ตอนที่ 451 มิตรด้วยร่วมศัตรู เสาหลักใกล้หัก
“พี่รอง ไม่มีธุระอันใดกระมัง!”
ณ โรงเตี๊ยมที่เมืองเฝินโจว ไฉฝูหลินมองดูชายวัยกลางคนอย่างละเอียด พี่น้องสายสัมพันธ์ผูกพัน ชายวัยกลางคนขยี้ตา ฝืนยิ้มกล่าวว่า
“ถูกขังในจวนหย่งเซิ่งป๋อทั้งวัน ก็ว่ายากจะมีเวลาว่างเช่นนี้ได้ อ้วนขึ้นไม่น้อย มีเรื่องอันใดบ้าง?”
ไฉฝูหลินมองกะด้วยตา ก่อนจะเสียงดังขึ้นว่า
“เป้าจื่อ เจ้านำคนออกไปเฝ้าไกลๆ ข้ากับพี่รองมีเรื่องส่วนตัวคุยกัน”
ด้านนอกรับคำ ไฉฝูหลินและชายวัยกลางคนได้ยินเสียงคนห่างออกไปไกลแล้ว จึงได้นั่งลง ไฉฝูหลินส่งชาให้ชายวัยกลางคน จากนั้นก็กล่าวขึ้นเบาๆ ว่า
“เจ็ดหมื่นตำลึงเลยนะ ยังมีสินค้าอีกราวแปดหมื่น ต้องส่งไปในครึ่งปี ไม่ได้สักแดง ตระกูลอวี๋นี่กล้าเอ่ยปากถึงเพียงนี้”
ชายวัยกลางคนไม่กล่าวอันใด เงียบไปก่อนจะถามขึ้นว่า
“หวังทงนั่นสังหารไปหลายพันบนทุ่งหญ้าหรือ? ข่าวนี้จริงแท้?”
“จริงแท้ ขุนพลเมืองเซวียนฝู่ยังซื้อไว้เองหลายหัว หวังทงรายงานหัวที่เก็บไว้ไปที่กรมทหารแล้ว”
“ทหารราบ 3,000 สังหารทหารม้าหลายพัน……3,000 สังหารหลายพัน……คิดไม่ถึง คิดไม่ถึงเลย!”
แม้ว่าได้ยินข่าวอย่างบังเอิญที่จวนหย่งเซิ่งป่อ แต่ได้ยินกับหูจากปากน้องชายตนอีกครั้งก็ยังตกใจอยู่ดี ชายวัยกลางคนผู้นั้นพึมพัมไปมา ก่อนจะถอนหายใจกล่าวว่า
“เจ้าหวังทงนี้มีความสามารถอย่างไรกันแน่ หรือเป็นเทพสามเศียรหกกรกัน ถึงกับสามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้ เดิมคิดว่าจะกำจัดมันได้แล้ว ตัดแขนขาของคนผู้นั้นทิ้งได้ คิดไม่ถึงว่าเป็นโอกาสให้หวังทงได้สร้างความชอบ……น้องสาม เจ้ายังจำเสนาหวังแห่งกรมปกครองคนก่อนได้ไหม?”
ไฉฝูหลินพยักหน้า กล่าวหยาบคายว่า
“จำได้สิ คุณชายหวังนั้นยังมีสถานะในสมาคมเราด้วยไม่ใช่หรือ มีเตาปรุงยาที่ไม่เลวก็ล้วนส่งให้เขาไป”
“หากมิใช่หวังทง จะถูกพวกเราจำใจต้องลงมือกำจัดทิ้งงั้นหรือ ยังมีหวังตั๋วอีกคน ตั้งแต่รัชสมัยว่านลี่ที่ 5 มาก็เริ่มมีผลงาน เจ้าหวังทงนี้เห็นชัดว่าเป็นดาวมารมาเป็นปรปักษ์เรา……”
กล่าวถึงตรงนี้ ชายวัยกลางคนที่เงียบมาตลอดก็ตบมือดังกล่าวอย่างเคียดแค้นว่า
“รอให้กลับเมืองหลวงก่อน อย่างไรก็ต้องส่งคนไปกำจัดเจ้านี่!!”
