ตอนที่ 466 เรื่องใต้จมูก พบราชาท้องทะเล
พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา[1] กำลังเดาว่าเป็นเรื่องนี้พอดี
ได้ยินเสียงรายงานด้านนอก หวังทงอึ้งไป ก่อนจะยิ้มกล่าวว่า
“เสิ่นหวั่งมาเยือนถึงที่ ดูท่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเขาแล้ว แต่ว่ามาด้วยเรื่องนี้เหมือนจะน้อยไป เกรงว่ามีเรื่องขอร้อง”
สองฝ่ายยังไม่ถึงขั้นที่แตกหัก เมื่อครู่หวังทงแค่เอ่ยไปอย่างนั้น คิดไม่ถึงว่าช่างบังเอิญจริง ซุนต้าไห่ข้างๆ ก็สำทับตามมาว่า
“ร้านหลูไห่แต่ไรก็นับว่าให้ความเกรงใจดี ภาษีก็ไม่เคยติดค้าง และทำการค้าก็ทำเปิดเผย พฤติกรรมปกติเช่นนี้ก็คงเพราะกลัวว่าจะโดนพวกเราจับจุดอ่อนอันใดได้กระมัง”
“ท่าเรือเทียนจินสำหรับพวกเขาก็เหมือนกับไข่ทองคำ ไม่มีท่าเรือ ต้าหมิงกับประเทศวัว เกาหลีและการค้าทะเลใต้ทั้งหมดก็ต้องหดตัวลงหลายส่วน พวกเขาหากินทางทะเล ไม่รู้ว่าจะต้องกำไรลดลงเท่าไร แต่หากท่าเรือเทียนจินไม่มีข้าแล้ว ก็ย่อมพังทลายสิ้น……ไม่ใช่เขา ไม่ใช่เขา!”
หวังทงพึมพัมพูดกันตนเอง ก่อนจะสั่งการไปว่า
“ไปหอรุ่งเรืองจองโต๊ะเลี้ยง เสิ่นหวั่งมา มีวาจาต้องเจรจาสักหน่อย”
คนข้างๆ รีบรับคำสั่ง กองกำลังหู่เวยที่เทียนจินเป็นกำลังในการควบคุมของฮ่องเต้ว่านลี่โดยตรง หากกำจัดตนได้ ก็เท่ากับตัดแขนของว่านลี่ทิ้งไปข้างหนึ่ง
คิดถึงตรงนี้ หวังทงก็อดหนาวขึ้นมามิได้ หรือว่าเกี่ยวพันถึงราชบังลังก์ ยามนี้เอง ก็ได้ยินเสียงข้างนอกรายงานดังเข้ามาว่า
“ใต้เท้า อาจารย์ฟางร้านผ้าหนานรุ่ยมาขอพบ!”
ผู้นี้ก็คือผู้ที่ขอกลับไปตรวจสอบข้อมูล ยามนี้มาขอพบ เห็นได้ว่าตรวจพบสิ่งใดแล้ว
อาจารย์ท่านนั้นเข้ามาก็คุกเข่าลง แต่ไม่ได้เอ่ยรายงาน ลังเลมองไปยังรอบๆ หวังทงโบกมือกล่าวว่า
“มีอันใดก็กล่าวมา ที่นี่คนกันเองทั้งนั้น ไม่ต้องกังวล”
ได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ อาจารย์ท่านนี้ก็ก้มหน้าลงกล่าวขึ้นเบาๆ ว่า
“นายท่าน ข้าน้อยดูแล้วพบว่าไม่ใช้ผ้าจากทางใต้ แต่ก็ไม่แน่ใจนัก ดังนั้นจึงกลับไปดูตัวอย่าง ไหมเนื้อหยาบกว่าของทางใต้เล็กน้อย สีสันก็หมองกว่าเล็กน้อย ไหมชนิดนี้น่าจะมาจากเมืองลู่อันที่ซานซีขอรับ”
หวังทงอึ้งไป เขาจึงได้ว่าผ้าแพรต่วนมาจากแดนใต้หรือไม่ก็เสฉวน อดไม่ได้ถามขึ้นว่า
“ซานซีมีแพรไหมด้วยหรือ?”
