Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 500

ตอนที่ 500 ขอเป็นลูกน้องช่วยใต้เท้าหาช่องทาง

“ใต้เท้า นำตัวสวีกว่างกั๋วมาแล้วขอรับ”

ทหารด้านนอกรายงานดังเข้ามา ห้องโถงหันไปทางใต้ พอเปิดประตู แสงอาทิตย์ก็สาดเข้ามา สวีกว่างกั๋วยกมือจับชุดให้เรียบร้อย ก่อนจะก้าวเข้ามาในห้อง พอก้าวพ้นธรณีประตูก็คุกเข่าโขกศีรษะกล่าวว่า

“ข้าน้อยสวีกว่างกั๋วคำนับใต้เท้าหวัง!”

หวังทงรู้สึกแปลกใจ ตอนเขาออกไปเห็นสภาพไม่เป็นสภาพของสวีกว่างกั๋ว คุกเข่ามาหนึ่งคืนกับอีกหนึ่งวัน พอเรียกตัวพบ หากมีใจคิดใช้อุบายก็ย่อมแสดงท่าทีอ่อนแรงให้ดูน่าสงสาร เพื่อให้ได้รับความเห็นใจ แล้วค่อยแสดงความตั้งใจของตนออกมา

คิดไม่ถึงว่าสวีกว่างกั๋วกลับยังรู้จักจัดแจงเสื้อผ้าให้ดูดี คำนับก็มิขาดตกหวังทงจึงยิ้มถามอย่างไม่เกรงใจอันใดว่า

“เจ้ามาพบข้า ไม่ทำทีน่าสงสารจะได้รับประโยชนได้อย่างไร จะว่าไป เจ้าสวมชุดสีเทาตัวยาว หนวดเครารุงรัง ไม่มีสภาพที่ดีนัก ตอนนี้มาพบข้ากลับทำเหมือนขุนนางผู้น้อยพบขุนนางผู้ใหญ่ คิดทำอย่างไรก็ควรทำให้ถึงที่สุดถึงจะถูก”

สวีกว่างกั๋วที่คุกเข่าอยู่แค่นหัวเราะเสียงแห้ง ก่อนจะรีบหยุด โขกศีรษะต่อ คิดจะพูดแต่ลำคอกลับตีบตัน หวังทงส่ายหน้า สั่งว่า

“เอาโจ๊กมาให้เขา!”

อาหารเช้าก็คือโจ๊กกับพวกผักดอง จัดการง่าย ไม่นานทหารก็นำโจ๊กเข้ามา สวีกว่างกั๋วขอบคุณอย่างนอบน้อม กินอย่างรวดเร็วกลืนเอากลืนเอา กล่าวว่า

“หากใต้เท้าให้ข้าคุกเข่าสามวันสามคืน ข้าน้อยไม่ว่าได้เข้ามาเมื่อใดก็ต้องยืนหยัดอยู่ให้ได้ อย่างน้อยก็ต้องมาเป็นลมที่หน้าห้องโถง ให้ใต้เท้าสั่งการช่วยชีวิต จึงจะแสดงให้เห็นถึงความเห็นใจ ในเมื่อแค่หนึ่งวันหนึ่งคืนก็ให้พบ ก็แสดงว่าใต้เท้าเข้าใจความเป็นจริง ไม่อาจแสดงความลวงหลอก เช่นนั้นจึงต้องจัดการการแต่งกายให้ดี”

หวังทงได้ยินวาจานี้ก็อึ้งไปก่อนจะส่ายหน้ายิ้มกล่าวว่า

“วาจาเจ้าก็ตรงมาก ท่าทางเจ้าสภาพนี้ ยังจะมากล่าวเรื่องการแต่งกายให้ดีอะไรกันอีก”

“เป็นข้าน้อยที่บุ่มบ่าม หากรู้ว่าใต้เท้าเป็นเช่นนี้ ไยต้องปล่อยตัวหลายวันไม่จัดการผมและหนวดเคราให้เรียบร้อย แต่งกายชุดซอมซ่อมาให้ดูน่าสงสาร หากควรจะจัดการแต่งกายให้ดีมาที่จวนเพื่อมาขายความสามารถ”

