ตอนที่ 480 ผู้ใดอยู่เบื้องหลัง พบทางอีกทางหนึ่ง
ต่งช่วงสี่เองเป็นถึงนายกองพันองครักษ์เสื้อแพรประจำซานตง เป็นเจ้าของพื้นที่ แต่หวังทงจากเทียนจินมาซานตง ไม่เข้าจี่หนาน หากมาที่เยี่ยนโถว
ก่อนเข้าหมู่บ้านเยี่ยนโถวยังมีคนมารอรับ พอเข้าหมู่บ้านไปก็จู่โจมจวนตระกูลไก้ทันที พอโจมตีเสร็จสิ้น ก็พบว่าพี่น้องตระกูลอู๋อยู่ที่นี่ หวังทงเป็นนายกองพันเหมือนกับตน เขายังเป็นขุนนางนอกพื้นที่ เหตุใดจึงสามารถจัดการเรื่องนี้ได้อย่างชำนาญราวคุ้นเคย
เป็นที่รู้กันว่า ต่งช่วงสี่มีโรงสีอยู่ที่หมู่บ้านเยี่ยนโถวแห่งหนึ่ง ยังมีโรงประมงทำปลาตากแห้งอีกแห่งหนึ่ง หากเขาไม่รู้เรื่องพวกนี้แม้แต่น้อย หวังทงกลับรู้ละเอียดยิ่ง
ไม่ต้องกล่าวถึงว่าตอนบุกเข้าไปในจวน พี่น้องตระกูลอู๋ต่างมองเขาด้วยสายตาโกรธแค้น ได้ยินคำถามต่งช่วงสี่ หวังทงได้แต่ยิ้มถามว่า
“ใต้เท้าต่งมีโรงสีที่นี่กระมัง?ยังมีโรงประมงทำปลาแห้งอีกกระมัง ใช่หรือไม่?”
“……ก็ใช่……”
คิดไม่ถึงว่าหวังทงจะรู้เรื่องนี้ด้วย หวังทงยิ้มกล่าวว่า
“ธัญพืชข้าวเปลือกต่างๆ จากทุกสารทิศก็ต้องส่งมาที่โรงสีใต้เท้า ทุกที่กินเกลือกินปลาก็ต้องการปลาเค็มตากแห้งของท่าน การค้านี้ย่อมต้องดีงามมากกระมัง?”
ธัญพืชข้าวเปลือกต่างๆ หลากหลายก็ต้องการโรงสีมาจัดการ โรงสีใช่ว่าชาวบ้านทั่วไปจะมีได้ โรงสีริมแม่น้ำก็มีขนาดใหญ่ ปริมาณการแปรรูปก็ย่อมใหญ่โต
ในยุคนี้การขนส่งไม่สะดวกอย่างมาก นอกจากชาวประมงริมทะเลริมแม่น้ำแล้ว คนทั่วไปไม่มีปลาสดกินกัน มักจะต้องผ่านการตากแห้งดองเค็มก่อนจะขนส่งเข้าไปในเมืองได้ ปลาตากแห้งดองเค็มพวกนี้ต้องใช้เกลือ และต้องใช้จำนวนมาก เรื่องนี้ก็ต้องอาศัยการค้าเกลือ หมู่บ้านเยี่ยนโถวห่างจากเมืองจี่หนานไม่ถึงสองชั่วยาม ปลาเค็มก็พอดีขายให้ในเมือง ได้กำไรมากมาย
ต่งช่วงสี่พยักหน้าด้วยสัญชาตญาณ แต่ก็ยังงง ไม่รู้ว่าทำไมหวังทงจึงกล่าวถึงประเด็นนี้ หวังทงกล่าวต่อว่า
“ไก้เถี่ยถ่าผู้นั้นเล็งสองร้านนี้ในมือท่าน รอกำจัดท่านได้ ก็จะฮุบสองร้านนี้ไปเอง”
เมื่อครู่ตอนเดินผ่าน ต่งช่วงสี่ก็ได้เห็นศพของไก้เถี่ยถ่า ได้ยินคำพูดนี้ก็อดสบถถ่มน้ำลายไม่ได้ โมโหด่าทอว่า
“เจ้าตัวบัดซบกล้าคิดนะ ไปคิดในนรกเถอะ!”
“เป็นนายกองร้อยสวีตงในสังกัดเจ้าร่วมมือด้วยหรือไม่ ยังต้องไปสอบถามเอาเอง แต่คนที่จี่หนานจับจ้องกิจการท่านตาเป็นมัน พี่น้องตระกูลอู๋ต้องการสังหารท่าน หลังลงมือสำเร็จ พี่น้องตระกูลอู๋ย่อมถูกจับไปประหาร จากนั้นกิจการท่านก็จะถูกคนเหล่านี้แบ่งกันไป มิเช่นนั้น โจรเข้าเมืองมาสังหารขุนนาง เหตุใดคนมากมายเพียงนี้จึงวางเฉยได้?”