“เรียนนายท่าน เมืองลู่อันที่ซานซีมีโรงงานผ้าแพรไหม ได้ยินอาจารย์ข้าน้อยเล่าว่า 40 ปีก่อนผ้าไหมที่เมืองหลวงใช้กัน หกส่วนถึงแปดส่วนมาจากเมืองนี้ ต่อมาจึงได้ถูกสินค้าทางใต้แซงหน้าไป มาถึงตอนนี้ เมืองลู่อันทางนั้นผลิตผ้าแพรไหมออกมาก็ขายกันอยู่ทางเหนือ พวกมองโกลไม่รู้จักแยกแยะของชั้นดีเลว ต่างคิดว่าเป็นของชั้นดี……”
เมืองลู่อันผลิตไหมหรือไม่ไม่สำคัญ หากได้ยินอาจารย์ท่านนี้เล่ามา ก็เหมือนว่าเกี่ยวพันไปยังทุ่งหญ้า
หากอธิบายเช่นนี้ ก็พอฟังขึ้น ตนตัดหัวมองโกลนอกด่านไปหลายพัน ทำลายราบคาบไปหนึ่งเผ่า อีกฝ่ายย่อมมีความแค้นโลหิตฝังลึกกับตน ส่งมือสังหารเดนตายมาสังหารตน
แต่คำอธิบายอย่างนี้แม้แต่หวังทงเองก็ยากจะเชื่อ หวังทงคิดครู่หนึ่ง ก็ออกคำสั่งไปว่า
“ให้อาจารย์ฟางไป 200 ตำลึง ให้ท่านอาจารย์ร้านเสียงฝูชิ่งไปด้วย 200 ตำลึง คนทำงานที่เหลือคนละ 50 บอกพวกเขาว่าจำไว้ว่าที่เห็นที่นี่อย่าได้พูดออกไป”
แม้ว่าพวกช่างฝีมือจะได้ค่าแรงจากร้านต้นสังกัด แต่อยู่ ๆ มาได้ทีเดียว 200 ซึ่งก็ต้องใช้เวลาหลายปีหรือสิบปีในการหามา อาจารย์ฟางรีบคุกเข่าคำนับขอบคุณก่อนจะถอยออกไป หวังทงถูกลอบสังหารเรื่องนี้พวกเขาย่อมรู้หนักเบา ย่อมไม่กลับไปกล่าวอันใด
“ถานเจียง เจ้าให้คนไปดูหัวมือสังหารพวกนั้นเทียบกับพวกที่เรานำกลับมาจากทุ่งหญ้า ที่กองตรวจการเคยมาตรวจสอบพวกนั้น ให้พวกเขาดูว่ามือสังหารเป็นชาวฮั่นหรือมองโกล”
ถานเจียงรับคำออกไปจัดการ ทุกคนจ้องไปที่หวังทง หวังทงสีหน้าเรียบเฉยเอ่ยว่า
“พวกเจ้าคิดว่าชาวมองโกลจะส่งคนมาเทียนจินลอบสังหารข้าแก้แค้นหรือไม่?”
ทุกคนสบตากัน ล้วนรู้สึกว่าเรื่องไม่ใช่เช่นนี้ หวังทงกล่าวต่อว่า
“เราไม่พูดถึงว่าเราสังหารคนหมดเกลี้ยง แม้ว่าหลบหนีไปได้ พวกเขารู้ว่าพวกเราเป็นใคร แม้ว่ารู้ว่าพวกเราเป็นใคร พวกเขาจะไปหามือสังหารเดนตายมาจากที่ใด มองโกลมาเทียนจิน เกรงว่าคงมีคนจับตัวส่งทางการไปแล้ว”
“หรือเป็นพวกชนชั้นสูงมองโกลจ่ายเงินจ้างมา?”
เป็นหยางซือเฉินที่เอ่ยขึ้น หวังทงแค่นยิ้มส่ายหน้ากล่าวว่า
“พวกชนชั้นสูงมองโกลหากมีความคิดเช่นนี้ เมืองหลวงคนตั้งเท่าไร แม่ทัพชายแดนตั้งเท่าไร สังหารคนอื่นดีกว่ามาสังหารข้า ไยต้องเสียเวลาวางแผนใหญ่เช่นนี้……”
กล่าวไปสองสามประโยค หวังทงก็ตกเข้าสู่ภวังค์ความคิด ตรวจชุดที่โจรสวม ตรวจหัวที่ตัดมา ทุกคนรู้สึกว่าตามความคิดหวังทงไม่ทัน
ในห้องเงียบลง หวังทงตบมือสองข้างค่อยๆ กล่าวว่า
“ทำไมคิดแต่ทางเหนือ ผ้าเป็นผ้าจากเขตปกครองเหนือ อาวุธเป็นของทำเอง ชุดชั้นในที่พอแสดงให้เห็นสถานะได้ก็มาจากซานซี คิดแต่ว่าผ้าแพรขายไปยังตอนเหนือ ทำไมไม่คิดว่าเป็นพวกซานซีส่งคนมากัน”
“ซานซี? ใต้เท้ากับซานซีมีข้อบาดหมางอันใดกันหรือ?”
คนถามครานี้คือไช่หนาน หวังทงส่ายหน้ากล่าวว่า
“ยังจำตอนข้าถล่มร้านค้าด้วยปืนใหญ่ได้หรือไม่?”
