Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 440

ตอนที่ 440 คนสูงค่ากว่าสัตว์ เงินทองเกินคาดหมาย

วัวและม้าสามารถขายทำเงิน ซื้อกลับไปก็แค่ลากรถเพาะปลูกทำนา หัวมองโกลพวกนี้ ซื้อกลับไปก็จะมีอนาคตในวงการขุนนางทหารที่จับต้องได้เห็นๆ

ม้าและวัวซื้อกลับบ้านไปทำกำไรก็แค่เศษเงินไม่เท่าไร หัวพวกนี้สิไม่เหมือนกัน ราชวงศ์เราตอนนี้ให้ความสำคัญกับหัวศัตรู แม่ทัพหม่าตอนแรกเป็นแค่รองแม่ทัพ อยู่ๆ ก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการกองกำลังฝ่ายซ้าย ไม่ใช่เพราะว่าตอนเป็นนายกองธงใหญ่นั้นตัดหัวศัตรูไปครั้งเดียว 70-80 หัวหรอกหรือ จากนั้นก็เลื่อนตำแหน่งเติบโตเรื่อยมา

คิดถึงตอนนั้นที่แม่ทัพหวังเย่กับฝู่หนิงโหวออกไปตัดมาด้วยกัน 200 หัว ฝู่หนิงโหวก็ตัดจนปีนจากบรรดาศักดิ์ระดับโหวไปสู่ระดับกง ตอนนี้สายเป่ากั๋วกงยังมีหน้ามีตาอย่างมาก แม่ทัพหวังเองก็เกือบได้เป็นโหวไปด้วย

เมืองเซวียนฝู่มีทหารชายแดนเกือบแสน เป็นพื้นที่สำคัญปกป้องเมืองหลวง พวกทัพม้ามองโกลทั้งหมดบนทุ่งหญ้าอย่างไรก็ไม่ถึงหนึ่งแสน แต่รองแม้ทัพเมืองเซวียนฝู่ที่นับได้ว่าเป็นขุนนางทหารคนสำคัญลำดับสามในพื้นที่ ยังถึงกับต้องการขอซื้อหัวกับตนเช่นนี้

หากเป็นการค้าที่ข้ายินดี เจ้ายินยอม ก็ย่อมไม่เรียกว่าแย่งความดีความชอบ แต่กองทัพทหารมากมายเพียงนี้ ยังได้ชื่อว่าทหารที่เก่งกล้าสุดในใต้หล้า เหตุใดไม่ออกไปตัดกลับมาเองเล่า

หวังทงวางจอกสุราลงสบตากับไช่หนาน เอนหลังพิงพนัก เห็นหวังทงสบตากับไช่หนานแล้ว ลี่อวิ๋นเซิ่งที่กังวลเล็กน้อยก็เลิกกังวล สอบถามหวังทงถึงราคาว่าเท่าไรก็ว่ามา แต่ไช่หนานอย่างไรก็เป็นคนในราชสำนัก แม้รู้ว่าหวังทงกับเขานั้นเหมือนกับนายกับบ่าว แต่ก็ต้องป้องกันเหตุไว้ก่อน

“2,248 หัว ทุกหัวมีป้ายแสดงตัวตน หัวมากมายเพียงนี้ ข้าคิดย้อนกลับไปถึงสมัยตั้งแต่ฮ่องเต้ซื่อจงขึ้นครองราชย์มาถึงบัดนี้ เหมือนว่าไม่มีผู้ใดตัดหัวได้มามากมายเช่นนี้มาก่อน ความชอบเช่นนี้ยิ่งใหญ่อยู่ไม่น้อย ใต้เท้าลี่คิดเช่นไร?”