หวังทงได้ยินก็หัวเราะเสียงดังลั่น ปรึกษาหารือเรื่องงานมาทั้งคืน ความเหนื่อยล้าเมื่อครู่ค่อยๆ ทวีหนักขึ้นเรื่อยๆ กำลังจะอ่อนล้าเต็มที พอได้ยินสวีกว่างกั๋วกล่าวตรงไปตรงมาเช่นนี้ ความเหนื่อยล้าก็เหมือนมลายไปไม่น้อย

“เจ้าดูอย่างไรว่าข้าไม่อาจกล่าววาจาเท็จด้วยได้?”

“เมื่อวานใต้เท้าออกไปตอนเช้า ฟ้ามืดพึ่งกลับมา ปะทะลมฝุ่นมากมาย เมื่อคืนยังหารืองานทั้งคืน เช้านี้จึงเห็นใต้เท้าแต่ละท่านกลับไป ข้าน้อยอยู่เทียนจินมาระยะหนึ่ง เรื่องพวกนี้ งานยุ่งพวกนี้ เมื่อก่อนข้าน้อยเห็นว่าท่านอายุน้อย และก็คิดว่าสภาพความเจริญรุ่งเรืองที่เทียนจินนี้บางทีก็เป็นบำเหน็จความชอบใหญ่ ข้าน้อยจึงได้แต่งกายเช่นนี้มาขอพบ ถึงตอนนั้นหากใต้เท้าสามวันแล้วค่อยให้พบก็จะกล่าววาจาคุณธรรมต่างๆ ขอให้ท่านรับไว้ แต่คิดผิดไป คุกเข่าขอพบก็เห็นใต้เท้านำกำลังออกไป หนึ่งวันหนี่งคืน จะลุกขึ้นกลับบ้านไปเปลี่ยนเสื้อผ้ามาใหม่ก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว”

หวังทงหัวเราะ ก่อนจะพิงพนักเก้าอี้กล่าวว่า

“เจ้าว่ามาขายความสามารถ มีความสามารถอันใดจะขายกัน? หรือว่าจะไปตั้งด่านภาษีที่คลองส่งน้ำ?”

งานกองทัพยุ่งมาก สวีกว่างกั๋วแม้ว่าน่าสนใจแต่ก็ไม่มีเวลามาเป็นเพื่อนคุยด้วยนานนัก หวังทงถามเช่นนี้ สวีกว่างกั๋วที่คุกเข่าอยู่ก็ยืดตัวขึ้น กล่าวว่า

“ข้าน้อยสามารถเป็นคนเจรจาแทนใต้เท้า ข้าน้อยสามารถไปเมืองหลวงทำงานให้ใต้เท้า ส่งมอบของกำนัลและเยี่ยมเยือน ข้าน้อยสามารถทำงานทุกอย่างเป็นวัวเป็นสุนัขให้ใต้เท้าได้ ใต้เท้าไม่อยากทำอันใด ข้าน้อยทำแทนใต้เท้าได้”

น้ำเสียงแม้ว่าแหบพร่า แต่ก็ยังแสดงความเด็ดเดี่ยว หากเนื้อหาที่กล่าวมากับความเด็ดเดี่ยวนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกัน หวังทงได้ยินก็อึ้งไป กำลังคิดจะหัวเราะก็รีบหยุด โบกมือให้ทหารด้านในและด้านนอก ออกคำสั่งว่า “ปิดประตูและออกไปจากรัศมี” รอจนทุกคนออกไปหมด หวังทงจึงยกมือขึ้นกล่าวว่า

“ลุกขึ้นยืนพูดเถอะ ได้ฟังวาจาเจ้าก็เหมือนจะเป็นพ่อบ้านนะ ตำแหน่งนี้พวกขุนนางมักมีกัน อาศัยอันใดให้เชื่อว่าเจ้าทำได้กัน?”