หวังทงส่งทหารไปเก็บค่าป้ายสงบสุขและถูกคนร้านจิ้นเหอรุมทำร้าย องครักษ์เสื้อแพรจึงได้ลากปืนใหญ่ไปถึงหน้าประตูร้าน ยิงตูมเข้าใส่ ชื่อเสียงดังไปทั้งเมือง ร้านจิ้นเหอก็ล่มสลาย คนก็หายไปหมด เหลือแต่ร้านว่างเปล่า เรื่องนี้ทุกคนก็เกือบลืมไปแล้ว พอหวังทงเอ่ยขึ้น ทุกคนก็พอจำได้ลางๆ
“ตรวจสอบร้านค้าซานซีที่เทียนจินทั้งหมด ชาวซานซีที่อยู่โรงเตี๊ยมก็ต้องตรวจที่มาที่ไปอย่างละเอียด!”
คนรับหน้าที่ตรวจสอบเรื่องนี้ก็คือจางซื่อเฉียง จางซื่อเฉียงรีบลุกขึ้นรับคำสั่ง หวังทงกล่าวต่อว่า
“เคลื่อนกำลังไปช่วยได้ทุกเมื่อ ให้ลี่เทา หู่โถวกับซุนซิงไปช่วยด้วย คืนนี้เริ่มตรวจ……ตอนนี้เกรงว่าอาจสายไปแล้ว”
**************
“ข้าน้อยเดิมอยู่ที่เกาหลี ได้ยินใต้เท้ามีภัย จึงรีบมาดู ได้เห็นใต้เท้าปลอดภัยดีก็วางใจ”
เสิ่นหวั่งอยู่ในชุดยาวสีเขียวอ่อน กำลังกล่าวด้วยรอยยิ้มบางอยู่ ณ หอสุรา ทะเลทางเกาหลีเดินเรือมาถึงเทียนจินอย่างน้อยที่สุดก็ต้อง 10 วันขึ้นไป เสิ่นหวั่งย่อมไม่ได้กล่าววาจาจริง หวังทงไม่คิดมากในเรื่องนี้ นอกและในหอสุราย่อมมีคนเสิ่นหวั่ง 30 คนได้ แน่นอน คนของหวังทงย่อมมากกว่า
เลือกหอรุ่งเรืองเป็นที่นัดหมายใกล้แม่น้ำทะเล ก็เพื่อให้เสิ่นหวั่งวางใจ อย่างไรอยู่ที่นี่ ขอเพียงหลุดออกจากหอสุราไปได้ ก็สามารถขึ้นเรือหนีได้ทัน
“มา ข้าน้อยคำนับใต้เท้าหนึ่งจอก ใต้เท้าพ้นภัยมาได้ครานี้ย่อมมีโชคใหญ่ วันหน้าย่อมมีวาสนายิ่งใหญ่”
เสิ่นหวั่งนับว่าให้ความเคารพนอบน้อมอย่างมาก จะว่าไปสองฝ่ายพบกันครานี้เป็นครั้งที่สอง แต่เสิ่นหวั่งก็ยังวางตัวได้สนิทสนมเหมือนเดิม ดูไม่ออกแม้แต่น้อยว่าคนของเขาเคยปฏิเสธข้อเสนอจ้างคนมาต่อเรือของหวังทง
หวังทงยิ้มชนจอกสุรา ดื่มหมดจอก เสิ่นหวั่งถอนหายใจยาว ส่ายหน้ายิ้มกว้างกล่าวว่า
“อย่างไรก็ยังคงเป็นสุราหมิงเราที่รสชาติแรง ดื่มแล้วสบายตัว พวกสุราชาวประเทศวัวนั้นราวกับน้ำเปล่า สุราอุ่นพวกเขานั้นก็เหมือนว่าไม่ได้ต่างกับซอสเปรี้ยวสักเท่าไร”
หวังทงวางจอกสุราลง จ้องมองเสิ่นหวั่งที่กำลังลิ้มรสอาหารและสุราอย่างเพลิดเพลินแล้วก็กล่าวว่า
“ท่านเสิ่น ไม่จำเป็นต้องปิดบังอันใด ในเมื่อมาแล้ว มือสังหารเดนตายนั่นก็คงไม่ใช่ท่านส่งมาแล้ว ข้าเองพอรู้อยู่ พวกเราดูแลงานและคนงานมากมาย วาจาก็เปิดเผยกันได้ มีบางอื่นท่านไม่ช่วย เทียนจินเราก็ไม่ทำแล้ว คงต้องช้าออกไปหน่อย ท่านตอนนี้เข้ามาร่วมการค้า วันหน้าภูเขาทองทะเลเงินนี้ก็คงมีส่วนแบ่งให้ท่านสักชาม หากท่านจะเอาแต่ปิดจวนไม่ให้พบ วัหน้าเกรงว่าคงจะคบหากันยากสักหน่อย”
