ตอนที่ 448 สร้างสำนักศึกษา มีอะไรมากกว่านั้น
หวังทงกล่าวถึงที่มาของผงฟูสองคันรถนี้ หากคนในห้องทั้งหมดกำลังคิดถึงเรื่องการสร้างสำนักศึกษาเพื่อผลิตนักบัญชี แต่อดีตมาสำนักศึกษาจะสอนเรื่องคำสอนปราชญ์เมธี พวกร้านค้าต่างๆ พวกนี้ คนในร้านตั้งแต่เถ้าแก่เจ้าของร้านยันหลงจู๊ก็ต้องเรียนรู้เริ่มจากการทำบัญชี ส่วนใหญ่ก็เป็นอาจารย์สอนแบบวาจาสอนสั่งกัน ดูว่าผู้ใดเฉลียวฉลาดหรือมีปัญญารู้ได้ก็เรียนเป็นเอง
การเรียนแบบนี้แม้ว่าประสิทธิภาพไม่สูง แต่ก็พอใช้ได้ หากตอนนี้เทียนจินนั้นไม่เหมือนกัน หลังเดือนสามปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 7 พ่อค้าจำนวนมากมาเปิดร้านที่นี่ จำเป็นต้องจ้างคนจำนวนมาก การค้าต่างๆ ก็เหมือนกับไม่มีช่วงว่างไปยุ่ง ไม่มีเวลาให้ลูกมือได้เรียนรู้งาน
กิจการการค้าที่คึกคักวุ่นวายเช่นนี้ หากจะอาศัยกำลังหลักตอนเปิดร้านก็ย่อมไม่พอใช้งาน ร้านสาขาที่อาศัยแค่คนร้านใหญ่ที่สง่มาก็ย่อมไม่พอใช้งาน
คนไม่พอก็เสียโอกาสการค้า อย่างไรก็ต้องไปเชิญคนข้างนอกมาช่วยก่อน แม้ว่าแรงงานจากหลายเมืองทางเหนือได้ถูกดูดมาที่นี่หมด แต่คนพวกนี้จะมีสักกี่คนที่มีความสามารถในการทำการค้า หลายคนแม้แต่บัญชีก็ไม่เคยแตะต้อง
นี่เป็นรอยรั่วของการค้าส่วนตัว ในส่วนราชการแล้ว ความเจริญรุ่งเรืองที่เทียนจินทำให้หวังทงต้องยุ่งกับระบบการเก็บภาษีขนานใหญ่
สินค้าจำนวนมากมาทางทะเล ทางแม่น้ำและทางบนเข้าออกเทียนจิน ร้านค้าเปิดที่เทียนจินก็จำนวนมาก สองประการนี้ล้วนเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมาก
การตรวจสินค้าผ่านด่าน คิดคำนวณภาษี ทุกเดือนไปตรวจสอบบัญชีร้านค้า เก็บเงินค่าป้ายสงบสุข ก็ล้วนต้องใช้เจ้าหน้าที่บัญชีดำเนินการ ซึ่งก็ไม่พอใช้งานตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
การค้าส่วนตัวขาดคนงาน ก็ย่อมส่งผลต่อการทำกำไร ราชการขาดคนงาน เก็บภาษีไม่ได้ และยังอาจเกิดเหตุยักยอกได้ง่าย หากปล่อยเช่นนี้ต่อไป รอยรั่วนี้ก็จะยิ่งใหญ่ขึ้น ผลกระทบด้านลบก็ย่อมยิ่งทวีมากขึ้น
ร้านสามธาราและร้านกู่จื้อปินกับจางฉุนเต๋อยังดีหน่อย เพราะสองร้านแรกสุดก็เติมคนเข้ามาเต็มแล้ว และยังหาคนมาเพิ่ม พนักงานหลายคนได้รับการอบรมความรู้อย่างไม่ทันรู้ตัว ดังนั้นตอนนี้ยังนับว่าไม่ขาดแคลน
แต่ร้านประกันภัย เป็นร้านค้าสำคัญของเทียนจิน ตอนนี้ขาดคนอย่างรุนแรงมาก ดังนั้นจึงไม่กล้าขยายงาน เกรงว่าจะเกิดเหตุผิดพลาด การขยายพื้นที่การค้า ขยายเส้นทางแม่น้ำทั้งสองสายและการสร้างท่าเรือ ยังมีการจัดระเบียบริมทะเลก็ต้องดำเนินการไปพร้อมกัน ตอนนี้ได้แต่ดำเนินการไปเพียงอย่างเดียว เพื่อไม่ให้เกิดเหตุผิดพลา ราบรื่นมั่นคงก็จริง แต่เสียดายเวลาที่เสียไป ทำให้การพัฒนาทั้งเทียนจินเริ่มค่อยๆ ช้าลง
“ความคิดนายท่านนี้ดี ตามหมู่บ้านต่างๆ ยังมีเด็กฉลาดอีกมาก เรียนหนังสือสอบจอหงวนไม่ไหว ฝึกยุทธ์ก็เสียดาย หากสามารถเรียนการทำบัญชีได้ มีความสามารถในการทำการค้าได้ ครอบครัวพวกเขาต้องยินยอมเป็นแน่ เรียนสำเร็จก็หาเงินได้ เพียงแต่ว่าอาจารย์สอนนี่……”
“อาจารย์นี่ไม่ยาก เถ้าแก่ เจ้าหน้าที่บัญชีแต่ละร้าน เจ้าหน้าที่บัญชีของเรา ก็สามารถหาที่นิสัยดี ความสามารถสูงมาสอนได้”
“……แต่ละร้านล้วนยุ่งมาก ผู้ใดจะยอมส่งคนมากัน อย่าว่าแต่พวกเขาเลย เถ้าแก่กู่ ท่านว่าคนของเราจะมีผู้ใดยอมสอนผู้อื่นกันบ้าง? สอนศิษย์มา อาจารย์หิวตาย?”