หวังทงอธิบายต่อ ต่งช่วงสี่ได้ฟังถึงกับอ้าปากค้าง ตั้งแต่คนตระกูลอู๋มีความแค้นกับตนมา บรรดาขุนนางที่จี่หนานก็ล้วนแต่วางเฉย
ทรัพย์สินเงินทองทำให้คนหวั่นไหว ต่งช่วงสี่ร่ำรวยเช่นนี้ ย่อมหวั่นไหวอย่างมาก เหตุผลนี้ฟังขึ้น ปัญหาคือหวังทงรู้ได้อย่างไร
เห็นสีหน้าสงสัยและโมโหของต่งช่วงสี่ หวังทงก็ได้แต่ยิ้มอธิบายว่า
“เรื่องนี้คนที่จี่หนานรู้กันหมด เพียงแต่ปิดบังท่านผู้เดียว ข้าเพียงแค่ให้ผลประโยชน์ไปบ้าง ก็ย่อมได้ความมา”
วาจาจบลงเช่นนี้ หวังทงไม่คิดจะบอกเรื่องราวให้ต่งช่วงสี่รู้กระจ่างนัก อย่างไรการได้ข่าวนี้มา เขาเองก็จ่ายเงินไปไม่ได้น้อย
เทียนจินรุ่งเรืองเพียงนั้น วงการขุนนางซานตงต่างก็มีกิจการหาเงินหาทองที่เทียนจินไม่น้อย หวังทงเคยไปสืบเบื้องหลังร้านใหญ่แต่ละร้านในเทียนจิน ย่อมรู้กระจ่าง
เดินทางไปเหลียวโจว หรือเมืองเซวียนฝู่ทำการค้ากับนอกด่าน ล้วนอยู่ในความควบคุมของร้านสามธารา แบ่งออกมานิดหน่อยให้กับพ่อค้าที่ซานตง พ่อค้าพวกนี้ก็ย่อมรู้สึกซาบซึ้ง สำหรับกองใหญ่แล้ว นี่นับว่าเล็กน้อย หากสำหรับพ่อค้าพวกนี้แล้วนับว่าเป็นกำไรก้อนโต เงินทองไหลมาเทมา
ทางนี้ให้ผลประโยชน์มากเช่นนี้ก็ย่อมมิได้ให้เปล่า หวังทงคิดจะสืบข่าวอันใด ก็ย่อมรู้อันใดกล่าวอันนั้น ไม่มีปิดบัง
ทางการต้องการสืบ ไม่มีข่าวอันใดที่ปิดบังได้ ต่งช่วงสี่เองก็เคยไปหาแต่ละหน่วยงานด้วยความร้อนใจไร้หนทาง ทุกคนเกลียดคนผู้นี้ ไม่อยากจะสนใจเขานั้นเป็นเรื่องจริง แต่ไม่ได้หมายความว่าเรื่องนี้จะไม่รู้ ข่าวจากหลายแหล่งมารวมกัน ก็ย่อมได้ความพอสมควร
ไก้เถี่ยถ่ากับพี่น้องตระกูลอู๋ตกลงกันแล้วว่า รอให้เข้ามาจัดการต่งช่วงสี่แล้วจะแบ่งทรัพย์สินกันอย่างไร เงินทองของใคร ร้านค้าของใคร ล้วนแบ่งเสร็จสรรพ
แต่พวกเขาคิดไม่ถึงว่าโจรเข้าเมืองสังหารขุนนาง แต่ละหน่วยงานในเมืองจี่หนานมีหน้าที่รับผิดชอบดูแลกลับนั่งมองดูพวกเขาเฉย ทุกคนไม่ได้รู้สึกดีอันใดกับต่งช่วงสี่ เมื่อเขาเกิดเรื่องย่อมไม่อยากช่วยเหลือ ทุกคนมีวิธีการที่ง่ายมาก ก็คือรอให้พี่น้องตระกูลอู๋ทำการสำเร็จ พวกทางการก็ค่อยส่งทหารไปจับโจรส่งทางการ จากนั้นทุกคนก็จะเอาทรัพย์สมบัติตระกูลต่ง ตระกูลอู๋และตระกูลไก้มาแบ่งสรรปันส่วนกัน ตั๊กแตนจับจิ้งหรีด นกกระจอกรออยู่ด้านหลัง เรื่องราวก็ประมาณนี้
เพียงแต่ส่วนแบ่งขุนนางในจี่หนานมากนัก ยังต้องเสียแรงไปจับโจรอีก อาจมีบาดเจ็บล้มตาย อย่างไรก็มีหน้าที่ติดตัว เทียบกับผลประโยชน์ที่หวังทงให้แล้ว ทุกคนก็ย่อมรู้จักชั่งน้ำหนักหนักเบาได้
“มารดามันสิ ข้าอยู่จี่หนานแต่ไรมาก็ไม่หาเรื่องผู้ใด เหตุใดจึงมีคนมากมายต้องการสังหารข้ากัน ครั้งนี้หากไม่ใช่ใต้เท้าช่วยเหลือ ยังไม่รู้จะเป็นเช่นไร!”