“อย่างไรก็ต้องกำจัด แต่ก่อนมาพี่ใหญ่บอกว่า ไม่ต้องใส่ใจหวังทงให้มากนัก ในวังเขาก็แค่ขุนนางที่เทียนจิน พวกเราทำการให้รอบคอบ อย่าได้ถูกพวกตาผีจมูกมดในเมืองหลวงจับได้ก็แล้วกัน ดูแลเรื่องของตัวเองให้ดีก่อน”
ได้ยินไฉฝูหลินกล่าวเช่นนี้ ชายวัยกลางคนก็พยักหน้า กำลังยกจอกชาขึ้น ไฉฝูหลินก็ยิ้มกล่าวว่า
“พี่รองรู้ว่าเหตุใดตระกูลอวี๋จึงปล่อยพวกเราออกมาไหม เมืองเซวียนฝู่เริ่มทำการค้าผงฟูแล้ว ยังร่วมทุนกับร้านสามธาราที่เทียนจินอีก การค้าผงฟูนี้เป็นเส้นเลือดตระกูลอวี๋ หวังทงไปแตะต้องเข้า ย่อมเป็นความแค้นใหญ่หลวง จึงได้เป็นเรื่องเช่นนี้ ตระกูลอวี๋ยอมปล่อยเรา คงคิดจะให้พวกเราต่อกรกับหวังทง”
กล่าวถึงตรงนี้ ข้างนอกก็มีเสียงรายงานดังมาว่า
“พ่อบ้านใหญ่อวี๋มาขอพบ!”
สองคนหยุดคุย ไม่นาน ด้านนอกก็มีชายวัยกลางคนก้าวเข้ามาในห้อง ประตูปิดลง พ่อบ้านตระกูลบรรดาศักดิ์ยิ้มคำนับทักทายว่า
“คำนับท่านหลินซูฝู ท่านหลินซูไฉ นายท่านเรามีวาจากล่าวกับท่านทั้งสอง……”
*************
ปลายเดือนสี่ ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 8 หวังทงเพิ่มตำแหน่งผู้ช่วยหัวหน้าสำนักองครักษ์เสื้อแพร หากงานที่รับผิดชอบจริงๆ ก็คือนายกองพันองครักษ์เสื้อแพรประจำเทียนจิน มีภารกิจกำกับดูแลสำนักอาวุธปืนไฟเทียนจินและที่ปรึกษากองกำลังหู่เวยสำนักอาชาหลวง
วันที่ 2 เดือนห้า มีญาติอวี๋ต้าโหยวจากฮกเกี้ยนรีบเร่งเดินทางมาถึงเทียนจิน ทุกวันอวี๋ต้าโหยวจะพยายามออกมาเดินหลายร้อยก้าว แต่ก็ต้องมีคนคอยประคองเอาไว้จึงจะเดินได้ เวลาที่เหลือก็อยู่แต่บนเตียง ร่างกายอ่อนแอลงทุกวัน
หวังทงเข้าไปคุยเป็นเพื่อนวันเว้นวัน ชายชรานับว่าสติสัมปชัญญะดี แต่หวังทงมาเมื่อใดเขาก็มักจะเอาแต่คุยเรื่องการรบเมื่อก่อนพวกนั้นกลับไปกลับมา เล่าเรื่องยุทธวิธีทำศึกทางน้ำ หากมีคำถาม ก็จะถามพวกต่างชาติข้างนอกถึงยุทธวิธีรบ
ถึงขึ้นนี้แล้ว ทุกคนก็ดูออกว่าขุนพลชรากำลังเหมือนตะเกียงใกล้ดับ หวังทงเข้าไปเล่าให้อวี๋ต้าโหยวฟังถึงประเทศยุโรป
เล่าว่าเรือพวกนั้นรอนแรมกลางมหาสมุทรหาแผ่นดินใหม่ หลายแสนคนรบชนะกองทหารหลายล้าน ปราบแผ่นดินที่กว้างใหญ่พอกันแผ่นดินหมิง กวาดเก็บเอาเงินทองกลับไปอย่างนับไม่ถ้วน
ทางตะวันตกหลายพันลี้มีประเทศตะวันตกฟะรังคีไม่น้อย แม้ประชากรไม่เท่าราชวงศ์หมิงหนึ่งมณฑล แต่ก็รบเก่งมาก เสื้อเกราะอาวุธดี เดินเรือไปยังที่ต่างๆ เพื่อครอบครอง พวกชาวฟะรังคีที่เฉินหลินจับส่งมาที่เทียนจินพวกนั้นก็คือคนพวกนี้ เพียงแต่เห็นแผ่นดินหมิงเข้มแข็ง จึงยังไม่กล้ารุกราน
ประวัติศาสตร์จำได้ไม่มาก แต่แผนที่โลกยังคงพอจำได้บ้าง การรบกับประเทศวัว (ญี่ปุ่น) ก็พอจำได้อยู่ หวังทงเล่าถึงแผ่นดินในทะเลใต้ถูกพวกฟะรังคีครอบครองไปไม่น้อย ยังเล่าถึงประเทศวัว อวี๋ต้าโหยวก็จะฟังอย่างตั้งใจ หากกำลังวังชาไม่พร้อม วันรุ่งขึ้นก็จดจำไม่ได้แล้ว