เมื่อเห็นหวังทงสั่งให้ลุกขึ้นยืน สวีกว่างกั๋วรู้ว่าอีกฝ่ายคล้อยตาม ลุกขึ้นกล่าวว่า

“ก่อนข้าน้อยล่วงเกินใต้เท้า เคยเป็นนายอำเภอที่หนานผีมาสามปี และยังเป็นผู้ว่าเมืองชางโจวมาห้าปี อยู่ที่เมืองเหอเจียนไม่ไกลจากเมืองหลวง ยังมีสายสัมพันธ์กับตระกูลอื่น ยังรู้จักการเคลื่อนไหวในราชสำนัก ตั้งแต่รัชสมัยว่านลี่ที่ 5 มานี้ ตั้งแต่ใต้เท้าเข้าสู่วงการขุนนาง บรรดาขุนนางในราชสำนักโจมตีใต้เท้าย่อมต้องเป็นความพร้อมเพรียงกันในราชสำนัก แต่ยืนข้างใต้เท้านั้นไม่มีแม้แต่คนเดียว นอกจากฮ่องเต้แล้ว ก็ไม่มีใครคอยช่วยใต้เท้า”

หวังทงพิงพนักพิง สีหน้าเริ่มเคร่งเครียด สวีกว่างกั๋วก็กล่าวถูกต้อง ไม่มีสักคนที่อยู่ข้างตน ทุกคนมีแต่คอยหาเรื่อง ขุนนางในราชสำนัก บัณฑิตในเมืองหลวง มักรวมตัวกันเป็นเสียงเดียว การจะมีใครสักคนเงียบไม่ออกเสียงร่วมนั้นก็นับว่าเป็นพวกตนเองแล้ว

อย่างไรก็มีฮ่องเต้คอยช่วย หวังทงมาถึงตอนนี้ แม้ว่าทุกครั้งจะต้องใช้สมองไปมาก ใช้กำลังไปมาก แต่ก็สามารถรับมือได้ แต่หากสถานการณ์จะเป็นเช่นนี้ต่อไปย่อมไม่ดี

อาศัยสำนักรักษาความสงบแอบเก็บข่าวลับพวกเขาไว้ ก็เป็นวิธีหนึ่ง แต่สำนักรักษาความสงบก็มิใช่ตนเองควบคุมเพียงผู้เดียว ห่างไกลกันจนไม่อาจรับรองได้ หวังทงเงียบไปนาน สวีกว่างกั๋วกล่าวต่อว่า

“สามคนรวมกันเป็นพยัคฆ์ เรื่องนี้ใต้เท้าเคยได้ยินกระมัง ใต้เท้าอยู่เทียนจิน หากมีการโจมตีเกิดขึ้นในราชสำนัก ลำพังฮ่องเต้องค์เดียวที่เชื่อใต้เท้า ไม่ช้าก็เร็วย่อมต้องเกิดความระแวง ถึงตอนนั้นก็สามารถฟื้นคืนได้เหมือนทุกคราหรือ?”

“เจ้ามีวิธีการอันใด หรือว่าอาศัยแค่อาเจ้า สวีชิงซาน ที่เมืองหลวง?”

“อาข้าน้อยเป็นบัณฑิตระดับจิ้นซื่อไต่เต้าขึ้นมา ไม่ได้มีอำนาจสั่งสมเหมือนขุนนางสายอื่น ความกล้าหาญก็น้อยนิด ครั้งนี้ไม่ได้ประโยชน์อันใดกลับต้องการพลอยโดนไปด้วย แคลงใจใต้เท้าไม่น้อย ยังจะหวังอันใดได้อีก ใต้เท้า สิ่งที่ข้าน้อยทำได้นั้นก็คือไปหาช่องทางที่เมืองหลวง ไปทำงานให้ใต้เท้าที่นั่น ให้ใต้เท้ามีคนคอยช่วยอีกเสียงในราชสำนัก หากนานวันมีแต่การโจมตี ไม่ว่าผู้ใดย่อมระแวงสักวัน หากมีโจมตี มีชมเชย มีการตัดสินอย่างเป็นธรรม เช่นนั้นการโจมตีก็ไม่กระไรนัก ข้าน้อยไปเมืองหลวง ก็จะให้คนไปชมเชยใต้เท้า มีคนให้ความเป็นธรรมกับใต้เท้า!”