ต่งช่วงสี่กระทืบเท้าไปด่าไป ที่หมู่บ้านเยี่ยนโถวไม่มีใครรู้จัก เขาเองก็ไม่ต้องสนใจอันใดนัก หวังทงไม่คิดอธิบายอันใดต่อ ให้นายกองพันต่งกับพวกขุนนางซานตงมีปัญหากันเสียบ้างดีกว่าให้พวกเขาสมัครสามัคคีกัน อย่างน้อยก็มีประโยชน์ต่อหวังทงมากกว่า
กำลังด่าอยู่นั่นเอง พวกเชลยก็ทยอยกันออกมาจากด้านหลัง หวังทงนั่งยิ้มกล่าวว่า
“ใต้เท้าต่ง เรื่องที่ข้าต้องทำก็ทำเสร็จแล้ว ที่ท่านรับปากข้าก็ต้องทำด้วยล่ะ!”
“ใต้เท้าหวังโปรดวางใจ ช่างเรือมอบให้ข้าจัดการ ไปทำงานให้ใต้เท้าที่เทียนจิน ก็ย่อมเป็นวาสนาของพวกเขา”
ต่งช่วงสี่ตบหน้าอกรับปากเสียงดัง พี่น้องตระกูลอู๋ก้มหน้าก้มตาคอตกเดินออกมา ต่งช่วงสี่หรี่ตามอง กัดฟันกรอดกล่าวว่า
“ขอใต้เท้ามอบเจ้าสองคนนี้ให้ข้า สำนักองครักษ์เสื้อแพรเรามีวิธีการต่างๆ ทุกวิธี จัดการปิ้งย่างเจ้าพวกนี้ก็ง่ายดายนัก”
การลงทัณฑ์ทรมานตามแบบฉบับองครักษ์เสื้อแพรนั้นมีชื่อเสียงทั่วหล้า ต่งช่วงสี่คงจะโกรธแค้นพี่น้องตระกูลอู๋อย่างมาก ดังนั้นจึงกัดฟันกรอดกล่าวเช่นนี้ออกมา วาจาเขาเสียงดังไม่เบา คิดว่าคงต้องให้พี่น้องตระกูลอู๋ทั้งสองได้ยิน
เมื่อตกเป็นเชลย ไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่อาจเรียกว่าวีรบุรุษ ไก้เถี่ยถ่าที่เสียชีวิตในการต่อสู้ยังดีกว่า พี่น้องตระกูลอู๋ในใจรู้ดี ไม่รู้ว่าจะมีวิธีการโหดร้ายอันใดรอตนอยู่เบื้องหน้า ได้ยินต่งช่วงสี่กล่าวมาเช่นนี้ เรียกได้ว่าปากมากไม่น้อย
พวกเชลยเดินไปไม่กี่ก้าว อู๋ต้าอยู่ๆ ก็สะบัดตัวจะปรี่มาทางหวังทง ทหารข้างกายสองนายก็จับกดไว้ ขยับตัวไม่ได้ กลุ่มเชลยแตกตื่น แต่เพราะถูกมัดไว้แน่นหนา ทหารเงื้อดาบและทวนพร้อม ผู้ใดกล้าขบับเขยื้อนโดยพลการ
ทว่าอู๋ต้าเหมือนว่าไม่ได้อยากลงมือ พอถูกรั้งตัวเอาไว้ก็ตะโกนเสียงแหบพร่าว่า
“นายท่านต้องการช่างต่อเรือ ต้องการลูกเรือ ข้าน้อยมีวิธี ขอเพียงนายท่านไว้ชีวิตเราพี่น้อง ขอเพียงไว้ชีวิตเท่านั้น!”
ได้ยินเสียงตะโกนเช่นนี้ หวังทงก็ขมวดคิ้ว เอ่ยกับลี่เทาว่า
“นำคนพวกนี้ออกไป ให้คนไม่เกี่ยวข้องถอยออกไป”
ลี่เทารับคำสั่ง รีบนำคนออกไป ต่งช่วงสี่เดิมคิดว่าหวังทงจะให้พี่น้องตระกูลอู๋ปิดปาก พอได้ยินคำสั่ง ก็รีบเข้ามากล่าวว่า
“ใต้เท้าหวัง พี่น้องตระกูลอู๋สองคนนี้ก็แค่พวกโจรกระจอก พวกมันจะมีหนทางอันใดได้ เจ้าเดรัจฉานสองคนนี่ ก็แค่หาทางมีชีวิตรอด ใต้เท้าอย่าได้ถูกพวกมันหลอกเอาได้ ข้าน้อยหาเอาที่ซานตง ย่อมต้องหาได้ง่าย ไยต้องให้……”
“ช่างผายลมยิ่งนัก ต่งช่วงสี่เจ้าตัวบัดซบรู้จักช่างต่อเรืออันใด ไม่ใช่เพราะราชาไตรธารามาปักหลักที่ซานตงหรอกหรือ เจ้ากล้าแตะต้องก็แตะต้องนานแล้ว ไยต้องบูชาราวกับบรรพชนเจ้าเช่นนี้!”