เรื่องที่หวังทงเล่ามา ก็มิใช่ความรู้ที่ข้ามภพอันใด หากคนที่เคยคบหากับพวกฟะรังคีหรือพวกประเทศวัว มีความรู้มาก ก็ล้วนเข้าใจได้ คนนอกรู้เข้า อย่างมากก็แค่แปลกใจว่า หวังทงไยจึงรู้มากมายเช่นนี้ นับประสาอันใดกับการเล่าทุกครั้งล้วนไม่มีคนนอก
*************
ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 7 พ่อค้าแต่ละแห่งก็มาเทียนจิน แม้กล่าวว่ามาเพื่อค้าขายร่ำรวย แต่อย่างไรก็เป็นตลาดเกิดใหม่ ส่วนมากจึงมาดูลาดเลาเสียมากกว่า
พอปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 8 ข่าวก็ค่อยๆ กระจายไปอย่างรวดเร็ว ทุกคนเริ่มรู้เส้นทาง มาแล้วก็ตั้งใจมาทำการค้ากัน เมืองเหลียวโจวและเมืองเซวียนฝู่ล้วนมาตั้งร้านค้าที่นี่ ทั้งขายผงฟู ทั้งขายไม้ใหญ่ เปิดร้านกันครบครัน ทุกคนล้วนรู้ดีว่าการค้าที่เทียนจินเริ่มขยายวงกว้างขึ้นอีกแล้ว
ในนี้ไม่รู้ว่ามีโอกาสทางการค้าซ่อนอยู่เท่าใด ไม่ใช่ว่ามาทำกำไรหรือไม่ แต่มาแล้วทำกำไรเท่าใดต่างหาก
ร้านที่สร้างใหม่เพิ่งเริ่มมีโครงขึ้น คนที่มาขอเช่าก็ล้นหลามเหยียบกันจนธรณีประตูแทบพัง มีคนถึงกับไปดูที่สำนักประกันภัยว่าจะมีโครงการใหม๋ออกมาเมื่อใด ทุกตารางนิ้วมีค่าดั่งทองคำ วาจานี้ไม่ผิด
นอกจากเสบียงอาหารแล้ว สินค้าทางใต้มาเหนือเมื่อก่อนก็แค่มาพักสินค้าที่เทียนจิน ส่วนใหญ่ส่งไปเมืองหลวง ตอนนี้สลับกัน สินค้าใต้ส่วนใหญ่มาขนถ่ายลงที่เทียนจิน และแบ่งขายกันไปตามเส้นทางทางบก เส้นทางคลองส่งน้ำและเส้นทางทะเล ตอนนี้กลับเป็นว่าเมืองหลวงต้องมาหาซื้อที่เทียนจินแทน
โอกาสทางการค้าไร้ขีดจำกัด ความเจริญเช่นนี้ ธรรมเนียมการงานก็ย่อมมาก ในเมืองนอกเมืองไม่มีคนว่างงาน ไม่มีเจ้าหน้าที่คอยขูดรีด
ไม่ต้องกล่าวถึงพวกชายหนุ่มที่มาเทียนจินก็มีงานทำ หากพวกนักเลงหัวไม้ไม่ทำงานทำการ ทำเรื่องผิดกฏหมายเพียงเล็กน้อย ก็จะถูกจับไปใช้แรงงานทันที อย่างเช่นงานสร้างท่าเรือ ปรับพื้นที่ริมทะเล เป็นต้น งานพวกนี้ลำบากมาก ทำไปไม่กี่เดือน ไม่ว่าผู้ใดก็จะรู้จักสงบเสงี่ยมมากขึ้น
พวกเจ้าหน้าที่ที่ขูดรีด ขอเพียงมีหลักฐาน ก็จะถูกลงโทษตามกฎหมาย ถูกพาตัวไปใช้แรงงานขุดดินที่ริมทะเลเช่นกัน
สถานที่เช่นนี้ ตามหลักแล้วกองตรวจการและศาลชิงจวินต้องมีหน้าที่ดูแล แต่ที่ทุกคนกล่าวถึงและคิดถึงก็มีเพียงพวกองครักษ์เสื้อแพรของหวังทงเท่านั้น
ในเมื่อหวังทงพูดแล้วเชื่อถือได้ ยิ่งใหญ่สุดในพื้นที่เทียนจิน พ่อค้าที่มาจากทุกสารทิศก็ย่อมมาเยี่ยมคารวะ แสดงความเคารพ