หวังทงไม่ได้รับคำ หากกลับเบี่ยงไปพูดเรื่องอื่น ลี่อวิ๋นเซิ่งนิ่งไป หัวเราะตอบว่า

“ตัดมาสองร้อยกว่า อย่างน้อยก็ได้เป็นระดับขุนพลประจำหัวเมือง สองพันสองร้อยกว่า และล้วนเป็นหัวนายทหารมองโกลจริงๆ กรมทหารบันทึกความชอบนั้นข้าเองจำได้แม่นยำ ทว่าหัวมากมายเพียงนี้ คาดว่ากรมหทารไม่เคยมีมาก่อน แต่หากสะสมขึ้นไปก็น่าจะได้ถึงระดับกั๋วกงเลยทีเดียว”

กล่าวจบก็เงียบไป สบตากับหวังทงและไช่หนาน ทุกคนพากันหัวเราะ แต่ก็พยายามกดเสียงไว้ ตำแหน่งบรรดาศักดิ์ระดับกง โหว และป๋อในสมัยหมิงนี้ นอกจากตอนตั้งราชวงศ์และเหตุการณ์ชิงบังลังก์ของฮ่องเต้จูตี้แล้ว ช่วงเวลาอื่นก็ล้วนยากยิ่งกว่ายาก โดยเฉพาะอาศัยบำเหน็จรางวัลเช่นนี้ ร้อยกว่าปีมานี้ พวกที่ได้บรรดาศักดิ์ส่วนใหญ่มักเป็นญาตินอกตระกูล เช่นบรรดาญาติของฝ่ายหญิงที่แต่งเข้ามาในราชวงศ์ หรือไม่ก็พวกญาติสนิทของขันทีทรงอำนาจ เช่นเฝิงโหย่วหนิง หลานของเฝิงเป่าแห่งสำนักส่วนพระองค์ ที่มีบรรดาศักดิ์ระดับป๋อ

ส่วนตำแหน่งระดับกั๋วกงนั้นมีน้อยอย่างยิ่ง ในตอนนี้ก็มีอยู่แค่พวกขุนนางมีความดีความชอบตอนตั้งราชวงศ์อย่างพวกสวีต๋า ฉางอวี้ชุนไม่กี่คนเท่านั้น ระดับอย่างหวังทงย่อมไม่มีทางเป็นไปได้

หากบอกว่าไม่อาจเป็นได้ แต่หลายร้อยหัวก็เป็นระดับผู้บัญชาการทัพ ที่ปรึกษากองทัพได้เลยทีเดียว สองพันกว่าหัวนับแล้ว ดีไม่ดีอาจได้เป็นระดับกั๋วกงได้จริง

ทุกคนหัวเราะดังลั่น หวังทงกล่าวอย่างสบายอารมณ์ไปด้วยว่า

“ข้าสองปีก่อนยังไม่มีอันใด เข้าแทนตำแหน่งบิดาที่จากไป โชคดีได้เข้าเป็นองครักษ์เสื้อแพร ฟ้าทรงเมตตาให้ได้พบกับฝ่าบาท ได้รับพระเมตตา จึงได้ก้าวมาถึงตำแหน่งในวันนี้ หากอย่างไรก็เร็วเกินไป แม้แต่ตำแหน่งนายกองพันองครักษ์เสื้อแพรที่เทียนจินเองยังมีคนไม่ยอมรับ อย่าพูดถึงตำแหน่งขุนพลกองกำลังหู่เวยนี้เลย ได้ชื่อว่าองครักษ์วังหลวงหากไม่ได้อยู่เมืองหลวง ยังไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าไรที่แอบหัวเราะกันลับหลัง”

“ใต้เท้าหวังไยกล่าวเช่นนี้ กองกำลังหู่เวยผ่านเหตุการณ์นี้ไป ย่อมสะเทือนทั่วหล้า ไม่มีผู้ใดกล้าดูแคลนอีก”

สองฝ่ายกล่าววาจาตามมารยาท หวังทงกล่าวต่อว่า

“ข้าออกนอกด่านไปครานี้ ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงถูกพวกมองโกลนอกด่านโจมตี ข้าเองโชคดี ตัดหัวศัตรูมาได้หลายพัน แต่หลายปีนี้ ชายแดนทั้งเก้าด้านตัดมารวมกันได้ตั้งเท่าไร กองกำลังหู่เวยข้าก็แค่สี่พัน ชายแดนทั้งเก้าทหารนับแสน หากเทียบกันแล้ว ประสิทธิภาพเช่นนี้ พูดไปผู้ใดจะเชื่อ?”

