Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 482

ตอนที่ 482 ไปส่งสักครา รู้ความโดยคร่าว

จากเมืองหลวงไปซานซี ออกจากเมืองหลวงมุ่งไปทางตะวันตกเฉียงใต้ ผ่านหมู่บ้านเหลียงเซียงและภูเขาฝังซานเข้าสู่เมืองเป่าติ้ง ไปทางอำเภอไหลสุ่ยก่อนจะไปทางตะวันตกผ่านเมืองอี้โจว เข้าซานซีทางด่านจื่อจิง

เมืองซุ่นเทียนกับเมืองเป่าติ้งเป็นสองพื้นที่ที่ร่ำรวยที่สุดในเขตปกครองเหนือ เส้นทางไปมามีคนมากมาย เดินทางสะดวกมาก

ตั้งแต่ไทเฮาฉือเซิ่งทรงตรัสเช่นนั้น การเคลื่อนไหวทั้งที่ลับและที่แจ้งที่ไม่ประสงค์ดีต่อหวังทงก็หยุดลงหมด ฮ่องเต้ปกป้องหวังทงยังมีโอกาสลงมือ หากแม้แต่ไทเฮายังทรงมีท่าทีเช่นนี้ ผู้ใดคิดจะกล้ารนหาที่ตายกันอีกเล่า

อวี๋ซวงสือ คุณชายรองหย่งเซิ่งป๋อนำเงินก้อนใหญ่มาเมืองหลวงเตรียมเคลื่อนไหว มาถึงตอนนี้ แม้แต่เงินทองก็ส่งไปไหนไม่ได้ การลอบสังหารล้มเหลว ร้านหย่งเซิ่งถูกปิด ข่าวต่างๆ ที่กระหน่ำมาทำให้อวี๋ซวงสือรู้สึกการจะอยู่เมืองหลวงต่อนั้นก็ไร้ความหมาย ได้แต่เดินทางกลับซานซี

สำหรับอวี๋ซวงสือแล้ว งานที่วางแผนไม่สำเร็จก็หดหู่ไม่น้อย ตอนออกจากเมืองหลวง ต้องจากเมืองสำราญเสพสุขเช่นนี้ไป ช่างอาลัยอาวรณ์เสียจริง คนงานที่มาเมืองหลวงพร้อมกับเขาก็เร่งอยู่หลายครั้ง จึงได้ออกเดินทางอย่างไม่ใคร่เต็มใจนัก

อวี๋ซวงสือถูกใจหญิงสาวสองนางจากหอฉินก่วน คิดจะซื้อกลับไป หากหอฉินก่วนอย่างไรก็ไม่ยอม ทำเอาเขารู้สึกโมโหอัดอั้นอย่างมาก แต่เบื้องหลังหอฉินก่วนนั้นไม่ธรรมดา เขาไม่คิดจะปะทะโดยไร้เหตุผลอันสมควร ได้แต่ปล่อยทิ้งไป

หากเป็นไฉฝูหลินแห่งตระกูลหลินที่รู้จักธรรมเนียม ส่งหญิงสาวจากหยางโจวทางใต้มาให้แทน อย่างไรก็พอทำให้อวี๋ซวงสืออารมณ์ดีขึ้นบ้าง

เมืองหลวงรุ่งเรืองอย่างมาก หากเฝินโจวก็ใช่ธรรมดา แต่เส้นทางจากเมืองหลวงไปซานซีก็ช่างน่าเบื่ออย่างที่สุด ทุกวันอวี๋ซวงสือเอาแต่ขลุกอยู่ในรถ

จากเมืองอี้โจวไปถึงด่านจื่อจิงก็ต้องใช้เวลาเดินทางสองวันครึ่ง ระหว่างทางก็ต้องหาที่พักแรม ระหว่างสองมณฑลนี้ ล้วนมีที่พักรถพักม้าที่ทางการจัดสร้างไว้ สะดวกยิ่ง

