ตอนที่ 457 เหตุวุ่นวายหน้าประตูเมือง โอรสสวรรค์กริ้วเล็กน้อย
วันที่ห้าเดือนหก คนว่างงานชาวเมืองชางโจวก็พากันออกมนอกเมืองรอชมเรื่องสนุกกัน
คนทางการกับคนของเทียนจินสู้กัน อย่างไรก็ไม่ถึงตาย ไม่กระทบต่อบริเวณโดยรอบเป็นแน่ เมื่อวานผู้ว่าเสียหน้ากลับไป วันนี้รวบรวมกำลังคนมาสู้
สถานการณ์เช่นนี้สนุกกว่าดูงิ้วอีก คนจากนอกเมืองในเมืองต่างมากันมาชมแน่นขนัด ที่ประตูเมืองยังดี เพราะที่ต้นไม้ริมแม่น้ำเต็มไปได้วยผู้คนปืนป่าย พากันชะเง้อรอชม
พวกถานกงขึ้นม้าแล้ว มองไปรอบๆ แล้วจะร้องไห้ก็ไม่ได้ จะยิ้มก็ไม่ออก แต่ก็ไม่ได้กังวลอันใด หังต้าเฉียวตื่นเช้ามาก็ใช้เงินไปจ้างเรือมา หากว่าอยู่ ๆ บนฝั่งสู้ไม่ไหว หนีไม่ทัน ก็ขึ้นเรือหนีแล้วกัน
พวกคนงานบ้านตระกูลใหญ่ปกติก็ฝึกอาวุธกันไม่เลว หากไม่อาจมียุทธวิธีสู้อันใด ดังนั้นสวีกว่างกั๋วจึงได้ให้เงื่อนไขไป พวกที่ส่งคนมาได้ก็ล้วนส่งคนมาร่วม
ตะวันตกก็มีคน ตะวันออกก็มีคน ทุกโรงบ้านยืนรวมกับกลุ่มตนเองเป็นก้อน ไม่มีระบบนำกำลัง หากหัวดำทะมึนก็ดูน่ากลัวไม่น้อย
คนเยอะก็ย่อมใจกล้า ทุกคนไม่รู้สึกว่าพวกขี่ม้าสิบกว่าคนนั้นน่ากลัวอันใด ทุกคนกรูกันเข้าไปพร้อมกัน บีบให้พวกเขาถอยลงแม่น้ำไป สวีกว่างกั๋วอยู่บนประตูเมือง เห็นสภาพชาวมุงนอกเมืองคึกคักเช่นนี้ก็มีสีหน้าดำทะมึน แต่ก็ไม่อยากเอาเรื่องให้มาก ขอเพียงขับไล่คนกลุ่มนี้ไปได้ จากนั้นค่อยลงมือเก็บกวาดให้เรียบก็พอ
พระอาทิตย์ขึ้นสูงแล้ว ทางนั้นยังไม่ลงมือ เห็นทหารจากหลายโรงบ้านวิ่งเข้าไปกล่าวอันใด สวีกว่างกั๋วเองก็กำลังแปลกใจ เจ้าหน้าที่ของตนก็วิ่งเข้ามารายงานว่า
“นายท่าน พวกทหารหลายโรงบ้านมีคำสั่งมาให้มือธนูถอยกลับไป บอกว่ามีเรื่องถึงชีวิตจะไม่อาจเจรจำได้”
“พวกมันฉลาดไม่เบา ให้พวกมันรีบลงมือ!!”
