นอกด่านกลับมาแล้ว เรื่องน่ายินดีเช่นนี้ทำให้ตระกูลลี่เริ่มไม่แน่ใจ ส่งทหารออกไปหาข่าวหลายนาย ม้าเร็วกลับมาแจ้งข่าวรอบด้าน จึงได้วางใจลง
แต่อย่างไรก็ต้องได้เห็นบุตรชายตนกับตาจึงจะวางใจ ลี่อวิ๋นเซิ่งไม่สนใจธรรมเนียมขุนนาง ออกไปรับที่ประตูเมืองด้วยตนเอง ได้เห็นลี่เทาสง่างามบนหลังม้า จึงได้วางใจ
หวังทงอย่างไรก็ต้องเข้ามาคารวะ สองฝ่ายทักทายตามมารยาท ทางนั้นพ่อลูกได้พบหน้า มาถึงเมืองเซวียนฝู่ ย่อมไม่ต้องกังวลปัญหาเสบียง ขอแค่ลี่อวิ๋นเซิ่งสั่งการเท่านั้น
ไม่ต้องให้กองกำลังหู่เวยออกปากก็มีคนมานำทางไปจัดการ พลทหารและรถใหญ่พร้อมอาวุธเต็มก็ย่อมจอดอยู่ในที่ที่พวกเขาจัดการ แต่รถใหญ่สิบกว่าคันที่บรรทุกเงินทองกับหัวพวกมองโกลอยู่เต็มคันอย่างไรก็ต้องเข้าเมือง
ลี่อวิ๋นเซิ่งออกมาครั้งนี้ หนึ่งก็เพื่อดูให้เห็นกับตาว่าบุตรชายปลอดภัยดี สองก็เพื่อยืนยันเรื่องที่พอลี่เวยเดินกลับเซวียนฝู่ก็ให้ม้าเร็วมาส่งข่าว
“นี่เป็นรถที่บรรทุกหัวพวกมองโกลหรือ?”
ลี่เทานำหวังทงไปจวนตน ทางนั้นเตรียมงานเลี้ยงไว้รับรองแล้ว ลี่อวิ๋นเซิ่งยืนอยู่หน้าประตูเมืองก็มีรถใหญ่หลายคันผ่านไป ข้างในได้กลิ่นฉุนรุนแรง ลี่อวิ๋นเซิ่งรู้ทันทีว่าคือสิ่งใด พอเขาถาม ลี่เวยก็รีบคำนับตอบว่า
“นายท่าน พวกนี้ใช่หมดเลย ข้าน้อยเห็นมากับตา แต่ละหัวล้วนเป็นทหารมองโกล ป้ายประจำตัวแต่ละคนก็เอามาด้วย แต่เก็บรวมอยู่ที่รถนายกองไช่”
“ข้ายังได้ยินว่า เผ่าหั่วเลยหลายพันหัว ทิ้งไว้ที่นั่นด้วยหรือ?”
“หวังทงบอกว่าหัวมากไปเป็นที่สะดุดตาให้คนริษยา ดังนั้นจึงไม่ให้พวกเราตัดมา……”
ลี่เวยรีบตอบ ลี่อวิ๋นเซิ่งแค่นเสียงหัวเราะ ขมวดคิ้วกล่าวว่า
“เป็นเด็กหนุ่มที่ไม่รู้หนักเบาเสียจริง หัวพวกนี้เป็นอนาคตและเงินทอง เขากลับทิ้งไปเช่นนี้ พวกไม่เอาไหนๆ !!”
“นายท่าน หรือว่าส่งม้าเร็วไปให้เลี่ยวเฉวียนจงไปเก็บกวาดที่เผ่าหั่วเลย?”
“ยังจะเก็บกวาดผีอะไรอีก พวกหมาป่ากวาดไปหมดแล้ว ตอนนี้ออกไป เกิดพวกมองโกลส่งคนมาสอบถามจะทำอย่างไร……ส่งคนไปที่ป้อมจางเจียโข่วให้ถ่ายทอดคำสั่งไปทุกหน่วย ให้พวกเขาระวังป้องกันให้ดี หากทัพมองโกลเข้าโจมตี ก็ต้องป้องกันไว้ ไปจัดการเรื่องนี้ก่อน”
ลี่เวยคำนับรีบออกไปทันที ยามนี้กองทัพรถศึกเข้าเมืองมาหมดแล้ว ลี่อวิ๋นเซิ่งได้เห็นคนหลายคนตรงหน้า คนพวกนี้เคยพบกับลี่อวิ๋นเซิ่งครั้งหนึ่ง รีบคำนับคารวะ ลี่อวิ๋นเซิ่งยิ้มโบกมือให้ คนเหล่านั้นห่างกันช่วงถนนได้แต่ยิ้มแล้วขอตัวไป
“นั่นใช่ทหารคนสนิทหม่าฟางหรือไม่? เขามาทำไม?”