แม้ว่าสีหน้าหวังทงยังคงฉาบไปด้วยรอยยิ้ม แต่วาจานี้ ลี่อวิ๋นเซิ่งฟังอย่างไรก็ไม่สบายใจ อย่างไรก็เขาเองก็เป็นแม่ทัพชายแดน ที่ว่ามาก็ค่อนข้างเป็นเรื่องจริง จึงได้แต่ยิ้มแห้งๆ หวังทงกล่าวไปเรื่อยๆ จากนั้นยังเอ่ยต่อว่า

“ข้าเองประสบการณ์น้อย แต่มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น ชายแดนทั้งเก้าจะทำเช่นไร ทหารใต้หล้าจะทำเช่นไร แต่ละหน่วยทหารบนแผ่นดินหมิงจะทำเช่นไร ข้าอายุยังน้อย แม้หวังความก้าวหน้า แต่ก็ไม่อยากเด่นจนเป็นที่กระทบสายตาเกินไป การเร่งเติบโตเกินเวลาอันควร กลับเป็นการทำร้ายตนเอง”

ลี่อวิ๋นเซิ่งวางจอกสุราลง สีหน้ามีรอยยิ้ม ในใจก็นึกตกใจ ลี่เทาบุตรชายตนไปเทียนจินช่างเป็นการเลือกที่ดี ยังได้เรียนรู้มากมาย หวังทงยังมีน้ำใจ วิธีการรับมือก็มากมาย มีค่าควรเรียนรู้ให้มาก

หวังทงกล่าวต่อว่า

“หลายพันหัวจากนอกด่านนำเข้ามา ตอนนี้ข้าเองก็กำลังเสียใจอย่างมาก นี่ไหนเลยจะเป็นปูนบำเหน็จรางวัล เห็นๆ อยู่ว่าเป็นคมดาบพาดอยู่ที่คอ ฟ้าเท่านั้นที่รู้ว่าจะฟันคอทิ้งเมื่อใด ตอนนี้กำลังร้อนใจ กระจายออกไปได้เท่าไรก็กระจายให้เร็วที่สุดจะดีกว่า เฮ้อ รู้อย่างนี้ก็เผาทิ้งไว้นอกด่านก็หมดเรื่อง จะได้ไม่ต้องมาร้อนใจ”

กล่าวถึงตรงนี้ หวังทงก็มองลี่อวิ๋นเซิ่งกล่าวว่า

“ยังต้องขอให้ใต้เท้าลี่ช่วยข้าแบ่งเบาด้วย!”

กล่าวจบ ทุกคนก็สบตากัน จากนั้นก็หัวเราะขึ้นพร้อมกัน หวังทงกล่าวมามากมายเพียงนี้ เท่ากับว่าจัดการเรื่องนี้เสร็จสมบูรณ์แล้ว ไม่กล่าวออกมาจะทำให้รู้สึกว่าเมืองเซวียนฝู่คิดจะฮุบความชอบ หรือหวังทงขายความชอบแลกผลประโยชน์ กล่าวออกมา เรื่องนี้ก็เป็นน้ำใจส่วนตัว ชัดเจนอย่างยิ่ง ย่อมแตกต่างกันอย่างมาก

“อืม……ใต้เท้าหวังนำทัพรถศึกมา พวกทหารก็ลำบากมา ต้องให้รางวัล ไม่ทราบว่าคนละเท่าไรจึงจะดี?”

ได้ยินเช่นนี้ หวังทงก็อึ้งไป ในใจคิดว่าอยู่ๆ เปลี่ยนประเด็นไปเรื่องอื่นเสียอย่างนั้น แต่ฝึกฝนมานาน ย่อมเข้าใจในทันที ยิ้มกล่าวว่า

“ข้าไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้ ขอใต้เท้าลี่ชี้แนะให้มาก ต้องเท่าไร ก็ขอให้ใต้เท้ากล่าวมาก็แล้วกัน!”