สวีกว่างกั๋วสบถด่าในใจ ปากก็เร่งไป เจ้าหน้าที่รับคำ รีบวิ่งออกไป สวีกว่างกั๋วเหลือบมองไปทางมือปราบหลี่ ในใจคิดว่ารอเรื่องนี้จบ มือปราบหลี่ย่อมไม่อาจใช้งานต่อได้ ถึงตอนนั้นเชื่อมสัมพันธ์ในวังได้ ก็ต้องจัดการชางโจวให้เรียบร้อยสักหน่อย ไม่เช่นนั้นทุกการเคลื่อนไหวย่อมถูกพวกที่ชางโจวควบคุมไว้หมด
พวกชายฉกรรจ์ในท้องที่พากันเฮโลไปอยู่มุมหนึ่ง ผู้เป็นหัวหน้าตะโกนด่าเสียงดังลั่นเพื่อกำราบจัดระเบียบ พวกขี่ม้าเคลื่อนไปด้านหน้า ชุลมุนวุ่นวายไม่หยุด
พวกถานกงเห็นแล้วก็หัวเราะดังลั่น ถานเจี้ยนหันไปกล่าวกับคนข้างๆ ว่า
“พวกเจ้าตอนนี้รู้แล้วใช่ไหมว่าใต้เท้าหวังฝึกเช่นนั้นมีประโยชน์อย่างไร แม้ว่าเป็นพวกกองกำลังรักษาความปลอดภัยของหลี่หู่โถวที่ฝึกขึ้นมาก็คงไม่เละเทะเช่นนี้เป็นแน่!”
ทุกคนพยักหน้า มีคนผู้หนึ่งกล่าวอย่างตื่นเต้นว่า
“สถานการณ์เช่นนี้ พวกเราก็แค่นำม้าทะยานเข้าใส่ก็พอ ถึงตอนนั้นย่อมทำให้พวกเขาแตกพ่ายไปเอง”
“ม้าบุกเข้าไปไม่ได้ หากบุกเข้าไป เกรงว่าจะถูกขวางไม่อาจขยับได้ ถึงตอนนั้นสี่ทิศรุมเข้ามา เจ้าจะวิ่งหนีก็วิ่งไม่อาจทำได้แล้ว!”
ถานกงกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบ กล่าวจบก็หันไปกล่าวกับเด็กหนุ่มข้างๆ ว่า
“เอ้อร์เสี่ยว เจ้ามั่นใจไหม หากเกิดเรื่องขึ้น ข้าไม่รู้จะมีหน้าอันใดไปพบบิดาเจ้า”
เด็กหนุ่มที่ถูกถามรีบประสานมือคำนับยิ้มกล่าวว่า
“ขออาจารย์วางใจ พวกเราอยู่ที่เมืองเหอเจียนก็พอมีชื่อเสียงอยู่ พวกเขาแค่นกกาไม่กล้าทำอันใดหรอก”
ถานกงพยักหน้า เด็กหนุ่มผู้นั้นตะโกนเร่งม้าออกไป วิ่งเหยาะๆ ไปทางขบวนม้ากลุ่มใหญ่
***************
พวกกองกำลังเมืองชางโจวประชิดใกล้เข้ามา ต่างก็คิดจะรับมือให้ระวังที่สุด เจ้านายของทุกคนต่างกำชับมาแล้ว แม้ว่าจะทำงานให้ผู้ว่า แต่ก็อย่าได้ลงมือรุนแรงกับพวกนี้เกินไป ใต้เท้าหวังที่เทียนจินไม่ใช่พวกใจดีอันใด เบื้องหลังยังมีผู้มีอำนาจสูงเทียมฟ้า
ประโยคนี้กล่าวไว้ก่อนแล้ว จะลงมือเต็มที่ย่อมไม่อาจทำได้ แต่อย่างไรก็คนมาก เห็นพวกข้างหน้าที่มีกำลังน้อยนิดขี่ม้าเข้ามา ก็พากันแปลกใจ
พวกชายฉกรรจ์ในพื้นที่แถวหน้าพากันกระชับอาวุธแน่นเตรียมพร้อม พวกขี่ม้าก็มองมาแถวหน้าว่าไม่มีมือธนู เข้าใกล้ระยะ 30 ก้าว ก็ชูมือขึ้นตะโกนดังว่า
“ข้าคือเป้าเอ้อร์เสี่ยว นายน้อยรองแห่งตระกูลเป้า อำเภอชิง พี่ป้าน้าอาโปรดไว้หน้าสักครา วันหน้าจะยังพบหน้าพูดคุยกันได้!”