“ท่านทั้งสอง ข้าว่าก็ไม่แน่ แต่ละร้านขาดคน ไม่สู้ตั้งกฎขึ้นมา ผู้ใดส่งคนมา คนที่เรียนจบก็จะให้ร้านนั้นได้จ้างก่อน จะว่าไป คนมากมายมาเรียน ก็แค่เรียนหลักใหญ่ๆ คิดจะเชี่ยวชาญเท่าอาจารย์ ไม่สั่งสมสิบกว่าปีไหนเลยจะได้”
“ท่านหยางกล่าวได้มีเหตุผล ตอนนี้แต่ละร้านขาดคนกันจนหน้ามืด คนงานที่คิดบัญชีง่ายๆ ได้ ก็ได้เงินมากกว่าเมืองหลวงถึงหนึ่งเท่าแล้ว ที่เมืองจิ้งไห่ เมืองชิงเสี่ยน เมืองป้าโจว เมืองอู่ชิง เมืองเซียงเหอ ก็ไปเฟ้นหากันมาหมดแล้ว เมืองหลวงกับที่เมืองทงโจวก็มีคนมาทำงานที่นี่ไม่น้อย ขอเพียงผู้ใดลงแรงที่สำนักศึกษามาก นักเรียนที่เรียนสำเร็จ ก็จะให้ผู้นั้นใช้งานมากที่สุด พวกเขาย่อมต้องยินยอม และยังต้องเกรงว่าคนของตนเองจะไม่ตั้งใจสอนด้วยซ้ำ”
กู่จื้อปิน จางฉุนเต๋อและหยางซือเฉินเริ่มถกกันอย่างคึกคัก เจ้าคำข้าคำหารือกัน ข้อเสนอหวังทงกำลังเริ่มเป็นรูปเป็นร่างละเอียดขึ้นแล้ว
ซุนต้าไห่ได้แต่ก้มหน้าฟัง เขาติดตามมานานปี ของพวกนี้พอฟังเข้าใจ ยามนี้จึงได้แทรกขึ้นว่า
“กล่าวเช่นนี้ได้ หากมาเรียนรู้ที่สำนักนี้ ค่าใช้จ่ายทำอย่างไร พวกคนมาทำงานหาเลี้ยงชีพพวกนี้ ที่ย้านย่อมไม่อยากเสียเงินก้อนนี้ไป”
“เรื่องนี้ไม่ยาก สำนักศึกษามีให้อยู่ให้กินก็แล้วกัน เงินก้อนนี้ก็ให้คนก่อตั้งสำนักแบ่งกันออกก็แล้วกัน”
หวังทงให้ข้อสรุป ความคิดสร้างสำนักศึกษานี้สามารถแก้ไขปัญหาได้มาก ทั้งส่วนรวมส่วนตัว ทุกคนได้ยินก็ดีใจ พากันถกกันไม่หยุด
แต่ทุกคนกำลังลืมปัญหาแรกที่หวังทงเอ่ยไว้ตอนต้น หวังทงยิ้มเฝื่อนๆ ตบหน้าผาก เอ่ยว่า
“ทุกท่าน ข้านำรถขนผงฟูมาจากเมืองเซวียนฝู่สองคันรถ พวกท่านลืมไปแล้วยัง?”