สองฝ่ายนั่งอยู่ที่โต๊ะ ไม่มีผู้ใดคอยรับใช้ โต๊ะรอบด้านล้วนว่างเปล่า พอส่งสุราอาหารมาก็ให้สองฝ่ายตรวจสอบก่อนจะยกขึ้นโต๊ะ
ได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ เสิ่นหวั่งสีหน้ายังคงไม่แปรเปลี่ยน หากหันไปรินสุราให้ตนเองดื่มไปคำหนึ่ง พิงพนักเก้าอี้ยิ้มกล่าวว่า
“ได้ยินใต้เท้ากล่าวเช่นนี้ ข้าน้อยเองก็คิดว่ามือสังหารเดนตายนั่นควรเป็นผู้น้อยส่งมา”
คนผู้นี้วางท่าทีได้นิ่งอย่างมาก วาจานี้เกรงว่าจะใจกล้าไปหน่อยแล้ว หวังทงคิ้วกระตุก เสิ่นหวั่งกลับคีบกุ้งเข้าปาก พร้อมดื่มสุราตาม โบกมือกล่าวว่า
“ใต้เท้าอย่าได้โมโหไป เงินหลายแสนตำลึงลงทุนกับร้านประกันภัยไป ข้าน้อยคงไม่ถึงขั้นแยกแยะหนักเบาไม่ได้ ในเมื่อใต้เท้ากล่าวเช่นนี้ ข้าน้อยเองก็ย่อมแสดงท่าทีบ้าง จะทิ้งเรือไว้ให้ใต้เท้าใช้งานสัก 20-30 ลำ คนอื่นเช่าคิดเท่าไร ข้าน้อยคิดใต้เท้า 7 ส่วนพอ ลูกเรือและช่างเรือนั้นเป็นเส้นเลือดหลักของข้าน้อย กล่าวถึงเรื่องนี้ วันหน้ายากพบใต้เท้าไม่ว่า เกรงว่าคงได้ถูกพี่น้องเราตัดหัวทิ้งไปก่อน ใต้เท้าโปรดเข้าใจด้วยๆ”
หวังทงขมวดคิ้ว ไม่กล่าวอันใด อยู่เขาก็แค่อยากลองน้ำใจดูเท่านั้น ได้ผลเช่นนี้นับว่าเกินคาดหมาย สามารถมีเรือได้ 20 -30 ลำเพิ่มมา อย่างน้อยก็แก้ปัญหาเรือขนสินค้าไปเหลียวโจวได้แล้ว และยังได้ประโยชน์ใหญ่ แต่เสิ่นหวั่งทำเช่นนี้ ดูแล้วก็น่าจะมีเรื่องขอร้องให้ช่วย
ตามคาด เสิ่นหวั่งกล่าวจบก็มองหวังทงเงียบไป ได้แต่ยิ้มกล่าวว่า
“ในเมื่อใต้เท้าไม่กล่าวอันใด ข้าน้อยก็ถือว่าใต้เท้ารับไว้แล้ว มาครั้งนี้ก็มีเรื่องมาขอร้องใต้เท้า ตอนนี้กิจการผงฟูที่เทียนจินยิ่งใหญ่ ร้านค้าผงฟูทำกำไรมาก ราคาถูก แม้แต่เรือของข้าน้อยเองก็นำขนส่งไปขายที่ต่างๆ กำไรไม่น้อย เห็นผงฟูพวกนี้ ข้าน้อยเองก็มีของอยากจะค้าขายด้วย จึงได้มาขอให้ใต้เท้าเว้นภาษีให้……”
****************
“เรื่องอันใดก็ไม่อาจพึ่งพาผู้อื่น ทุกเรื่องต้องพึ่งตนเอง……เถ้าแก่กู่ จำไว้ว่าไปสืบราคาน้ำตาลที่เมืองหลวงและเมืองในเขตปกครองเหนือ รีบกลับมารายงาน”
พอกลับถึงจวน หวังทงก็กล่าวเรื่องที่ทำให้ทุกคนพากันงงหาที่มาที่ไปไม่ได้ ยังสั่งการให้เถ้าแก่กู่ไปทำด่วน ทุกคนกำลังงงกันอยู่ กลางวันไปคุยอะไรกันมา
“ใต้เท้า เรื่องใต้จมูก ใต้จมูก อยู่ตรงหน้าพวกเรานี่เอง……”
จางซื่อเฉียงกล่าวอย่างตื่นเต้ น้ำเสียงสั่น……
———————-
[1] เป็นสำนวนแปลว่า กำลังพูดถึงผู้ใด ผู้นั้นก็ปรากฎตัว