อู๋ต้าตะเบ็งเสียงดัง ทหารหวังทงมองออกว่าใต้เท้าตนคิดจะฟังวาจาโจรผู้นี้ ดังนั้นจึงดึงเอาไว้ หากไม่อุดปาก
“หือ?”
หวังทงรู้สึกสงสัย หันไปมอง อู๋ต้าเห็นหวังทงสนใจ ก็ตะเบ็งเสียงตะโกนดังว่า
“เสิ่นหวั่งได้ชื่อว่าราชาไตรธารา บนท้องทะเลได้ชื่อว่าราชามังกร มีที่อยู่ที่เติงโจว ไหลโจวสองแห่งในซานตง และมีคนมีฝีมือราวเกือบพันคน แต่ต่งช่วงสี่กลับส่งคนไปเจรจำเป็นมิตร ข้าน้อยย่อมได้ยินได้ฟังมาบ้าง ข้าน้อยเองก็รู้จัก ใต้เท้าไว้ชีวิตข้าน้อย ข้าน้อยจะหามาให้ใต้เท้าได้แน่”
หวังทงหรี่ตามองต่งช่วงสี่ ต่งช่วงสี่รีบกล่าวว่า
“ใต้เท้า อย่าได้ฟังวาจาเหลวไหลโจรชั่ว มันจะไปทำอันใดได้!”
วาจาแม้กล่าวเช่นนี้ แต่ต่งช่วงสี่กลับมีสีหน้าลนลาน หวังทงยิ้มโบกมือ ทหารจึงได้นำตัวอู๋ต้าเข้ามา
“เหตุใดเจ้าจึงรู้ว่าข้าต้องการช่างเรือและลูกเรือ?”
“เมื่อคืนนายท่านคุยกัน ข้าน้อยได้ยิน”
อู๋ต้าน้ำเสียงสั่น รู้ว่าโอกาสอยู่ตรงหน้า หวังทงได้ยินก็อดยิ้มไม่ได้ กล่าวว่า
“นับว่าเป็นคนฉลาด เจ้าลองว่ามา เจ้าเปิดร้านพักรถม้าที่จี่หนาน รู้จักพวกชาวเรือที่เติงโจว ไหลโจวได้อย่างไร เจ้ามีลู่ทางดีกว่านายกองพันต่งงั้นหรือ!”
“คุณชายเจ้าสำราญเช่นต่งช่วงสี่จะไปรู้อันใด นายท่าน ในซานตงหากต้องการรถม้าไปชิงโจว เติงโจว ไหลโจวสามแห่งนี้ การค้าที่ทำกำไรที่สุดก็คือการลับลอบขนสินค้าจากริมทะเล รับของหนีภาษี น้องชายข้าน้อยอู๋เอ้อร์กับไก้เถี่ยถ่าเป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน เนื่องจากติดต่อกันไปมา ข้าน้อยย่อมรู้เบื้องลึกของพวกเดินทะเลพวกนั้นดี”
อู๋ต้าพูดเร็วด้วยความร้อนใจ หวังทงพยักหน้า ยิ้มถามว่า
“อยู่ข้างนอกมีอิสระกันมากเช่นนี้ คนพวกนี้จะยอมทำงานให้ข้างั้นหรือ?”
“นายท่าน ข้างนอกเสี่ยงภัยลมฝน นอกจากราชาไตรธาราเก็บเงินผู้เดียวแล้ว ผู้อื่นไหนเลยจะไม่อยากหาที่อยู่เป็นหลักแหล่งมีหน้ามีตากัน มีโอกาสเช่นนี้ ได้แต่งตัวเป็นขุนนางกัน ทุกคนฝันอยากเป็นทั้งนั้น นายท่าน ไว้ชีวิตข้าน้อยสองคน จะต้องทำงานให้นายท่าน……”
หวังทงไม่ได้รับคำหากยิ้มลุกขึ้นยืนกล่าวว่า
“ผู้ใดรู้บ้างว่าครอบครัวตระกูลอู๋อยู่ที่ใด บอกมา ข้าให้ 10 ตำลึง และจะปล่อยพวกเจ้าไป!”