Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 494

ตอนที่ 494 ชีจี้กวงเยือนชมกองกำลังหู่เวย

ระบบทหารในสมัยหมิง นายกองร้อยคุมกำลังร้อยนาย นายกองพันคุมกำลังพันนาย ผู้ที่ได้ตำแหน่งนายกองร้อย นำกำลังออกรบก็จะขี่ม้า ข้างๆ ก็จะมีผู้ติดตาม

นายกองพันไม่ต้องพูดถึง ตอนออกรบจะมีทหารหลายสิบนายคอยอารักขา และก็สวมเกราะบนหลังม้าเช่นกัน ได้ชื่อสวยงามว่า กองทหารชั้นเอก ในช่วงเวลาสำคัญก็จะบุกแนวหน้า แต่ความจริงก็คือมักจะหนีก่อนเมื่อเจอศัตรู พอหัวหน้าหนี ทหารอื่นๆ ไหนเลยจะอยากสู้รบต่อ

ทุกครั้งในสนามรบ ขุนพลใหญ่ก็จะให้ทหารคนสนิทตนเป็นหน่วยตรวจสอบ ตัดหัวทหารที่หนีทัพ จึงพอจะหยุดยั้งได้บ้าง

ทว่ากองกำลังหู่เวยสองหน่วยนี้ต่างออกไป หนึ่งพันกว่านายเป็นกองกำลังใหญ่ หัวหน้าหน่วยและพลธง พลกลอง พลสั่งการล้วนยืนเรียงอยู่ด้านหน้ำทางขวา เป็นทหารเดินเท้า

และหัวหน้าหน่วยจะยืนอยู่คนแรกของแถวด้านขวา เพื่อคาดกำลังศัตรู ออกคำสั่ง พลธง พลกลองและพลสั่งการก็จะรับคำสั่งต่อจากเขาอีกที ทหารเรียงเป็นแถวถัดไปก็จะเคลื่อนไหวไปตามธง เสียงกลองและเสียงสั่งการ

แต่ละแถวหัวท้ายมีหัวหน้าคุม พวกเขารับหน้าที่จัดการระเบียบแถว รักษาระยะห่างของแถว และเปลี่ยนรูปแถวไปตามการตั้งรับศัตรู จัดการออกคำสั่งในรายละเอียดย่อย

แม้ว่าพลปืนไฟจะแยกออกไปฝึกอีกทาง แต่ทางนี้ก็ยังจัดให้มีคนมาฝึกแทนในแถวเพื่อให้สมจริง พวกเขาจะทำเสมือนเป็นพลปืนในกอง และทำเป็นยิงตามคำสั่งของหัวหน้า

การฝึกเช่นนี้ จำเป็นต้องรักษาระเบียบแถวให้เคร่งครัด การรุกถอยต้องมีระเบียบ ไม่อาจทำตามอำเภอใจ เป็นการรักษาระดับความเร็วในการเคลื่อนกำลังให้เสมอกัน ไม่ให้เร็วไป

หัวหน้าก็เป็นพลทหารเดินเท้า พูดจากใจจริง พวกเขาเองก็ไม่ได้มีโอกาสได้หนีก่อน ได้แต่ออกคำสั่งเป็นลำดับในการทำศึกสงครามต่อๆ กันไป

ด้านหลังพลปืนมีพลทวนเรียงแถว ไม่ต้องกังวลหลัง ให้วางใจยิงกันไป ทหารด้านหลังยังมีหน้าที่ตรวจสอบขบวนทัพ หากว่าพลปืนยิงไม่ดี ก็จะลงโทษตามคำสั่งหัวหน้าด้านหลังอีกที

