Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 499

ตอนที่ 499 ไปครานี้มีภัย หากเป็นหน้าที่ทหาร

เงินก้อนโตทิ้งไว้ทำกำไรที่เทียนจิน ในใจก็ย่อมเป็นกังวล ได้ยินหวังทงว่าจะลงอีกล้าน ก็วางใจไม่น้อย

แม้ว่า หวังทงจะลงทุนเงินที่เทียนจินนี้เมื่อไรก็ได้ แต่ไม่ว่าอย่างไร เช่นนี้ก็เหมือนเป็นการรับประกัน ทุกคนร่วมทุนกัน เขายังลงมากกว่าเราทางนี้ คิดแล้วเขาก็น่าจะไม่ยอมให้ขาดทุน คนมักจะคิดกันเช่นนี้

แต่หวังทงให้ความสำคัญที่สุดก็คือ ‘หากพี่หวังมีอันใดในเมืองหลวงให้ช่วยเหลือ ก็เอ่ยมามาได้’ วาจานี้มากกว่า ลงเงินมากมายไว้ที่ตนเอง ยังรับปากด้วยความเกรงใจเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าในเมืองหลวงนั้น หรืออย่างน้อยก็พวกที่ลงเงินก้อนนี้ด้วยกันล้วนยืนอยู่ข้างตนแล้ว

ตั้งแต่หวังทงเข้าสู่วงการขุนนางมา เรื่องที่ไร้หนทางที่สุดก็คือตัวคนเดียวไร้พรรคพวก แม้ว่าเขาจะมีโอรสสวรรค์เป็นที่พึ่ง แต่โอรสสวรรค์เองกลับต้องการให้เขาช่วยมากกว่า ที่พอจะช่วยเหลือกันได้ระหว่างกันก็น้อยมาก

ในราชสำนักมีกระแสคลื่นลมกระหน่ำตนเมื่อใด ก็มักจะเทกันไปทางนั้นหมด ไม่มีผู้ใดสักกี่คนที่จะออกหน้าแทนตน ตอนนี้เฉินซือเป่ากับพวกที่ร่วมลงทุนกันอย่างน้อยก็ต้องสงบวาจากันบ้าง แม้คิดอยากจะเลือกข้าง ก็ย่อมต้องคิดถึงเงินทองก้อนโตที่ลงทุนไว้ที่เทียนจิน

เนื้อแพะหอมกรุ่น รสชาติดีเยี่ยม กลางวันเช่นนี้ก็เฮฮากันอย่างที่สุดก่อนจะแยกย้าย พวกเฉินซือเป่าเองรู้ว่าหวังทงมีงานมาก ดังนั้นพอเลือกม้าเสร็จก็ขอบคุณและขอลากลับ

เงินทองมาถึงเทียนจิน พร้อมกับเงินก้อนนี้ก็มีพ่อบ้านดูแลบัญชี 12 คนมาด้วย พวกชนชั้นสูงในเมืองหลวงให้เงินมาเช่นนี้ อย่างไรก็ต้องส่งคนมาจับตาไว้

หวังทงเองก็ยินดีในเรื่องนี้ โรงเงินสามธาราแม้ว่าเพิ่งตั้งใหม่ แต่ก็ไม่ด้อยไปกว่าระบบร้านประกันภัย แต่ตอนนี้หาคนที่พอจะใช้การได้ชำนาญไม่ได้ อีกฝ่ายส่งคนมาด้วย มาปิดช่องว่างที่ขาดนี้พอดี ส่วนเรื่องจะเชื่อฟังหรือไม่นั้น หวังทงออกเงินมากกว่า ก็เพราะต้องการมีสิทธิ์ในการจัดการมากกว่า พูดเสียงดังได้

หวังทงบอกว่ากำลังปฏิบัติหน้าที่ไม่อาจร่ำสุรา แต่พวกเฉินซือเป่าก็ไม่ยอมรามือ ดื่มไปครึ่งชาม พวกเขาก็จากไป หวังทงต้องหลับตาปรับร่างกายอยู่ที่โรงม้าก่อน

เห็นคนจากไป หม่าซานเปียวก็เข้ามา หวังทงลืมตาถามว่า

“ตอนนี้พลม้าในมือเจ้าที่ใช้การได้มีเท่าไร?”