หวังทงกระดิกนิ้วเคาะโต๊ะน้ำชาเบาๆ สวีกว่างกั๋วเงียบลง ดูปฏิกิริยาหวังทง หวังทงเคาะเสร็จก็ยิ้มกล่าวว่า

“นั่งลงคุยกัน เจ้ามีช่องทางใดกัน? ที่จะทำให้พวกบัณฑิตขุนนางนั่นเปลี่ยนความคิด?”

“ใต้เท้า วิธีก็ง่ายมาก จ่ายเงิน?”

“ง่ายเพียงนี้หรือ?”

“ใต้เท้า พ่อค้าเกลือที่ฉางหลูร่ำรวยฟุ่มเฟือยอย่างมาก การค้าเกลือยิ่งทำเงินมหาศาล พวกเขาไม่เกรงกลัวกฎหมาย ไม่รู้ว่าทำผิดธรรมเนียมมาตั้งเท่าไร ภาษีเกลือในราชวงศ์หมิงเราก็นับได้เป็นสามส่วนกว่าของภาษีทั้งหมด แต่การค้าเกลือแต่ละแห่งเลี่ยงภาษีกันไม่น้อย ยังมีแอบลักลอบขนกันอีก ใต้หล้าล้วนรู้ดี เหตุใดขุนนางบัณฑิตไม่พูดถึงกัน ไม่ใช่เพราะพวกเขาเลี้ยงดูขุนนางพวกนี้ไว้หรืออย่างไร ได้รับประโยชน์จากพวกเขา ใต้เท้าอยู่เทียนจินยิ่งใหญ่เพียงนี้ ไม่ได้ด้อยไปกว่าพ่อค้าเกลือพวกนั้นเลย จ่ายเงินเพื่ออำนวยความสะดวก เรื่องน่ายินดีเช่นนี้เหตุใดจึงไม่ทำเล่า?”

ได้ยินเช่นนี้ หวังทงก็ยิ้มถามกลับว่า

“เจ้าสามารถทำให้ข้าได้ก็คือไปเมืองหลวงส่งมอบเงินงั้นหรือ นี่เรียกว่าความสามารถด้วยหรือ?”

สวีกว่างกั๋วลุกขึ้นคำนับตอบอย่างจริงจังว่า

“ลูกน้องใต้เท้ามีคนเช่นนี้หรือ หากไม่มี ข้าน้อยก็จะขอบังอาจแนะนำตนเองแล้ว!”

การย้อนถามเช่นนี้ทำเอาหวังทงถึงกับอึ้งไปทันที รอบกายเขามีผู้มีความสามารถทั้งบุ๋นและบู๊ ล้วนเป็นคนทำงานได้ดี แต่ให้พวกเขาไปหาช่องทางเช่นนี้ ก็เหมือนจะเป็นการลำบากพวกเขาแล้ว ไม่มีคนเช่นนี้จริงๆ

“หลังเจ้าถูกปลดจากชางโจว เหตุใดจึงคิดมาขอพึ่งข้า เจ้าเป็นขุนนางมานานหลายปี ย่อมมีเงินทองไม่น้อย กลับบ้านไปเสวยสุขไม่ดีกว่าหรือ สถานการณ์ข้าในตอนนี้เจ้าก็เห็น ติดตามข้า อำนาจวาสนาไม่สูงนัก อันตรายกลับไม่น้อย”

กล่าวถึงตรงนี้ สวีกว่างกั๋วก็ยิ่งมั่นใจขึ้น กล่าวว่า

“ใต้เท้า ข้าน้อยกลับบ้านไม่ได้แล้ว ตระกูลข้าน้อยล้วนยกให้ท่านอาเป็นผู้นำ ท่านอาไม่ยอมรับข้าน้อย คนในตระกูลที่บ้านเกิดก็ย่อมไม่รับข้าน้อยไว้ เมื่อไร้ตำแหน่ง ข้าน้อยเคยเป็นขุนนางมา ไม่มีตำแหน่งปกป้องตน เงินที่ได้มากสักเพียงใดก็เป็นได้แค่เนื้อที่ผู้อื่นจับจ้อง จะว่าไปข้าน้อยไม่ยินยอมเช่นนี้ ยังคิดจะลองอีกสักครา ดังนั้นจึงมาพบใต้เท้า หนึ่ง เพื่อมาขอให้ท่านคุ้มครอง สอง มาหางานทำเพื่ออนาคต”