ประกาศชื่อเสียงเรียงนามออกมาเช่นนี้ ทำทุกคนเริ่มหวั่นไหว เป้าตันเหวินแห่งอำเภอชิง ทางการไม่มีบุคคลชื่อนี้ แต่ระดับชาวบ้านนับเป็นคหบดีใหญ่ผู้หนึ่ง มีกำลังในมือหลายร้อย การลักลอบค้าเกลือเกือบครึ่งของเมืองเหอเจียนก็ล้วนเป็นกิจการตระกูลเป้า เมืองชางโจวแม้ว่าใกล้กับกองขนส่งเกลือฉางหลู แต่พวกลอบค้าเกลือรายใหญ่กลับอยู่อำเภอชิง
วันนี้พวกที่มาช่วยสู้แทนผู้ว่าสวีกว่างกั๋วด้วยเงื่อนไขก็เริ่มหวั่นไหว กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ พวกนี้เป็นพวกเกี่ยวข้องกับการลักลอบค้าเกลือ
แต่พวกเขาก็ทำได้แค่นี้เท่านั้น เมืองเหอเจียนตระกูลเป้าคุมหมด ต่อมาโรงบ้านถูกหวังทงทะลายไป กลับได้สถานะผู้ตรวจจับแทน จากโจรกลายเป็นขุนนาง สถานะย่อมไม่เหมือนเดิม ตอนนี้ตระกูลเป้ายังมีคนอยู่ที่อำเภอชิง อิทธิพลไม่น้อย เป็นพวกขุนนางอย่างเต็มตัวแล้ว
บุคคลระดับนี้จะล่วงเกินได้อย่างไร การล่วงเกินขุนนางหรือมีเรื่องกับขุนนาง หากกลางดึกมีคนหลายสิบหลายร้อยบุกเข้าโรงบ้านกวาดล้างเอา ก็ย่อมเป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่อาจจะรับไหว
จะว่าไป หากลอบค้าเกลือ เมืองชางโจวคิดจะตรวจก็หลบง่าย พวกเจ้าหน้าที่ก็เป็นคนในพื้นที่เราเอง ผู้ใดกล้าลงมือจริงจังไม่ไว้หน้ากันบ้าง แต่เป้าตันเหวินสถานะมั่นคงแล้ว หากล่วงเกินเขา แล้วเขาคิดตรวจจับขึ้นมาก็ย่อมไม่มีทางหลบพ้นเป็นแน่
พอประกาศชื่อเสียงเรียงนามออกมา อีกฝ่ายก็เริ่มหวั่นไหว พวกขี่ม้าแถวหน้าเริ่มนิ่ง กองกำลังใหญ่ด้านหลังก็เริ่มนิ่ง หัวหน้านำกำลังแต่ละตระกูลที่นำกำลังมาก็เริ่มรวมตัวกันปรึกษาหารือ มีคนขี่ม้าไปทางเป้าเอ้อร์เสี่ยว ประสานมือคำนับกล่าวว่า
“เมื่อก่อนเคยได้ยินเชื่อพี่เป้า วันนี้ได้พบหน้า สมเป็นวีรบุรุษผู้กล้า ทุกคนล้วนเป็นคนกันเอง ย่อมไม่กล้าทำให้พี่เป้าลำบากใจ แต่คำสั่งผู้ว่าชางโจวมีอยู่ ขอพี่เป้าช่วยเปิดทางให้หน่อยได้หรือไม่……”
“รู้จักชื่อตระกูลเป้าเราแล้วก็อย่าได้กล่าวมากความ รีบถอยกลับไป ใต้เท้าพวกเจ้าล่วงเกินใต้เท้าหวังเรา ใต้เท้าพวกเจ้าจะให้คนเรียกใต้เท้าได้อีกนานเท่าไรก็พูดยากอยู่ บอกกล่าวทักทายกันแล้ว หากยังไม่ถอย วันหน้าก็พูดยากแล้ว”
กล่าวจบ เป้าเอ้อร์เสี่ยวก็ไม่กล่าวอันใดต่อ ชักม้าหันหลังกลับทันที
**************
“พวกมันทำไมถอยกลับ ทำไมถอยกลับเล่า!”