“เรียนใต้เท้า นับรวมทั้งหมดแล้วก็ราว 400ได้”

พวกกองกำลังรักษาความปลอดภัยกับพวกนาวาสุคนธ์มีคนที่พอขี่ม้าได้ คนพวกนี้หวังทงสามารถใช้งานได้ในยามที่หวังทงต้องการ จึงย่อมนับรวมด้วย

“ให้เจ้าไปตรวจแต่ละค่ายมา วันนี้น่าจะได้ผลแล้วกระมัง?”

“สามารถต่อสู้บนหลังม้าได้ก็อยู่ที่กองพลม้าหมดแล้ว อีกสองแห่งที่ว่านั้นสามารถนั่งบนหลังม้าไม่ร่วงลงมาได้ก็ราว 520”

ได้ยินหม่าซานเปียวรายงาน หวังทงก็ส่ายหน้า แต่ก็ไม่รู้ทำเช่นไร นอกจากพวกดูแลม้าแล้ว คนปกติไหนเลยจะขี่ม้าเป็น หม่าซานเปียวกล่าวต่อว่า

“ใต้เท้า เมื่อวานให้คนไปสำรวจพวกขี่ม้าเป็นกันมา และได้คุยกับพวกชื่อเฮยมาบ้าง เขาว่าใต้เท้าต้องการพวกมีฝีมือขี่ม้า บนทุ่งหญ้ามีอยู่ จากเมืองเซวียนฝู่ไปถึงจี้โจว มีพวกที่บ้านแตกสาแหรกขาดไม่อาจอยู่บนทุ่งหญ้าต่อได้อีกไม่น้อย จึงไปเป็นคนงานเลี้ยงสัตว์ที่นอกด่านแทน ใต้เท้าสามารถไปรับสมัครมาได้”

หวังทงพยักหน้า ก่อนจะถามต่อว่า

“นี่ก็เป็นอีกทางหนึ่ง แต่ปีหน้าจึงจะดำเนินการได้ ซานเปียว ปีนี้ไม่อาจฉลองปีใหม่ที่เทียนจินอีกแล้ว เจ้าทนรับได้หรือไม่?”

“ใต้เท้ากล่าวอันใดกัน มีกินกันก็เพราะการต่อสู้ ได้ฉลองปีใหม่หรือไม่เรื่องเล็ก”

กล่าวถึงตรงนี้ หม่าซานเปียวก็ขยี้ศีรษะตนเอง ยิ้มร่ากล่าวต่อว่า

“นางเมียที่บ้านข้าไม่ค่อยพอใจ อันนี้ทำอันใดไม่ได้”

************

ออกจากบ้านแต่เช้า ไปเดินเตร่อยู่ที่โรงม้ารอบหนึ่ง ฟ้าก็ใกล้จะมืดแล้ว บนถนนในเทียนจินเริ่มมีคนแขวนโคมตะเกียงขึ้นแล้ว

กลับถึงหน้าประตูจวน หวังทงก็เห็นสวีกว่างกั๋วคุกเข่าอยู่ที่นั่น พอเห็นพวกหวังทงมา ก็โขกศีรษะ หวังทงไม่สนใจขี่ม้าเข้าประตูไปทันที

ประตูด้านหลังปิดลง ทหารที่เฝ้ายามอยู่รีบเข้ามาจูงม้าไป หวังทงลงจากหลังม้าถามว่า

“คนด้านนอกคุกเข่ามาทั้งวันเลยหรือ?”

“เรียนใต้เท้า คุกเข่ามาทั้งวันจริงๆ ไม่ได้ไปไหนเลยขอรับ”

หวังทงพยักหน้า เดินเข้าไปทางโถงกลาง เดินขึ้นบันไดไปก็หันมากล่าวว่า

“พรุ่งนี้เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นแล้วคนผู้นั้นยังคุกเข่าอยู่ก็ให้นำตัวเข้ามาพบข้า!”