***********

สองฝ่ายคุยกันไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม สวีกว่างกั๋วก็กล่าวอำลาจากไปด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม หลังอาหารกลางวัน สวีกว่างกั๋วก็กลับมา ครั้งนี้ต่างจากคราที่จากไป สวมชุดแบบบัณฑิตลัทธิขงจื๊อสีน้ำเงินตัวยาว หนวดเคราตัดเล็มเรียบร้อย ใบหน้าส่องประกาย

พูดมาปากเปล่า แม้ว่าสวีกว่างกั๋วกล่าวได้ตรง งานที่ต้องการทำก็เป็นงานที่หวังทงต้องการ แต่งานบางอย่างก็ไม่อาจยอมให้เขาไปทำในทันที

ให้มาติดตามทำงานที่จวนก่อน ฝึกฝนสักระยะก่อน ยังต้องส่งคนไปสืบประวัติสวีกว่างกั๋วอีก แต่สวีกว่างกั๋วก็ควรจะคาดเดาในเรื่องนี้ได้ เขาเช่าบ้านที่มีเรือนสองชั้นในละแวกจวนหวังทง จัดการให้คนในครอบครัวพักกันที่นี่ทั้งหมด

เขาเป็นขุนนางมาหลายปี ย่อมเก็บเกี่ยวได้ไปไม่น้อย ที่จวนจึงจัดแต่งราวกับคหบดีใหญ่ ภรรยาหลวงน้อยรวม 5 คน ลูกชายลูกสาวอีก 4 คน ทีเหลือเป็นคนงาน ซึ่งก็ไม่น้อย

สวีกว่างกั๋วทำเช่นนี้ทำให้หวังทงวางใจในตัวเขาขึ้นมาอีกหน่อย สวีกว่างกั๋วไม่ได้มาคนเดียว หากยังรู้จักพาครอบครัวมาเป็นตัวประกันด้วย

**********

นายกองพันต่งช่วงสี่แห่งซานตงจับโจรสลัดมาได้ร้อยกว่าคน ส่งมาถึงเทียนจินในเดือนสิบเอ็ด หวังทงไม่ทันได้พบคนเหล่านี้ แต่กลับส่งให้ทังซานไปดูแลทั้งหมด

แม้ว่าตอนมาจะหวาดหวั่น แต่โจรพวกนี้ได้กินดีอยู่ดี ก็รู้สึกวางใจลง เป็นโจรมาหลายปี พอถึงตอนทะเลแข็งเป็นน้ำแข็งนั้นก็ต้องยอมทนหิว หากอยู่เทียนจินแล้วสามารถกินอิ่มท้องกันทุกวัน ก็ไม่เลว

มาได้สองสามวัน พวกเขารู้ว่าไม่ได้ถูกจับมาลงโทษ หากต้องการลูกเรือเท่านั้น ยังไงก็เป็นงานบนท้องทะเลแบบเดิม ว่ากันว่ายังอาจได้ตำแหน่งขุนนางด้วย ตอนนี้ที่พวกเขาคิดก็คือ ใต้หล้าไหนเลยจะมีเรื่องดีๆ เช่นนี้ตกใส่ศีรษะได้กัน อย่างไรก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

อู๋ต้ายังส่งช่างเรือมาอีก 13 คน ครั้งก่อนนำมา 5 คนกลับบ้านเกิดไป 3 คน ไม่ใช่ว่าหนีไป และเป็นตัวแทนหวังทงไปหาคนมาเพิ่ม

***********

เมืองเฝินโจว ณ มณฑลซานซี หย่งเซิ่งป๋อที่ไม่ให้แขกเข้าพบมานาน ก็มีแขกมา ไม่ให้เข้าพบสามวันจึงได้เชิญเข้าไป

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!