ในสนามรบ พลปืนก่อนจะรบก็เหมือนท่อนไม้ เสียเปรียบยิ่ง ตอนยิงต้องยืนแถวหน้า ใกล้ศัตรูที่สุด ตอนหนีก็หนีได้ท้ายสุด พลปืนไฟนี้จะสงบจิตใจได้อย่างไร ด้านหลังมีพลทวนยาวเรียงแถวก็เหมือนกำแพงป้อมมนุษย์ พลปืนได้แต่ยืนพิงกำแพงนี้รบ อาศัยพลทวนยาวด้านหลังเป็นกำบัง

พอเสียงตะโกนดัง เสียงกลองก็ดังตาม เห็นได้ว่าพลทวนยาวที่กำลังบุกเดินหน้าหยุดลง ทวนยาวที่ยกแนวตั้งอยู่ก็ค่อยๆ ยกเอนราบเป็นชั้นๆ

แถวรอน 60 นาย ราว 20 แถวทวนยาววางเอนราบพร้อมกัน แม้ว่าฝุ่นในสนามฝึกจะตลบไปหมด แต่ความวาบวาบของคมทวนก็ยังสะท้อนแสงลานตา ยังคงทำให้คนที่ได้เห็นต้องรู้สึกถึงกลิ่นอายสังหาร

แถวแรกห้าแถวเกือบจะยกทวนแทงไปถึงแถวนที่หนึ่งด้านหน้า ลองคิดภาพดู หากบนสนามรบ ศัตรูสังหารมาถึงด้านหน้า ต้องพบกันอาวุธเรียงหน้ากระดานแน่นราวป่า ก็ย่อมไม่อาจมีช่องทางบุกได้

“สังหาร!!”

หัวหน้าหน่วยหลี่หู่โถวที่ด้านขวาคนแรกของแถวที่หนึ่งตะโกนดัง ทวนมือของเขาแทงชี้แนวราบไปด้านหน้า เสียงกลองเป็นจังหวะเว้นจังหวะดังขึ้น ทหารทั้งขบวนก็เดินย่ำเท้าบุกขึ้นหน้า

“บุกเข้าไป!!”

หลี่หู่โถวตะโกนดัง ยกทวนในมือขึ้นสูง ตะโกนคำสั่งออกไป เสียงกลองก็กลับคืนสู่จังหวะแบบเดิน ทหารแต่ละแถวก็ยกทวนยาวขึ้น เดินหน้าต่อไป

***********

“ชุลมุนวุ่นวายอยู่บ้าง แต่รูปขบวนไม่กระจาย ไม่ง่ายเลยที่จะเดินไปสิบกว่าก้าวก็กลับเข้าแถวเรียบร้อยด้วยเสียงกลอง ไม่เลวเลยจริงๆ !”

ได้เห็นการฝึกจากทางนี้ ขุนพลสูงวัยบนหลังม้าก็เอ่ยวิจารณ์ต่อน้ำเสียงราบเรียบ ทหารรายรอบอีกสิบกว่านายได้ยินคำชื่นชมเช่นนี้ มีคนหนึ่งบนหลังม้ากล่าวขึ้นว่า

“ก็แค่ของตัวอย่าง ไม่ได้เห็นการสังหารบนสนามรบจริง ก็แค่การซ้อมสวยงาม ทหารพวกนี้บนสนามรบ ศัตรูยังไม่ทันมาถึงหน้าก็หนีกระจายหมดแล้ว ใต้หล้านี้มีเพียงกองกำลังจี้โจวเราเท่านั้นที่ยังคงนิ่งรับอยู่ได้”

“อย่าได้ดูแคลนผู้อื่น กองกำลังหู่เวยตอนไปเมืองเซวียนฝู่ปะทะพวกมองโกล ไม่ใช่ว่ารบกันไม่หนีหรอกหรือ ไม่เช่นนั้นพวกมองโกลล้วนเป็นพลม้า ย่อมบุกเข้ากวาดเรียบไปแล้ว ยังจะกลับมาได้อีกหรือ”