พอลงจากม้าก็เดินมาอีกระยะหนึ่ง คนด้านนอกย่อมไม่ได้ยิน ทหารรีบคำนับรับคำ

เดินมาถึงโถงด้านใน บรรดาขุนพลและคนทำงานกำลังจ้องมองมา พอเห็นหวังทงเข้ามา ก็คำนับพร้อมกัน

หวังทงกวาดตามอง เห็นสีหน้าหลี่หู่โถวดูตื่นเต้น เหมือนประสบเรื่องน่ายินดีอันใดมา อดไม่ได้ยิ้มถามว่า

“หู่โถวดีใจอย่างนี้ ไปเจอเรื่องอันใดที่ทำใหดีใจหรือ?”

หลี่หู่โถวอ้าปากคิดจะกล่าวอย่างตื่นเต้น แต่พอคิดไปมาก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร เป็นหม่าซานเปียวเอ่ยขึ้นแทน

“อาจารย์ข้ามาครานี้ เพราะหู่โถวได้เป็นหัวหน้าหน่วยแล้ว ระดับเท่านายกองพัน สูงกว่านายกองร้อยองครักษ์เสื้อแพร ชมหู่โถวว่ามีอนาคต ไม่ได้สั่งสอน”

หม่าซานเปียวกล่าวถึงอาจารย์นั้นก็คือหลี่เหวินหย่วน หลี่เหวินหย่วนเข้มงวดกับหลี่หู่โถวมาก ทุกครั้งที่เจอกันก็จะสั่งสอน แต่ครั้งนี้หลี่หู่โถวได้เป็นหัวหน้านำพล 1,500 นาย ยังเป็นขุนนางทรงเลือกเอง จะเรียกได้ว่าเป็นหน้าเป็นตาแก่วงศ์ตระกูลก็ไม่เกินไปนัก หลี่เหวินหย่วนครั้งนี้นำราชโองการลับมา เวลาไม่มาก เวลาคุยกันลูกชายก็น้อยนัก ไหนเลยจะมีเวลามาสั่งสอนกัน

หลี่เหวินหย่วนไม่สั่งสอน สำหรับหลี่หู่โถวแล้วนับเป็นเรื่องแปลกประหลาดอันดับหนึ่ง ยังกลับชมอีก นี่ย่อมทำให้หลี่หู่โถวตื่นเต้นผิดปกติ

ได้ยินหม่าซานเปียวเล่ามา ทุกคนก็หัวเราะฮากันดังลั่น ลี่เทากับซุนซิงด้านหลังก็ผลักหลี่หู่โถวกันคนละที พอหัวเราะกันเสร็จ หวังทงก็เริ่มคุยเรื่องโรงเงินสามธารากับหยางซือเฉิน หยางซือเฉินรีบหยิบกระดาษพู่กันออกมาจด พรุ่งนี้ก็จะให้คนร้านประกันภัยและร้านสามธาราไปดำเนินการ

“กรมทหารทางนั้นให้พวกเราครั้งนี้ไปที่ด่านกู่เป่ยโข่วที่ตั้งกองกำลังมี่อวิ๋นตอนเหนือของเมืองหลวง ผ่านทงโจว ไปตามเส้นทางซุ่นอี้และหวยโหรว ทางนั้นพวกเราไม่ค่อยคุ้นเคย การดูแลกำลังก็ไม่สะดวกนัก พรุ่งนี้ม้าเร็วไปเซวียนฝู่ ให้ร้านสามธาราทางนั้นไปซื้อหาเสบียงตุนไว้ก่อน เตรียมให้ทัพใหญ่เราได้ใช้”

ทุกคนนั่งลง หวังทงก็เริ่มสั่งการ ไช่หนานรีบพยักหน้า จดลงไปหลายคำ ลี่เทาเงียบไปครู่หนี่ง ก็ลุกขึ้นคำนับกล่าวว่า

“ใต้เท้า บิดาข้ามีคนรู้จักกันที่เมืองเหยียนชิ่งโจวและกองกำลังมี่อวิ๋น เรื่องเสบียงกองทัพ ไม่สู้ให้ข้าน้อยเขียนจดหมายไปบอกกล่าว ให้บิดาข้าน้อยจัดการเรื่องนี้ดีหรือไม่?”