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว 150 ตำลึงหนึ่งหัว……”

ลี่อวิ๋นเซิ่งเพิ่งเอ่ยจบ หวังทงกำลังซดน้ำชาอยู่ ติดคอสำลักไอขึ้นไม่หยุด ไอจนหน้าแดง ลี่อวิ๋นเซิ่งรู้สึกงง ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้น

หวังทงคิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นตัวเลขนี้ 150 ตำลึงต่อหัว หวังทงไม่รู้ราคาตลาด ยังคิดว่าก็คงไม่กี่ตำลึง อย่างมากก็ 20 -30 ตำลึงเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเอ่ยมา 150 ตำลึง กองกำลังหู่เวยออกรบนอกด่านยากลำบาก หวังทงเตรียมมอบรางวัลให้ คิดไว้ล่วงหน้าว่าเต็มที่สุดๆ ก็แค่ 10,000 กว่าตำลึงเท่านั้น หากเป็นตามที่ลี่อวิ๋นเซิ่งว่ามาก ขาย 100 กว่าหัวก็พอแล้ว

กว่าจะสงบจิตสงบอาการลงได้ก็เป็นนาน หวังทงยืดตัวตรงส่ายหน้า ลี่อวิ๋นเซิ่งเห็นท่าทางของเขาก็คิดไปทางอื่น รู้สึกละอายยิ้มกล่าวว่า

“จะว่าไปข้าและท่านก็สนิทกันเช่นนี้ ข้าเองไม่ควรขี้เหนียว แต่ปีก่อนไปซื้อที่ดินทำนาที่เมืองเป่าอัน ยังไปลงทุนที่เทียนจิน เดือนสิบสองยังเพิ่งส่งเงินไป เบี้ยหวัดทหารก็ต้องเดือนสามถึงมาถึง ไม่เงินในมือมากมายจริงๆ”

หวังทงยิ้มโบกมือ รีบกล่าวว่า

“ไม่เป็นไรๆ เราคนกันเอง คุยกันได้ๆ”

“เช่นนี้ข้าขอขอบคุณล่วงหน้าแล้ว ต้องการทั้งหมด 800 ตอนนี้มี 90,000 ตำลึง ยังใช้ทองจ่ายอีกส่วน คุณภาพสีสันทองนั้นใต้เท้าวางใจได้”

ได้ยินลี่อวิ๋นเซิ่งกล่าวถึงราคา หวังทงก็หันไปมองไช่หนาน เห็นไช่หนานอ้าปากตาค้าง หวังทงได้แต่ยิ้มแหะๆ กล่าวว่า

“คุยกันได้ๆ”

90,000 ตำลึง เป็นเงินก้อนโตจริง เพียงแต่เงินนี้มันช่างทำให้รู้สึกอึ้งและอึดอัด เมื่อครู่ลี่อวิ๋นเซิ่งพูดถึง ร้านค้า ที่ดิน เบี้ยหวัด อะไรพวกนี้อันเป็นแหล่งที่มาของเงิน เรื่องพวกนี้ไม่อาจเอ่ยปากเรียก ในโลกก่อนของหวังทงนั้นก็มีหักค่านายหน้าค่าดำเนินการบ้าง ล้วนทำได้ไม่ตะขิดตะขวงอันใด แต่ในตอนนี้ อยู่ๆ ก็รู้สึกว่าอึดอัดยิ่ง คิดไปคิดว่าก็หาหัวข้อสนทนาอื่นว่า

“ใต้เท้าลี่ต้องการ 800 ความดีความชอบสั่งสมรวมทบกัน หรือว่าคิดจะได้บรรดาศักดิ์ระดับกง โหวเหมือนกันหรือ?”