หากอวี๋ซวงสือที่สุขสำราญมาเป็นปกติ ที่พักแบบนี้เขาย่อมไม่เข้าตา แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่น ได้แต่ก้มหน้าก้มตาพักไป

คนงานเหมาที่พักทั้งหมดไว้ และยังไปหาซื้อของในละแวกใกล้ เปลี่ยนของภายนอกที่มองเห็นได้ทั้งหมด จึงพอให้อวี๋ซวงสือเข้าพักได้

แม้เป็นเช่นนี้ หากอวี๋ซวงสือก็ยังตินั่นตินี่ไม่หยุด ทุกคนได้แต่ทำเป็นไม่ได้ยิน ทุกคนรู้ว่าคุณชายรองเอาใจยาก กลับถึงเฝินโจวทางนั้นก็ดีเอง

ระหว่างทางไม่มีเรื่องอันใด ทุกวันอวี๋ซวงสือขลุกอยู่กับหญิงสาวที่ตระกูลหลินกำนัลมา หญิงสาวจากหยางโจวงดงามแต่เล็ก และยังมีผู้เชี่ยวชาญด้านนี้สอนการปรนนิบัติผู้ชายให้โดยเฉพาะ ช่างมีรสชาติไม่รู้เบื่อ คืนนี้ใช้เวลามากหน่อย ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะตื่นสายสักหน่อย

ขบวนร้อยกว่าคนไม่อาจเดินทางกลางคืน ดังนั้นจึงทำให้ยิ่งช้าลงเรื่อยๆ หากอย่างไรก็มีเงินทอง ทุกคนไม่รีบ เดินไปอย่างสบายอารมณ์เพลิดเพลิน จะไปกลัวอันใด

ห่างจากด่านจื่อจิงก็อีกวันหนึ่ง แต่อวี๋ซวงสือกว่าจะตื่นก็เที่ยง ขอบตาดำคล้ำ สีหน้าเหน็ดเหนื่อยเต็มที คนงานนำอาหารไปส่งถึงห้องพักอวี๋ซวงสือ กลับมาก็สอบถามพ่อบ้านว่าจะออกเดินทางได้เมื่อใด

“ยังจะเดินทางบ้าบออันใดอีก ไปถึงหน้าด่านเที่ยงคืน ประตูด่านก็ปิดแล้ว วันนี้ไม่เดินทางแล้ว ทุกคนพักผ่อน รอให้ตอนบ่ายข้าไปเตือนคุณชายรองก่อน หากยังทรมานร่างกายตนเช่นนี้ เกรงว่าปลายปีก็คงกลับไม่ถึงซานซี”

“……คุณชายรองทำงานไม่สำเร็จ เกรงว่ากลับไปคงถูกนายท่านด่ากระมัง……”

“จะไปสนใจอะไร สั่งสอนยังไงก็ไม่มาถึงหัวพวกเรา คุณชายรองเอาแต่เที่ยวจนฟ้ามืด และก็ไม่ได้พาพวกเราออกไปเปิดหูเปิดตาด้วยเสียหน่อย……”

เมืองอี้โจวกับด่านจื่อจิงเป็นชานเมืองซานซีแล้ว เส้นทางคมนาคมก็ย่อมมีพ่อค้าไปมา ที่พักอวี๋ซวงสือก็มีพ่อค้าจากเขตปกครองเหนือสองคนเข้าพัก

ตอนเข้าพักแล้วก็ว่ากันว่าดื่มน้ำดิบเข้าไปจนท้องเสีย ดีที่ไม่เป็นอะไรมาก เดินทางไม่ได้กะทันหัน ได้แต่พักต่ออีกสองสามวัน คิดถึงว่าอวี๋ซวงสือกินดื่มสุราเคล้านารีทุกวัน แต่สองคนนี้ได้แต่ดื่มน้ำเปล่ากินโจ๊กเปล่าอยู่แต่ในห้อง ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย

***********

“พระจันทร์ยังกลมเช่นนี้ ไม่รู้ว่าอีกกี่วันจึงจะผ่านวันไหว้พระจันทร์?”