ทุกคนมองไปทางลี่เทาและพยักหน้า ลี่อวิ๋นเซิ่งเป็นรองแม่ทัพเมืองเซวียนฝู่ การรวบรวมเสบียงและหญ้าแห้งก็ย่อมง่ายกว่าร้านสามธารามาก ลี่เทาเขียนจดหมายไปก็ย่อมทำให้ทุกคนสะดวกสบายขึ้น

คิดไม่ถึงว่าหวังทงจะส่ายหน้ากล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า

“ลี่เทาหวังดี แต่พวกเราเป็นกองกำลังฝ่ายใน เสบียงพวกนี้ไม่อาจไปยุ่งเกี่ยวกับของทหารชายแดนได้ ทุกฝ่ายต่างถือสาในเรื่องนี้อย่างมาก”

ได้ยินเช่นนี้ ทุกคนก็กระจ่างในใจ กองกำลังฝ่ายในหากไปข้องเกี่ยวกับชายแดนมากไป หากวันใดในวังเกิดระแวง นั่นย่อมนำหายนะใหญ่มาสู่ตน

ในห้องเงียบไปครู่หนึ่ง ถานปิงก็กระแอมไอลุกขึ้นยืน กล่าวอย่างเป็นการเป็นงานว่า

“ใต้เท้า ราชโองการว่า กองกำลังหู่เวยไปที่ด่านกู่เป่ยโข่ว หากข้าน้อยจำไม่ผิด แม่น้ำฮาลาเหอเถ้าห่างจากกู่เป่ยโข่วไม่ถึงสองลี้ ทหารไปมาวันหนึ่งกับหนึ่งคืนได้”

แม่น้ำฮาลาเหอเถ้าเป็นบริเวณสบกันของแม่น้ำหรวนเหอและแม่น้ำอี่ซวิ่น ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือของกู่เป่ยโจ่วราว 180 ลี้ ที่นั่นเป็นที่ตั้งของพวกกบฎเผ่าอันต๋า

“ใต้เท้า เมื่อก่อนเราพี่น้องติดตามใต้เท้าถานอยู่ ก็เคยไปที่เมืองจี้โจว รู้ว่าที่นี่มีสายลับพวกนอกด่านไม่น้อยแฝงตัวอยู่ กองกำลังใหญ่ผ่านไปทางมี๋อวิ๋น เกรงว่าพวกมองโกลนอกด่านคงรู้ตัวกันแล้ว……”

กล่าวถึงตรงนี้ก็หยุดไปครู่หนึ่ง ซุนซิงก็รับคำกล่าวต่อว่า

“ใต้เท้า กองกำลังหู่เวยเคยสังหารพวกมองโกลหลายพันที่นอกด่านเมืองเซวียนฝู่ สองแห่งนี้ห่างกันไม่ไกล พวกเราไปเกรงว่าจะเป็นที่จับตาของพวกมันดังหนามยอก การออกนอกด่านครานี้ ข่าวแพร่งพรายออกไปก็เป็นเรื่องแน่นอนแล้ว หากพวกมองโกลนำทัพใหญ่มา พวกเราใช่ว่าจะอันตรายหรอกหรือ”

กล่าวจบ ในห้องก็เงียบกริบ ซุนซิงแต่ไรมาก็กล่าววาจาน้อยแต่มีสาระ ครั้งนี้กล่าวมายาวเช่นนี้ เห็นทุกคนมองหน้ากันไปมา ก็อดไม่ได้ที่จะแตกตื่น กล่าวขึ้นเบาๆ ว่า

“ข้าน้อยความคิดอ่อนด้อย หากกล่าวอันใดผิดไป ขอใต้เท้าโปรดอภัย!”