ได้ยินวาจาหวังทงถาม ลี่อวิ๋นเซิ่งก็ยิ้มโบกมือปฏิเสธว่า

“ตำแหน่งบรรดาศักดิ์สูงส่ง ก็ต้องการแค่ความสุขเท่านั้น คนปกติดำรงบรรดาศักดิ์นั้นไม่ได้ ข้าเองซื้อไป 800 ใช้เอง100 กว่าเพื่อรักษาตำแหน่งรองแม่ทัพนี้เท่านั้น ที่เหลือก็แบ่งให้ลูกชายทั้งสาม รวมลูกเทาด้วย พี่ชายเขาสองคนไม่มีวาสนานัก ตอนนี้คนหนึ่งเป็นแม่ทัพรักษาป้อม อีกคนเป็นนายกองพัน มีความดีความชอบเช่นนี้ อีกสามปีคงได้อีกขั้นหรือไม่ก็สองขั้นก็พอใจแล้ว ลูกเทานั้นก็คิดว่าเป็นการเพิ่มความชอบที่อยู่เดิมเท่านั้น”

นับว่ามีเรื่องคุยแล้ว หวังทงยิ้มยกจอกสุราขึ้นกล่าวว่า

“บิดามารดาใต้หล้าช่างน่าสงสาร ใต้เท้าลี่ ข้ากับนายกองไช่คารวะท่านหนึ่งจอก!”

สองฝ่ายชนจอกสุรากัน ลี่อวิ๋นเซิ่งยิ้มกล่าวว่า

“คืนพรุ่งนี้จะนำเงินไปมอบให้ ถึงตอนนั้นก็รบกวนใต้เท้าหวังแล้ว”

“เรื่องนี้ให้นายกองไช่ไปดำเนินการ ใต้เท้าลี่จัดการมาก็แล้วกัน”

โต๊ะเลี้ยงเช่นนี้ ตอนแรกสองฝ่ายไม่กล่าวกันตรงๆ สุดท้ายค่อยๆ ให้ความกระจ่างกัน การค้าสำเร็จ สีหน้าหวังทงยังเผยอาการแปลกใจ ลี่อวิ๋นเซิ่งเหมือนโล่งอก หากเป็นคนนอกมาเห็น คงคิดว่าลี่อวิ๋นเซิ่งได้เงินก้อนใหญ่ ทุกคนผ่อนคลายลง ลี่อวิ๋นเซิ่งกำลังจะกล่าวอันใด ด้านนอกก็มีคนรายงานดังมาว่า

“นายท่าน แม่ทัพใหญ่หม่าอวิ๋นส่งเทียบเชิญมา……”

หม่าอวิ๋น!? หวังทงเกือบสำลัก ชื่อนี้ได้ยินบ่อยมาก เกรงว่าจะทำให้คนเข้าใจผิด เห็นสีหน้าหวังทง ลี่อวิ๋นเซิ่งก็อธิบายว่า

“หม่าอวิ๋นก็คือคนสนิทข้างกายแม่ทัพหม่า ปีนั้นเคยได้ออกศึกรบเป็นตายกับแม่ทัพเขา อย่าเห็นว่าเป็นแค่ผู้ติดตาม เพราะมีรัศมีแบบอิ๋วชี (คนสนิทมหาอำมาตย์จางจวีเจิ้ง) ไม่อาจต้อนรับขับชักช้าได้”

ขณะกล่าวอยู่ก็ขอตัวออกไป ไม่นานก็นำทหารสูงวัยอายุราว 50 กว่าเข้ามาคนหนึ่ง ทหารผู้นี้เข้ามาก็ยื่นเทียบเชิญด้วยสองมือให้หวังทง กล่าวว่า

“นายท่านเราขอเชิญใต้เท้าหวังและนายกองไช่พรุ่งนี้กลางวันไปร่วมงานเลี้ยงสักมื้อ”

แม่ทัพใหญ่เมืองเซวียนฝู่หม่าฟางมาเชิญ หวังทงย่อมไม่ปฏิเสธ จึงตอบรับไปอย่างสุภาพ รอจนลี่อวิ๋นเซิ่งนำคนออกไป ยังไม่ทันนั่งลงก็ยิ้มกล่าวกับหวังทงว่า

“ใต้เท้าหวัง ขอแสดงความยินดีที่ร่ำรวยใหญ่แล้ว!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!