ขุนพลสูงวัยจับตาดูการฝึกซ้อมไม่วางตาพลางกล่าวขึ้นเรียบๆ หลักการบุ๋นบู๊ล้วนชมชอบชิงชัย นายทหารพวกนั้นอย่างไรก็ไม่รู้สึกยอมรับได้ การบุกและถอยของกองกำลังบนสนามมีหลักการ ออกคำสั่งได้หนักแน่น เห็นๆ อยู่เบื้องหน้า ไม่อาจหาคำใดมาแย้งได้ในตอนนี้

หัวหน้าหน่วย รองหัวหน้าหน่วย หัวหน้าค่าย หัวหน้ากองร้อย ตำแหน่งเหล่านี้ล้วนสวมเกราะกองกำลังหู่เวย สวมหมวกเกราะอีกด้วย ทั้งตัวปิดบังแน่นหนา ฝุ่นบนสนามไม่อาจปิดบังความวาบวับของชุดเกราะพวกเขาเช่นกัน

“กองกำลังแสนกว่าของจี้โจวเรา เกราะแบบนี้มีเท่าไรกัน แต่กองกำลังหู่เวยแค่ไม่กี่พันนาย ถึงกับมีมากมายเช่นนี้ได้ เห็นทหารแต่ละคนถืออาวุธพวกนั้น เห็นชุดที่พวกเขาสวมกัน เพราะเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ ไม่เช่นนั้นไหนเลยจะมีเงินทองจัดการเรื่องเช่นนี้ได้……”

มองอยู่อีกครู่หนึ่ง ทหารอีกนายหนึ่งก็กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ ครั้งนี้ขุนพลสูงวัยไม่ได้กล่าวอันใด ทหารอีกคนหนึ่งที่อ่อนวับกว่าหัวเราะกล่าวว่า

“พี่จาง นี่ไม่ใช่เงินทองจากในวัง เป็นเพราะเทียนจินรุ่งเรือง หวังทงอาศัยเทียนจินนี่ทำเงินไม่น้อย เอาออกมาฝึกทหาร ย่อมพอเพียง”

“เรื่องนี้ข้าเองก็เคยได้ยินมา ทหารของหวังทงมีเงินเบี้ยกินกันพอเพียง และไม่มีการหักเบี้ยด้วย แม้ฝึกกันยากลำบาก แต่ก็กินกันอิ่ม อยู่กันดี สร้างผลงานใดก็ได้รับผลแห่งงานนั้นจริง พวกเราหากทำได้เช่นนี้ก็คงสามารถฝึกออกมาได้เช่นนี้เช่นกัน”

“พูดง่าย เบี้ยหวัดที่กรมทหารให้มา พวกกองตรวจการและขันทีตรวจสอบก็ต้องกินไปก่อนคำหนึ่ง แม่ทัพยังต้องมอบให้ในวังเป็นการแสดงความกตัญญู เบี้ยหวัดบรรดาขุนพลก็ไม่อาจลด มาถึงมือผู้น้อยเท่าไรกัน……ทว่า ทหารพี่น้องเราก็ดีอยู่ ไม่ด้อยไปกว่าทหารร่ำรวยพวกนี้หรอก……”

“ไม่ต้องพูดแล้ว กองกำลังใต้หล้า ที่ใดไม่ใช่แบบนี้บ้าง”

ขุนพลสูงวัยผู้นั้นแค่นเสียงเย็น บรรดาคนที่เหลือก็รีบเงียบกริบ ขุนพลสูงวัยยกแส้ม้าชี้ไปที่การฝึกกองกำลังหู่เวย กล่าวว่า

“พวกเจ้าดูการตั้งค่ายนี้แล้วเป็นอย่างไร?”