ลี่อวิ๋นเซิ่งพึมพัมกับตนเอง เผยสีหน้าแปลกใจมาก ตนมาดูที่นี่ อีกฝ่ายก็มาด้วย ยังจะเพื่ออันใดอีกเล่า
**********
“ท่านแม่ อย่าได้ร้องไห้อีกเลย ลูกใช่ว่ากลับมาปลอดภัยดีหรอกหรือ?”
ณ จวนลี่อวิ๋นเซิ่ง ลี่เทาสีหน้ารำคาญ หากยังคงกล่าวกับสตรีผู้หนึ่งอย่างเสียไม่ได้ สตรีผู้นั้นใช้มือซับน้ำตาไม่หยุด ดึงลี่เทำไม่ยอมปล่อย สำรวจตั้งแต่บนลงล่างไม่หยุด
“ท่านพี่ อย่าให้ลี่เทำไปเทียนจินเลย ข้าว่าหวังทงอันตรายเกินไป ช้าเร็วต้องทำให้ลี่เทาตกอยู่ในอันตราย พี่ชายสองคนของลี่เทาก็ไปประจำนอกเมืองแล้ว ข้าคิดมาทั้งวันแล้วรู้สึกกลัว หากเกิดอะไรขึ้นกับลี่เทา……”
“ท่านแม่ นี่ไม่เป็นไรแล้วไม่ใช่หรือ?”
ลี่เทารู้สึกรำคาญจนสมองเริ่มบวมหลายส่วน ลี่อวิ๋นเซิ่งเข้ามาเห็นสภาพ แม่ลูกสายสัมพันธ์ ตอนฮูหยินได้ยินข่าวแรกที่มาจากป้อมจางเจียโข่วก็เป็นลมล้มลง ตอนนี้มีสภาพเช่นนี้ย่อมเป็นเรื่องปกติ แต่ลี่อวิ๋นเซิ่งกลับมิรับคำ ถามลี่เทาว่า
“ลูกเทา หัวพวกทุ่งหญ้านั่นเป็นของจริงไม่ต้องสงสัยใช่หรือไม่? หวังทงบอกว่าสร้างความดีความชอบใหญ่จะทำให้คนอิจฉาตาร้อนได้ง่ายใช่หรือไม่? เขาเอา 50 หัวแลกกับเสบียงป้อมจางเจียโข่วใช่หรือไม่?”
คำถามเป็นชุดรัวออกมา เรื่องพวกนี้ลี่เทาประสบมาด้วยตนเองก็ย่อมพยักหน้ารับรอง ลี่อวิ๋นเซิ่งยกมือลูบคางไปมา เงียบไปครู่หนึ่ง ก็เงยหน้ามองภรรยาตอนที่ยังคงยืนพูดอยู่ที่เดิม หัวเราะกล่าวว่า
“ลูกเทาอยากไปเทียนจินเอง ลูกคิดได้เช่นนี้ ก็นับว่าโตแล้ว ไปเทียนจินติดตามหวังทง ยังดีกว่าพี่ชายสองคนของเขาอีก……”
ได้ยินลี่อวิ๋นเซิ่งกล่าวเช่นนี้ มารดาของลี่เทาก็เช็ดน้ำตากล่าวว่า
“ท่านพี่ตอนนี้เป็นรองแม่ทัพเมืองเซวียนฝู่แล้ว ลูกเทาอยู่ที่นี่มีท่านพี่ดูแล หรือว่าจะสู้ตำแหน่งนายกองพันของเขาไม่ได้ ไปเทียนจิน ไม่มีคนดูแล”
“ความคิดอิสตรี เจ้าคิดว่าครั้งนี้ข้าได้ตำแหน่งนี้มาเพราะผู้ใด ไม่ใช่เพราะว่าในหกกรมกองนั่นเห็นว่าลูกเราเคยอยู่ฝึกในลานฝึกหู่เวยพร้อมกับฮ่องเต้หรอกหรือ ไม่อย่างนั้น ด้วยสายสัมพันธ์ตระกูลหม่ากับราชสำนัก ตำแหน่งนี้จะตกมาถึงข้าได้อย่างไร!”