ในสถานที่ซึ่งห่างจากโรงเตี๊ยมพักไม่ไกลนัก กองกำลังพลม้ากำลังนั่งซุ่มรอในความมืด ทุกคนลงจากหลังม้า หลายคนกำลังนั่งอาหารบิเป็นชิ้นเล็กใส่ในฝ่ามือป้อนม้า

หวังทงมองฟ้ากล่าวขึ้น ลูกน้องไม่มีผู้ใดรับคำ หากพากันมองไปยังทิศทางของโรงเตี๊ยมอย่างเคร่งเครียด

“มีคนมา ระวังตัว!”

รออยู่ครู่หนึ่ง ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งมาจากที่ไกลๆ มุ่งมาทางนี้ ม้าวิ่งมาไม่เร็วนัก พอใกล้จะถึงขบวนที่รออยู่ก็หยุดม้า จากนั้นก็ส่งเสียงผิวปากสามเสียง

พอได้ยินเสียงผิวปาก หวังทงก็ผิวปากกลับไปสองเสียง ม้านั้นจึงได้ขี่มาทางนี้ พอมาถึงเบื้องหน้าก็ยังไม่ลงจากหลังม้า หากรายงานต่อว่า

“ยังอยู่ที่โรงเตี๊ยม ที่โรงเตี๊ยมมีเรือนพักเดี่ยวแห่งเดียว อวี๋ซวงสืออยู่ที่นั่น มีคนอารักขาราวสิบกว่าคน แต่ยามนี้นอนอยู่”

************

อวี๋ซวงสือกับหญิงสาวที่ตระกูลหลินมอบให้ตรากตรำกันมารอบหนึ่ง ยามนี้กำลังหลับใหลหมดแรง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่านอนหลับไปนานเท่าไร ก็มีคนเรียนให้ตื่น

“ให้ข้านอน……ใครบังอาจตบ……”

ไหนเลยเรียกว่าเรียกให้ตื่น เห็นชัดว่าตบบ้องหู ใบหน้าปวดแสบไปหมด อวี๋ซวงสือเบิกตากว้างตาเสียงดัง พอลืมตาก็เห็นคนปิดหน้าปิดตาอยู่เบื้องหน้า ยังมีชายวัยกลางคนที่สีหน้าเสียไม่ได้อีกสองคน

หญิงสาวข้างกายเอียงหน้าหลับตาพริ้ม ก็ไม่รู้ว่าเป็นลมหรือว่าตายไปแล้ว อวี๋ซวงสือตาเบิกโพลง กำลังคิดจะด่าทอ ก็ถูกชายวัยกลางคนผู้หนึ่งบีบแก้มด้วยมือราวกับเหล็กกล้า ย่อมไม่อาจร้องตะโกนอันใดออกมาได้

ชายวัยกลางคนผู้นั้นแม้สีหน้าเสียไม่ได้ แต่ก็ลงมือฉับไว บีบปากเอาไว้ มือยังคว้าเส้นหนังออกมามัดปากไว้ ก่อนจะดึงสายรัดไปด้านหลังอย่างแรง

ปากถูกมัดแน่น เจ็บไม่ว่าแต่ไม่อาจพูดได้ น้ำลายก็ไหลออกมาแทบจะทำนทนไม่ไหว เห็นด้านนอกเงียบกริบ ในห้องจุดไฟสว่างด้วยโคมไฟดวงหนึ่ง คนทั้งสามมองเขาอย่างเอาเรื่อง อวี๋ซวงสือรู้สึกหนาววาบไปทั้งตัว คิดจะขยับ ก็พบว่าแขนและขาถูกมัดไว้แน่นหนาเช่นกัน

“คุณชายอวี๋ ลอบสังหารหวังทงเป็นตระกูลอวี๋พวกท่านใช่หรือไม่?”