“……พวกทหารรวมตัวกันแน่น ศัตรูหากโจมตีไม่อาจจัดการได้ในเวลาอันรวดเร็ว……”

“……ทหารกล้า เกราะดี แต่เดินช้าไป บนสนามรบ บุกไม่ไหว……”

ทุกคนพูดกันคนละคำสองคำ พวกเขาไม่แน่ว่าจะดูเข้าใจ แต่ต่อหน้าเจ้านาย อย่างไรก็ต้องแสดงแบบไม่มากนัก เหลือที่ให้หัวหน้าได้กล่าวอันใดบ้าง ขุนพลสูงวันผู้นั้นกล่าวว่า

“ที่พวกเจ้าว่ามาก็แค่บอกว่าใช้การได้ แต่ไม่ได้บอกถึงข้อดีข้อเสีย ความสำคัญของการตั้งขบวนเช่นนี้อยู่ที่อาวุธปืน พวกเจ้าดู ขบวนแน่นหนาเช่นนี้ หากมีธนูยิงเข้าใส่ จะยิงไม่โดนหรือ แม้ว่าจะกำราบได้ผลเพียงได้ แต่ล้มตายมากเข้า ขบวนก็ย่อมไม่อาจรักษารูปต่อได้ ดังนั้นต้องใช้ปืนไฟยิงศัตรูระยะมือธนูยิงก่อน ใช้ปืนไฟอารักขากองกำลังไว้ ไม่อาจให้อีกฝ่ายขี่ม้าเข้ายิงธนูใส่ได้”

ได้ยินขุนพลสูงวัยกล่าวเช่นนี้ ทุกคนก็มองไปอย่างละเอียดอีกที พลางพยักหน้าพร้อมกัน ขุนพลสูงวัยกล่าวต่ออีกว่า

“พลปืนไฟของกองกำลังหู่เวยถูกแยกฝึกเดี่ยว ดูท่าแล้วหวังทงรู้เรื่องนี้เช่นกัน ดังนั้นจึงตั้งใจฝึกอย่างดี ทว่าแค่ปืนไฟนั้นยังไม่พอ เกรงว่ายังต้องมีปืนใหญ่อีก”

ขณะที่พูดอยู่นั้น พลม้าจากที่ไกลๆ ที่เร่งตะบึงมา พริบตาก็มาถึงด้านหน้า คนหนึ่งปรี่ลงจากหลังม้ามา วิ่งเข้ามาคุกเข่ารายงานว่า

“ข้าน้อยซุนจื้อปินคำนับท่านแม่ทัพ ไม่ทราบว่าท่านแม่ทัพจะมาเทียนจิน มาต้อนรับช้า ขอท่านโปรดอภัย!”

ผู้ที่ขุนพลซุนจื้อปินกองกำลังคุ้มครองเทียนจินเรียกว่าท่านแม่ทัพได้ ย่อมมีแต่ชีจี้กวง ผู้บัญชาการกองทัพจี้โจวผู้เดียวเท่านั้น ขุนพลสูงวัยผู้นี้น่าจะเป็นชีจี้กวง ยิ้มพยักหน้าบนหลังม้ากล่าวว่า

“อย่าได้พิธีรีตอง อ่านจดหมายเจ้าแล้ว ข้าจึงได้มา เห็นอะไรไม่น้อย จี้โจวเราสามารถเรียนรู้ได้ เรื่องนี้เจ้ามีความชอบ ไม่ต้องคุกเข่าแล้ว ขึ้นม้ามาคุยกัน!”

ซุนจื้อปินคำนับอย่างนอบน้อมเสร็จก็โดดขึ้นม้า ถอยอยู่หลังม้าชีจี้กวง เดินตามออกไปได้ระยะหนึ่ง ก็เห็นสีหน้าครุ่นคิดของชีจี้กวง จึงเข้าไปกล่าวอย่างระมัดระวังว่า

“ท่านแม่ทัพ หวังทงฝึกพลปืนไฟห่างจากที่นี่ราวสามลี้ อยู่ใกล้กลับบ่อเกลือเก่าที่ริมทะเล ตามปกติเวลานี้น่าจะอยู่ที่นั่นฝึกซ้อมทหาร จะไปดูไหมขอรับ?”