กล่าวถึงตรงนี้ มารดาลี่เทาจึงได้หยุดพร่ำรำพัน ลี่อวิ๋นเซิ่งกล่าวต่อว่า
“เจ้าหวังทงนั่นเป็นคนโปรดฝ่าบาท เจ้าดูเขาตอนนี้ที่เทียนจินสิ ไทเฮากับท่านจางไม่ชอบเขาเท่าไร แต่ฮ่องเต้อายุสิบกว่าชันษาเอง เจ้าหวังทงนั่นยังทำงานเป็น วันหน้าย่อมมีอนาคตไม่น้อย ลี่เทาเรารู้จักไปติดตาม นับเป็นเรื่องน่ายินดียิ่งใหญ่ เรื่องนี้ข้าเองก็เพิ่งคิดได้วันนี้ ลูกเทาหลายวันก่อนก็คิดได้แล้ว โตแล้วจริงๆ”
บุตรชายคนเล็กที่เพิ่งกลับมาไม่นานจะจากไปอีก ผู้เป็นมารดาย่อมมิยินยอม แต่ลี่อวิ๋นเซิ่งก็พูดได้กระจ่างแล้ว รู้ว่าอันใดสำคัญแล้ว
ลี่อวิ๋นเซิ่งกำลังจะกล่าวอันใดต่อ ก็ได้ยินคนด้านนอกรายงานดังมาว่า
“นายท่าน มีคนจากกองกำลังไหวไหล เมืองเป้าอัน เมืองเหยียนชิ่งมาขอพบ ล้วนเพิ่งมาถึง ข้าน้อยให้แขกไปพักกันก่อนแล้ว พวกเขาขอพบใต้เท้า”
ลี่อวิ๋นเซิ่งกับฮูหยินมีมิตรสหายเก่าอยู่ที่เมืองเป่าอันและเมืองเหยียนชิ่งไม่น้อย พอได้ยิน เขาก็งงหันไปมองฮูหยิน นางเองก็ส่ายหน้า
*************
“ได้ยินว่าใต้เท้านำม้าวัวกลับมาไม่น้อย ยังขายถูก ข้าเองทางนี้ก็มีญาติมิตรไม่น้อยได้ข่าวมา ตอนนี้ก็รีบเร่งมากัน คิดจะขอให้ข้าพูดกับใต้เท้า ให้ใต้เท้าขายพวกเขาก่อน”
“เรื่องนี้ย่อมเจรจำได้ ก็ขายตามราคาป้อมจางเจียโข่วก็แล้วกัน!”
“ขอขอบคุณใต้เท้าไว้ล่วงหน้า”
อาหารรสเลิศราคาแพง สุราพร้อมสรรพ ตระกูลลี่จัดเลี้ยงใหญ่เช่นเคย เชิญทุกคนในกองกำลังหู่เวย ที่โต๊ะลี่อวิ๋นเซิ่งก็ยังคงเป็นแค่หวังทงกับไช่หนานสองคน
ราคาวัวม้าลงใต้ยิ่งมีราคา ป้อมจางเจียโข่วทางนั้นอาศัยความได้เปรียบกับการค้าบนทุ่งหญ้า ราคาสัตว์ทางนั้นจึงถูกกว่าเมืองเซวียนฝู่ราวครึ่งส่วน ของหวังทงขายทางนั้นถูกลงอีกหนึ่งส่วนครึ่ง แต่ที่นี่อิงราคานั้น ก็ย่อมถูกกว่าราคาตลาดสองส่วนขึ้นไป ทำการค้าสัตว์กำไรสองส่วนนับว่าเป็นเงินก้อนโต หวังทงให้ไมตรีมากพอแล้ว
คุยกันสัพเพเหระสักพัก ลี่อวิ๋นเซิ่งก็โบกมือให้สาวใช้ที่รินสุราถอยห่างออกไป ลี่อวิ๋นเซิ่งกำชับไปอีกว่า ‘ถอยห่างไปไกลอีกหน่อย ปล่อยม่านลงด้วย’
คนไม่เกี่ยวข้องถอยออกไปแล้ว ลี่อวิ๋นเซิ่งก็หมุนจอกสุรายิ้มกล่าวว่า
“ใต้เท้าหวังออกนอกด่านครานี้ได้กลับมาเต็มไม้เต็มมือ ม้าวัวพวกนี้ก็นับเป็นสมบัติก้อนโตแล้ว แต่สมบัติก้อนโตนี้เทียบกับอีกเรื่องแล้ว เรียกได้ว่าเทียบแพะกับอูฐเลยทีเดียว?”
หวังทงเดาว่าได้ว่าอีกฝ่ายต้องการพูดอันใด จึงอมยิ้มถามกลับว่า
“หืม? ข้ายังไม่รู้จริงๆ ขอใต้เท้าลี่โปรดให้ความกระจ่าง?”
“ก็หัวมองโกลพวกนั้น……”