เห็นอยู่ว่ากว่าเบื้องหน้าจะรวมตัวกันได้ก็ไม่ง่าย อยู่ ๆ ก็มาถอยกลับเช่นนี้ ม้าวิ่งถอยกลับกระจายสี่ทิศ ผู้ว่าสวีกว่างกั๋วจ้องมองตาค้าง ถามขึ้นรัวเร็ว
ไม่นาน มือปราบหลี่ก็นั่งรถม้ามาถึงด้วยอาการเหงื่อท่วมใบหน้ากล่าวว่า
“นายท่าน นายท่าน ข้าน้อยควรตาย ข้าน้อยควรตาย ทุกคนบอกว่างานในไร่นายังทำกันไม่เสร็จ ไม่อาจเสียเวลาต่อ รีบกลับไปทำไร่ทำนากันก่อน ไม่อาจกล่าวอำลากับใต้เท้าได้แล้ว……”
เดือนหกมีงานอันใดให้ทำกันอีกเล่า อยู่ ๆ มารื้อเวทีกลับเช่นนี้เห็นชัดกันเกินไปแล้ว สวีกว่างกั๋วรู้สึกหน้ามืด ร่างกายวูบเป็นลมล้มลง คนข้างๆ พากันเข้ามาประคอง
ผู้ว่าพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมา กำลังจะกล่าวอันใดก็หันไปเห็นมือปราบหลี่ประสานมือคำนับด้วยรอยยิ้มเฝื่อนกล่าวว่า
“นายท่าน ข้าน้อยขาเจ็บ ที่บ้านมีบิดามารดาล้มป่วย งานนี้ก็ขอพักงานก่อน ขออภัยอย่างมากๆ !”
กล่าวจบก็เร่งรถม้าจากไปอย่างเร็ว จากไปอย่างไม่สนใจใดๆ ทั้งสิ้น คิดไม่ถึงเลยว่าพวกตระกูลเป้าจะปฏิบัติหน้าที่อยู่เทียนจิน ไม่อาจล่วงเกินๆ รีบหลบหายนะก่อนดีกว่า!
นอกเมืองเหมือนว่าจะมีละครวุ่นวายกันพักหนึ่ง พวกคนมุงก็รู้สึกเบื่อ มีบางคนรู้ว่าตระกูลเป้าระดับไหน ก็พากันวิพากษ์วิจารณ์
ถานกงยิ้มกว้างไม่หุบ พวกที่อายุมากก็เข้ามาตบบ่าตบท้ายทอยเป้าเอ้อร์เสี่ยว หยอกล้อกัน
ผู้ว่าสวีกว่างกั๋วลำบากลำบนกว่าจะจัดการคนมาได้ ยามนี้กลับราวกับละครวุ่นวายเท่านั้น ก็ย่อมไม่มีหน้าจะอยู่ดูต่อ สีหน้าดำคล้ำบึ้งตึงสะบัดแขนเสื้อเอ่ยว่า
“นอกเมืองพวกชาวบ้านมามุงกัน ช่างไม่ใช่เรื่องดี ขับไล่ไปให้หมด กลับจวน กลับจวน……”
วันที่ 7 เดือนหก ทัพม้าเทียนจินก็มาถึงที่ตั้งด่านของชางโจว แม้ว่าสวมชุดธรรมดาแต่พวกชาวเมืองชางโจวก็ไม่กล้าขวาง พวกรู้งานต่างก็พากันนำอาหารมามอบให้
ด่านเมืองชางโจวสุดท้ายก็ยังไม่อาจตั้งได้สำเร็จ……
**************
“เสี่ยวเลี่ยง หวังทงส่งภาพมามอบให้สนมเจิ้งไปแล้วยัง”
“ทูลฝ่าบาท นำไปถวายพระสนมแล้วพะยะค่ะ พระสนมเจิ้งยังประทานรางวัลกระหม่อมด้วย”
ฮ่องเต้ว่านลี่แย้มสรวลพยักพระพักตร์ โบกพระหัตถ์ให้เจ้าจินเลี่ยงออกไปได้ เจ้าจินเลี่ยงออกไปปล่อยม่านปิดลง ฮ่องเต้ว่านลี่ประทับนิ่งแย้มสรวลเหม่อลอยครู่หนึ่งก็ตรัสถามว่า
“จางปั้นปั้น หวังทงทุกเดือนส่งให้ท่านกับเฝิงต้าปั้นด้วยกระมัง?”