“กล่าวได้ไม่เลว พวกเราหลายคนอยู่ร่วมฝึกที่ลานฝึกมาจนเทียนจินนี่ได้เรียนรู้กันไปไม่น้อยเลยทีเดียว”

หวังทงพยักหน้าเห็นด้วยพลางเอ่ยชม ถานเจียงข้างๆ ยามนี้ก็เอ่ยขึ้นว่า

“นายท่าน ราชโองการลับกล่าวไว้กระจ่าง ว่าทัพเรานำไปเส้นทางกลาง ทัพแม่ทัพหลี่หรูซงจากเมืองเซวียนฝู่นำมาทางตะวันตก ทัพแม่ทัพชีจี้กวงจากเมืองจี้โจวนำมาทางตะวันออก ทัพเราและทัพเมืองเซวียนฝู่เป็นทัพรอง ทัพหลักคือทัพจากจี้โจว แต่เมืองเซวียนฝู่ห่างจากแม่น้ำฮาลาเหอเถ้าราว 500 ลี้ เมืองจี้โจวเป็นอันดับถัดมา นับตามจำนวนวันแล้ว หากว่าทัพเราออกไปอยู่ตรงกลางทุ่งเพียงลำพัง พวกมองโกลกบฎกลุ่มนั้นมีกำลังพลม้าราว 6,000 นาย เคอเอ่อชิ่นก็เป็นเผ่าใหญ่ นำกำลังสักพันนายออกมาก็ง่ายมาก ทัพเราแม้เป็นทัพรองแต่ก็แค่ 4,000 นาย เสี่ยงภัยใหญ่เช่นนี้ เป็นเรื่องอันตรายมากจริงๆ”

ครั้งนี้ในห้องพากันเงียบกริบอย่างแท้จริง ตัวเลขเปรียบเทียบกันตรงๆ เข้าสู่งทุ่งหญ้ายังโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่ง ยังต้องเผชิญกับพวกทัพมองโกลเรือนหมื่น

“ในเมื่อเป็นทหารแผ่นดินหมิง ออกนอกด่านรบมองโกลย่อมเป็นหน้าที่ของเรา”

ทุกคนรู้สึกกังวล หากหวังทงกลับมีท่าทีสบายใจ ไม่ได้มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย

************

งานในกองทัพมีมาก การเตรียมการในแต่ละแห่งไปจนเส้นทางเดินทัพ หรือการเตรียมเสบียงไว้เลี้ยงคนและม้าก็เป็นเรื่องที่ต้องหารือกันอย่างละเอียด และยังเป็นความลับอีก คนที่เข้าร่วมย่อมไม่มาก คนที่ยุ่งจริงก็หยางซือเฉินและไช่หนาน เขาสองคนฟังไปจดไป จดจนมือไม้อ่อนแรง

กระดาษบุหน้าต่างเป็นสีขาว ทุกคนจึงได้รู้ว่าเวลาผ่านมาหลายเพลาแล้ว ทุกคนในห้องต่างอดไม่ได้พากันกุมปากหาวนอน ทุกคนนัยน์ตาแดงก่ำ หวังทงใช้มือขยี้ใบหน้ากล่าวว่า

“ให้ในครัวเตรียมอาหารให้พวกเจ้าแล้ว กินเสร็จก็กลับไปตั้งใจจัดการงานตัวเองให้ดี วันนี้ข้าจะไปตรวจสักรอบหนึ่ง”

กล่าวจบทุกคนก็ลุกขึ้นคำนับขอตัวออกไป ฟ้าสางแล้ว หวังทงค่อยๆ หลับตา ทหารรับใช้ยกบะหมี่เข้ามาชามหนึ่งพร้อมกับแกล้มสองสามอย่าง

หวังทงลุกขึ้นบิดขี้เกียจ กำลังจะจับตะเกียบก็ได้ยินเสียงทหารรายงานมาจากด้านนอกว่า

“ใต้เท้า สวีกว่างกั๋วคุกเข่ามาทั้งคืนไม่ไปไหน ตอนนี้พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว ใต้เท้าให้พบหรือไม่?”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!