ทุกคนในที่นั้นสบตากัน เห็นรอยยิ้มเฝื่อนของหวังทง ทุกคนก็หัวเราะฮาลั่น อย่างไรก็ต้องประสานมือคำนับขออภัย หวังทงโบกมือ หันไปถามหยางซือเฉินก่อนว่า
“ท่านหยาง เมื่อครู่ที่พวกท่านหารือกันได้รายละเอียดมาแล้ว ท่านไปจดไว้ก่อน จากนั้นเถ้าแก่กู่และเถ้าแก่จางสองคนช่วยเรียกประชุมพ่อค้าร่วมหารือสักครั้ง ไม่ต้องเรียกคนมามาก เรียกมาแค่คนที่ลงทุนในร้านประกันภัยก็พอ”
หยางซือเฉินยิ้มรับคำสั่ง กู่จื้อปินหันมาถกกับจางฉุนเต๋ออีกสองสามคำ ก่อนกู่จื้อปินจะถามหวังทงว่า
“นายท่าน ผงฝูนี่รับซื้อมาจากเมืองเซวียนฝู่งั้นหรือ?”
“ไม่ใช่ เป็นคนของจวนหม่าฟางฝากมาขาย อาจจะเพื่อลองตลาดดู หากขายดีก็คาดว่ายังมีอีกตามมา พวกเข้าไม่ต้องติดมา ก็แค่สร้างสายสัมพันธ์ หากขายไม่ดี ร้านสามธาราก็รับซื้อราคาสูงไว้ก็แล้วกัน”
ได้ยินหวังทงกล่าวจบ กู่จื้อปินก็ยิ้มส่ายหน้ากล่าวว่า
“นายท่าน ผงฟูเป็นสินค้าขายง่ายที่สุด ทุกครัวเรือนใช้กันทุกวัน โรงสุราร้านอาหารร้านขนมก็ต้องใช้ ร้านย้อมผ้าก็ใช้ ประโยชน์มากอยู่ ขายดีมาก”
ได้ยินเช่นนี้ หวังทงก็อดตบหน้าผากไม่ได้ ในโลกก่อนหน้านี้ เขาไม่ค่อยได้สนใจงานบ้าน จึงได้ไม่ค่อยเข้าใจประโยชน์ของผงฟู พอกู่จื้อปินกล่าวมาก็เข้าใจในทันที
จางฉุนเต่อรับคำต่อว่า
“ผงฟูและเกลือนั้นเหมือนกัน ในชีวิตประจำวันของชาวบ้านขาดไม่ได้ แต่เกลือมีระเบียบซื้อขาย หากผงฟูทางการกลับไม่ค่อยเข้มงวด ดังนั้นการค้าจึงทำได้สะดวก รถใหญ่สองคันของนายท่านก็คงได้ราว 1,200 ชั่งได้”
“ไม่สิ นายท่านไปครานี้ ใช้รถใหญ่ม้าลากสี่ตัว 2,000 กับอีกสองสามร้อยชั่งน่าจะได้”
กู่จื้อปินเสริมอีกคำ จางฉุนเต๋อเคาะโต๊ะ จากนั้นก็คิดตัวเลขคร่าวๆ ออกมา ยิ้มกล่าวว่า
“นายท่าน ก็ราว 500 ตำลึง”
ได้ยินตัวเลขนี้ หวังทงก็อึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะถามอย่างตกใจว่า
“สูงขนาดนี้เลย?”
“ไม่สูง หากขายปลีกในร้าน 800 ตำลึงก็ยังขายได้”
รถใหญ่มาจากเมืองเซวียนฝู่ ตลอดทางค่าเสบียงม้าใช้จ่ายต่าง ๆ ก็ไม่น่าเกิน 300 ตำลึง ก็ไม่รู้ว่าราคาที่ซื้อในเมืองเซวียนฝู่นั้นเท่าไร หากไม่มีบอกราคา ให้มาแบบนี้เฉย ๆ เหมือนไม่สนใจนัก ดูเหมือนไม่ใช่ของมีราคาอันใด หากกำไรนั้นช่างน่าตกใจ
หวังทงรู้สึกเหมือนข้างหน้ามีของอยู่ หากคว้าไม่ทัน จึงได้เอ่ยถามว่า
“ผงฟูในตลาดการค้าเรามาจากที่ใด?”