ผ่านไปครู่หนึ่ง ชีจี้กวงก็ส่วยหน้าน้อย กล่าวต่อว่า

“ไม่จำเป็น ได้เห็นทหารพวกนี้ก็รู้แล้วว่าจดหมายเจ้าว่ามานั้นเป็นจริงดังว่า มิน่าอวี๋จื้อฝู่จึงชมเขา วันหน้า วันหน้า……”

กล่าวทิ้งไว้สองคำก็ไม่กล่าวต่อ ซุนจื้อปินข้างๆ ก็เดาไม่ถูกว่าหมายถึงเรื่องใด ได้แต่ยิ้มกล่าวว่า

“ในมือหวังทงมีเงิน ใช้จ่ายราวกับสายน้ำลงไป ยังได้รับการฝึกสอยจากใต้เท้าอวี๋อีก ย่อมฝึกทหารกล้าออกมาได้ ท่านแม่ทัพคงทราบว่า หวังทงฝึกพลปืนไฟ ทุกวันดินปืนใช้จ่ายเงินทองไปไม่น้อย ว่ากันว่าปืนไฟยิงพังไปหลายกระบอก ทหารปกติเราจะสิ้นเปลืองเช่นนี้ได้อย่างไร”

อวี๋ต้าโหยวมีนามรองว่า จื้อฝู่ ชีจี้กวงสนิทกับอวี๋ต้าโหยว ดังนั้นจึงเรียกขานเช่นนี้ ซุนจื้อปินกล่าวออกมาเช่นนี้เสร็จมองไปเห็นชีจี้กวงยังคงครุ่นคิดเงียบ ซุนจื้อปินก็สังกัดกองทัพจี้โจว ย่อมรู้ว่าชีจี้กวงกังวลเรื่องใด อดไม่ได้เร่งม้าตามเข้าไปรายงานเบาๆ ว่า

“ท่านแม่ทัพ สถานการณ์ที่แม่น้ำฮาลารุนแรงหรือไม่?”

“เผ่าอันต๋ร่วมหมื่นครัวเรือนรวมกับพวกเผ่าเคอเอ่อชิ่น ก็ไม่เท่าไร แต่พวกเผ่าอื่นไม่รวมอยู่ด้วย สัญญาสงบศึกไม่รวมคนเหล่านี้ พอดีแล้วเอามาฝึกทหาร……พวกด่านพวกนี้ตายไปสักหน่อยก็ย่อมดี เป็นโอกาสอันดี”

ชีจี้กวงกล่าวถึงตรงนี้ก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา ซุนจื้อปินลังเลครู่หนึ่งก่อนจะเขยิบเข้ามาใกล้กระซิบเบาลงอีกว่า

“ท่านแม่ทัพ หวังทงเป็นคนโปรดฮ่องเต้ ทรงปกป้องอย่างมาก หลายปีนี้ก็ล้มล้างขุนนางไปไม่น้อย ไยต้องลำบากมายุ่งเกี่ยวเรื่องนี้……”

“เรื่องเล็กน้อย อย่างไรก็เป็นทหารหมิงเรา หรือว่าไม่ควรออกแรงเพื่อแผ่นดินหมิงเรากัน?”

************

“ใต้เท้าหวัง วันนี้หน่วย 1 และหน่วย 2 ฝึกอยู่มีคนนอกมาชมการฝึก หัวหน้าหน่วยถานส่งคนไปไล่ พบว่าเป็นใต้เท้าชีจี้กวง ผู้บัญชาการแห่งกองกำลังจี้โจวมาดูอยู่”

เรื่องราวที่นั่นตกลางคืนหวังทงก็รู้ แต่ก็รู้สึกไม่เข้าใจ เพราะไม่รู้ที่มาที่ไป ต่งช่วงสี่ที่ซานตงมีจดหมายมา คิดว่าธนูดอกนั้นคงปักเข้ากลางบ้านเขาไปแล้ว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!