เดิมคนพวกนี้หวังทงไม่อยากพบ ขอเพียงพวกเขาทำการค้าที่เทียนจิน หวังทงเก็บภาษีตามระเบียบก็สามารถได้เงินก้อนใหญ่แล้ว ในเมื่อทุกคนเป็นดังเทพเงินทอง ขอเพียงอีกฝ่ายรักษากฎระเบียบ ก็ย่อมไม่ทำให้พวกเขาต้องยุ่งยากลำบากใจ
แต่เขาคิดเช่นนี้ได้ หากพ่อค้าไม่คิดเช่นนี้ หวังทงไม่ให้พบ พวกเขาคิดว่าตนเองล่วงเกินใต้เท้าหวัง ทำการค้าก็จะรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนไม่หยุด
หลังหยางซือเฉินเตือน หวังทงก็เข้าใจในเรื่องอย่างรู้สึกกล้ำกลืนมาก แต่ก็ไม่อาจให้พบทุกคน ขอเพียงไปลงชื่อที่สมุด พวกที่มาคารวะ หากเป็นพวกสถานะไม่ถึงระดับ ก็จะให้ทิ้งของขวัญไว้ หากเทียบเชิญขอพบมีลงสถานะและชื่อของตนไว้ หรือคิดจะทำการใด อีกสองสามวันสำนักองครักษ์เสื้อแพรก็จะส่งเทียบเชิญให้พบ แม้ว่าพวกหยางซือเฉินจะเป็นผู้คัดเลือกและตอบรับ แต่ก็ถูกต้องตามธรรมเนียมทั่วไป ทำให้ทุกคนรู้สึกสบายใจ
แต่ก็มีบางคนยังอยากขอพบ เช่นท่านหนึ่งในวันนี้ เป้าเสี้ยวจือจากกองขนส่งเกลือไห่โจว ท่านเป้าท่านนี้นำเทียบเชิญระบุว่าเป็นตัวแทนจากเจ้ากรมกองขนส่งเกลือไห่โจว
กองขนส่งเกลือไห่โจวนี้เป็นหน่วยงานทางการในพื้นที่ค้าเกลือไห่โจว เจ้ากรมปฏิบัติหน้าที่ที่กรมนี้ล้วนอวบอ้วนอันดับหนึ่งในใต้หล้า หากมิใช่คนสนิทขุนนางใหญ่ในราชสำนักย่อมไม่อาจได้งานนี้ไปครอง
ว่ากันว่าเจ้ากรมที่รับตำแหน่งนี้เป็นคนเก่าคนแก่ในจวนอ๋องอวี้ ได้มาดำรงตำแหน่งตั้งแต่รัชสมัยหลงชิ่งปีที่ 5 ในเทียบแนะนำตัวว่า เป้าเสี้ยวจือเป็นคนสนิทของขุนนางกองขนส่งเกลือท่านนี้ คนเช่นนี้มาคารวะถึงที่ อย่างไรก็ต้องให้พบ
***********
เห็นการแต่งกายของเป้าเสี้ยวจือแล้วก็รู้ว่าเขามีสถานะเป็นบัณฑิตระดับซิ่วไฉเท่านั้น หากการพูดจาก็รู้ว่าเป็นพวกเชี่ยวชาญการสังคม ต่อหน้าผู้มีอำนาจเช่นหวังทงยังคงพูดจำได้นิ่งเป็นธรรมชาติ
“นายท่านเราให้นำของดีจากไห่โจวมามอบให้ใต้เท้า ขอใต้เท้าโปรดรับไว้……ข้าน้อยมาครั้งนี้ จริงๆ ก็มีเรื่องขอร้อง อีกหกเดือน ข้าน้อยจะเดินทางไปกวางตุ้งซื้อหาสินค้ากับพวกต่างชาติ แต่ภาษาไม่ได้ เกรงว่าทำงานไม่สำเร็จ ได้ยินว่าใต้เท้ามีสำนักศึกษาฝึกคนด้านนี้ จึงขอใต้เท้าช่วยสักครา”
จางอวี่เป่ยจัดการเรื่องสำนักศึกษาได้ดี แต่คนที่อบรมขึ้นมาก็ไว้ใช้งานในโรงตีเหล็กเป็นหลัก เป็นครั้งแรกที่มีคนมาถามเช่นนี้ สามารถไปมาเก๊าเจรจากับพวกต่างชาติได้ ความสามารถในการแปลก็ย่อมต้องมีอย่างมาก หวังทงย่อมรับปาก
ในเมื่อหวังทงรับปาก เป้าเสี้ยวจือก็ผ่อนคลายลงไม่น้อย ยิ้มกล่าวสัพเพเหระว่า
“……เดิมเดือนสี่ก็ถึงเทียนจิน แต่ระหว่างทางเจอคลื่นลม เรือต้องจอดซ่อมที่ซานตงจึงได้……”
สองฝ่ายสถานะไม่ได้ต่างกันเท่าไร กล่าวสัพเพเหระแล้วก็อำลากัน พอเงยหน้าขึ้นมาด้านนอกก็มีคนวิ่งเข้ามาอย่างเร่งร้อนใจ ตะโกนมาแต่นอกประตูว่า
“นายท่านรีบไปเร็ว ขุนพลอวี๋ไม่ไหวแล้ว!!”