“เรียนนายท่าน ส่วนใหญ่มาจากซานซี ส่านซีเสียมาก ผงฟูและเกลือในเขตปกครองเหนือนี้ไม่น้อย มีดินที่มีผงฟูเอามาทำผงฟูได้ไม่น้อย”
***************
ผงฟูสองคันรถให้ร้านสามธารารับซื้อไว้ ตามธรรมเนียมก็จะจ่ายเงินให้หวังทง จากนั้นจึงมอบให้คนงานตระกูลหม่าที่มาด้วยกัน นับว่าปิดงาน
ร้านสามธารากับร้านค้าของตระกูลกู่และตระกูลจางมีหน้าร้านในเทียนจินไม่น้อย ในนี้มีพวกขายของจิปาถะด้วย ผงฟูสองกันรถจึงแบ่งไปขายยังแต่ละร้านอย่างรวดเร็ว
พอเถ้าแก่แต่ละร้านเห็นผงฟูก็ร้องว่าเยี่ยมมาก ผงฟูจากแถบซานเสียทางใต้นั้น ดินที่เอามาทำผงฟูมีสิ่งเจือปนมาก และมันมีเศษผสมอยู่ สร้างความเสียหายมาก ผงฟูจากเมืองเซวียนฝู่นี้บริสุทธิ์กว่ามาก ของบริสุทธิ์ ราคาที่ตั้งก็ย่อมสูง ทุกคนหารือกัน ตกลงตั้งราคาได้อย่างรวดเร็ว ชั่งละ 430 อีแปะ
สินค้าปล่อยขาย แรกสองวันขายไม่ดี แต่วันที่สามก็ขายได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าร้านใดครอบครัวใด ยังมีพวกทำการค้าอื่นๆ ทุกคนหากประหยัดสักอีแปะก็จะประหยัด
ผงฟูชั่งละ 430 อีแปะดูแล้วราคาสูง หากเป็นสินค้าชั้นดี ไม่มีสิ่งเจือปน ซื้อมาแล้วใช้ดีกว่าพวก 200-300 อีแปะไม่ว่า หากคิดให้ดี ราคาแท้จริงก็ต่างกันไม่เท่าไร ก็ย่อมขายดีเป็นเทน้ำเทท่า
กลางเดือนสาม ร้านค้าในเทียนจินก็เริ่มยุ่งวุ่นวาย พ่อค้าจากทางใต้นำเรือมาจอดที่ซานตง ตนเองนั่งรถม้าเข้ามา ทางเหนือปลายเดือนสองก็มากันพร้อมแล้ว ร้านค้าในเทียนจินก็ส่งคนงานออกไปดูว่าร้านอื่นขายอย่างไร ดูว่าสินค้าคนอื่นเป็นอย่างไร ราคาเท่าไร ตนจะได้ไม่เสียเปรียบ
***********
ร้านค้าตระกูลจางในเมืองมีร้านสาขาที่ถนนข้าว มีชายวัยกลางคนสวามชุดแขนสั้นสีครามพร้อมหมวกใบเล็กเดินข้ามาในร้าน กล่าวทักทายกับคนงานก็ซื้อของเล็กๆ น้อยๆ ไปสองสามอย่าง จากนั้นก็มองไปรอบๆ ท่าทางเช่นนี้ก็รู้ว่ามาจากร้านอื่น แต่ก็ไม่อยากจะสนใจ ขี้เกียจจะสนใจ
ดูจนสุดท้ายก็หันไปเห็นผงฟูในกระบวยไม้มีผ้าบางคลุมไว้ ก็เลิกผ้าออกดู ชายวัยกลางคนผู้นั้นสีหน้าตกใจ เอ่ยถามว่า
“พี่ชาย ผงฟูนี้ราคาเท่าไรกัน?”
“ชั่งละ 430 อีแปะ ครึ่งชั่งไม่ขาย”
ชายวัยกลางคนผู้นั้นคว้าขึ้นมากำหนึ่งดูอย่างละเอียด สีหน้ายิ่งตกใจเอ่ยว่า
“พี่ชาย ขอให้ข้าหนึ่งชั่ง”
“ของนี้เจ้าซื้อกลับไปขอเงินนายเจ้าคืนไม่ได้นะ”
ทุกคนต่างทำงานเพื่อร้านตน ร้านค้าไม่สนใจเงินไม่กี่อีแปะ แต่หากเป็นหลายร้อยอีแปะ นั่นก็เท่ากับเงินเดือนหนึ่งเดือนของคนงาน ชายวัยกลางคนผู้นั้นหัวเราะขึ้นเบาๆ แล้วก็ควักเงินออกมาจากอกเสื้อ มีเงินเรื่องก็ง่ายขึ้นมาก ชั่งไปหนึ่งห่อ
ชายวัยกลางคนหยิบเดินออกไป ฝีเท้ายิ่งเดินยิ่งเร็ว สุดท้ายถึงกับเริ่มวิ่ง……