เรื่องนี้เดิมก็มิใช่ความลับ จางเฉิงอึ้งไป ก่อนจะทูลตอบว่า
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมทุกเดือนได้สองหมื่นห้าพันตำลึง เฝิงกงกงทางนั้นได้สามหมื่นห้าพันตำลึง กระหม่อมเองก็ปฏิเสธ……”
ไม่ว่าจะใช่ความลับหรือไม่ ส่วนตัวเก็บเงินไว้แล้วถูกฝ่าบาทถามถึง อย่างไรก็มิใช่เรื่องดี จางเฉิงทูลอธิบาย ว่านลี่กลับแย้มสรวลส่ายพระพักตร์ตรัสว่า
“เรารู้ จางปั้นปั้นทำงานหนักเช่นนี้ ได้เงินทองมาบ้างก็ไม่ใช่เรื่องผิดอันใด ในวังสองปีมานี้ได้เงินจากเทียนจินน่าจะถึงสองล้านกว่าตำลึงแล้ว ใช่หรือไม่?”
จางเฉิงพยักหน้ารับคำ ฮ่องเต้ว่านลี่เคาะโต๊ะ ตรัสสุรเสียงนิ่งเรียบว่า
“ฎีกาหวังทงบอกว่า เมืองชางโจวตั้งด่าน เช่นนี้ เทียนจินย่อมเก็บได้น้อยลง นี่ใช่ว่าต้องการมีเรื่องกับในวังหรอกหรือ? ว่ากันว่ายังมีคนในวังเราร่วมด้วย ตอนหวังทงอยู่ลานฝึกหู่เวยมักพูดเสมอว่า อย่าได้มีเรื่องกับเงินทอง เรารู้สึกว่าวาจานี้มิผิด คนในวังไม่อยากให้ในวังมีเงินทองมากมายเข้ามาหรือ ไปตรวจสอบ ดูว่าที่แท้เป็นผู้ใดคิดมีเรื่องเช่นนี้!?”
ฮ่องเต้น้อย ไม่สิ ฮ่องเต้ตนับวันจะยิ่งเหมือนกับฮ่องเต้ขึ้นทุกวัน จางเฉิงเริ่มรู้สึกตื้นตัน ก้มกายถวายคำนับรับพระบัญชา
**************
ทางเขาเองก็ได้รับจดหมายส่วนตัวพอๆ กับฎีกามาถึง ที่เมืองชางโจวตั้งด่านภาษีไม่ใช่เรื่องเล็ก หากมีคนในวังเกี่ยวข้องด้วย ตรวจสอบก็ไม่ยาก
จางเฉิงได้รับพระบัญชามาก็กลับไปมอบเรื่องนี้ให้คนสนิทไปจัดการ ใช้เวลาไม่นาน วันที่ 6 เดือนหกสั่งการมา วันที่ 8 เดือนหกก็ตรวจสอบเสร็จ
ทว่า ขณะถวายรายงานฮ่องเต้ว่านลี่ที่ห้องทรงอักษร สีหน้าก็แปลกประหลาดยิ่ง เขยิบเข้าไปใกล้ก่อนจะกระซิบทูลเบาๆ ว่า
“ฝ่าบาท เรื่องนี้เหมือนว่าเฝิงกงกงทางนั้น……”