ดึกดื่นเที่ยงคืนมาจับตัวไม่ว่า คิดไม่ถึงว่าจะถามคำถามเช่นนี้ออกมา อวี๋ซวงสือในยามคับขันก็ย่อมปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำ ได้แต่เบิกตาโพลงมองด้วยความหวาดกลัวอย่างที่สุด ชายปิดหน้าพยักหน้าเอ่ยว่า

“ดูท่าไม่ได้การ คุณชายรอง ถามท่าน ท่านรู้อันใดก็กล่าวมาให้หมด อย่าให้ต้องลงทัณฑ์ให้เจ็บตัว เข้าใจไหม?”

ชายปิดหน้ากล่าวด้วยสำเนียงจีนมาตรฐาน อวี๋ซวงสือยังตั้งสติไม่ทัน มือขวาพลันรู้สึกเจ็บแปลบ คิดจะดิ้นรนก็ถูกคนกดเอาไว้แน่น

ชายปิดหน้ายกนิ้วก้อยชุ่มโลหิตขึ้นมากล่าวน้ำเสียงเย็นชาว่า

“บอกไว้ก่อนว่า หากมีวาจาใดที่ข้าคิดว่าไม่ถูกต้อง ก็จะเด็ดชิ้นส่วนร่างกายท่านทีละชิ้นๆ เข้าใจแล้วใช่ไหม?”

อวี๋ซวงสือเห็นนิ้วก้อยที่ถูกตัด ความเจ็บปวดผสมกับความหวาดกลัว อยากจะเป็นลมก็ไม่ได้ ได้แต่พยายามพยักหน้าอย่างหมดเรี่ยวหมดแรงอยู่ตรงนั้น

หวังทงหันไปส่งสายตาให้ชายสองคนข้างๆ ยกมีดสั้นจ่อคออวี๋ซวงสือ ยิ้มกล่าวว่า

“พวกเจ้าสองคนออกไปก่อน วาจาคุณชายอวี๋ บางทีพวกเจ้าไม่สะดวกรับฟัง คุณชายอวี๋ หากแกะหนังที่รัดปากออกแล้วท่านตะโกนเสียงดังล่ะก็ มีดสั้นนี้ก็จะแทงทะลุทันที อย่าได้ทำเรื่องโง่ๆ ท่านยังมีโอกาสรอด”

ชายสองคนสบตากันก่อนจะเดินออกไปปิดประตูลง

*************

หย่งเซิ่งป๋อนามอวี๋หยวนกังเคยเปิดกิจการสองอย่างในเมืองหลวง ล้วนตั้งในตำแหน่งที่ดี แต่ถูกชนชั้นสูงผู้หนึ่งแย่งเอาไป พออวี๋หยวนกังได้รับแต่งตั้งบรรดาศักดิ์เป็นป๋อ เป็นตำแหน่งไม่เบา แต่ก็ยังไม่กล้าเอาเรื่องชนชั้นสูงผู้นั้น

ขุนนางใหญ่น้อยในเมืองหลวงก็ไม่มีผู้ใดอยากจะสนใจอวี๋หยวนกัง ทุกคนหันไปเข้าข้างอีกฝ่าย อวี๋หยวนกังเดิมเป็นขุนพลอยู่ที่ชายแดนซานซี ที่นั่นขุนนางบุ๋นบู๊ต่างไม่กล้าล่วงเกินเขา คิดไม่ถึงว่าจะมาโดนเอาเปรียบที่เมืองหลวงได้

คนที่เอาเปรียบเขาก็ไม่ใช่ผู้ใด หากเป็นอู่ชิงโหว หลี่เหว่ย บิดาแท้ๆ ของไทเฮาฉือเซิ่ง

หากเป็นผู้อื่นก็ย่อมยอมทนกล้ำกลืนไว้ แต่เป็นหย่งเซิ่งป๋อที่เป็นขุนพล ไม่อาจทนไหว หลานสาวแต่งไป ก็ย่อมถูกรังแก ตำแหน่งบรรดาศักดิ์ที่ได้มาก็มีแค่ชื่อ ไม่เป็นก็ได้

แต่หากอ๋องลู่เป็นโอรสสวรรค์ หลานสาวย่อมเป็นฮองเฮา ตนใช่ว่าจะได้เป็นตำแหน่งเดียวกับอู่ชิงโหวหรอกหรือ

ความคิดบางอย่างเหมือนเมล็ดพันธุ์ พอเผยออกไปก็ย่อมแตกหน่อ ความคิดหลากหลายก็ด้วยเหตุนี้ คิดถึงประโยชน์นั่นนี่แล้ว จะเก็บคืนอย่างไรก็ไม่อาจทำได้แล้ว

หากเป็นแค่ความคิดเหลวไหลก็ย่อมไม่มีเรื่องมากมายเช่นนี้ ประจวบเหมาะกับในห้วงเวลาเดียวกัน มีคนมาหาถึงที่ บอกว่าอยากช่วยเหลือตระกูลอวี๋

คนที่มาหาก็คือตระกูลหลิน เดิมตระกูลอวี๋ยังคิดว่าเป็นพวกต้มตุ๋น คิดไม่ถึงว่าพอค่อยๆ สัมผัสก็พบว่าอีกฝ่ายมีความสามารถเทียมฟ้า เรื่องหนึ่งในนั้นก็คือตระกูลอวี๋เปิดร้านทำการค้าที่เทียนจิน ยังมีการค้าทางทะเล ประเด็นนี้ทำให้ตระกูลอวี๋ทำเงินได้ไม่น้อย

ตระกูลหลินเห็นคุณค่าตระกูลอวี๋ เพราะอย่างไรก็เป็นตระกูลแม่ทัพชายแดน มีผู้มีมีฝีมือในตระกูลมาก และยังมีคนถูกตระกูลหลินขอตัวไปเป็นครูฝึกยุทธ์อีกด้วย

หวังทงนำกองกำลังหู่เวยไปออกทุ่งหญ้าครั้งนั้น พ่อบ้านตระกูลหลินนำคนไปเฝินโจวด้วยตัวเอง ขอให้ตระกูลหลินใช้สายสัมพันธ์บนทุ่งหญ้า ใช้เงินทองมากมายซื้อน่าจี๋เท่อแห่งเผ่าอันต๋าให้นำทหารออกมา เตรียมจะสังหารพวกหวังทงให้สิ้นบนทุ่งหญ้า คิดไม่ถึงว่าจะไม่สำเร็จ

เดิมเคยนำดินผงฟูกลับจากทุ่งหญ้ามาขาย มาเติมนี่นั้นให้เป็นผงฟูพร้อมขายให้คนในแผ่นดินหมิงนั้นก็เป็นการค้าหลักของตระกูลอวี๋ ทุกปีสร้างรายได้มหาศาล แต่หวังทงกับพวกเมืองเซวียนฝู่ร่วมมือกันทำการค้านี้ เพราะว่าการคมนาคมสะดวก การค้าตระกูลอวี๋ย่อมได้รับผลกระทบ กระทบต่อเงินทองก้อนมหาศาลเช่นนี้ จึงต้องส่งมือสังหารมา

**************

อวี๋ซวงสือเล่าออกมาหมดด้วยความหวาดกลัว ชายปิดหน้าเบื้องหน้าเขาดึงผ้าปิดหน้าออก กระแอมไอสองเสียง ตะโกนเรียกเสียงดัง ชายสองคนด้านนอกก็เดินเข้ามา

ชายที่ดึงผ้าปิดหน้าออกนั้นให้ชายสองคนมัดปากอวี๋ซวงสือไว้ตามเดิม ยิ้มกล่าวว่า

“คุณชายรอง ข้าก็คือหวังทง”

หวังทงกล่าวจบ ไม่สนใจว่าอวี๋ซวงสือจะเริ่มดิ้นรนต่อ หากบอกกับชายอีกสองคนว่า

“ถานปิง ถานเจี้ยน พวกเจ้าสังหารเจ้าเศษสวะนี้ซะ!!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!