ตอนที่ 501 วิ่งหาช่องทางในเมืองหลวง พักค่ายที่มี่อวิ๋น
หย่งเซิ่งป๋อ นามอวี๋หยวนกัง ยามนี้บนศีรษะมีผมขาวขึ้นมาไม่น้อย แลดูอิดโรยลงไม่น้อย เมื่อเห็นคนเบื้องหน้าสีหน้าก็ดำคล้ำลง เป็นนานกว่าจะเอ่ยออกมาว่า
“ข้าสูญเสียบุตรชายไปแล้ว เรื่องนี้ ข้าไม่อยากข้องเกี่ยวแล้ว”
“ท่านป๋อ ครั้งนี้ไม่ขอให้ทางท่านต้องทำอันใดทั้งนั้น เพียงแค่ไปรายงานข่าวทางนั้นก็พอ ไปหรือไม่ก็เรื่องของทางนั้น หากไม่ไป ท่านก็ไม่เสียหายอันใด แต่หากไป ก็ย่อมได้ประโยชน์ใหญ่”
คนเบื้องหน้ากล่าวตอบน้ำเสียงนิ่งเรียบ หย่งเซิ่งป๋อนั่งจ้องมองเขา คนที่กล่าววาจานี้ก้มหน้านอบน้อม สงบนิ่งยิ่งนัก ผ่านไปครู่หนึ่ง หย่งเซิ่งป๋อจึงได้ถอนหายใจกล่าวว่า
“เขาไม่อยู่เมืองหลวง ไยต้องให้ความสำคัญเช่นนั้นด้วย ข้าคิดผิดไปแล้ว พวกเจ้ายากจะผิดตามด้วยงั้นหรือ เจ้ากลับห้องไปพักก่อน มีคนเตรียมให้เจ้าแล้ว”
************
รัชสมัยว่านลี่ที่ 8 วันที่ 15 เดือนสิบสอง กองกำลังหู่เวยสังกัดสำนักอาชาหลวงก็เดินทางถึงอำเภอมี่อวิ๋น ที่นี่ห่างจากกองกำลังที่กู่เป่ยโข่วไม่ถึง 100 ลี้
จากกู่เป๋ยโข่วไปตามแม่น้ำเหอลงใต้ ก็คือเมืองทงโจวและเมืองหลวง ดังนั้นไม่เพียงแต่จะตั้งทัพใหญ่ ยังต้องระวังอำเภอรอบๆ ให้แน่นหนาอีกด้วย
ที่นี่เป็นประตูออกสู่ทุ่งหญ้านอกด่านของเมืองหลวง การป้องกันแน่นหนา ทุกสามถึงห้าวัน สำนักอาชาหลวงกับกรมหทารก็จะส่งขุนนางมาตรวจตรารอบหนึ่ง เบี้ยหวัดและเสบียงที่นี่ก็ต่างจากที่อื่น หักเก็บน้อยมาก
แต่แม้จะหักเก็บน้อย หากกองกำลังที่มี่อวิ๋นกับที่แม่น้ำเฉาเหอสองกองกำลังนี้กลับขึ้นชื่อว่าเป็นงานยากลำบากที่สุด เพราะที่นี่ถูกจับตาดูแน่นหนา การค้านอกด่านจึงเป็นเรื่องยากที่จะทำได้
พวกขันทีและกรมทหารที่มาไม่ได้ประโยชน์อันใด ดังนั้นจึงไม่อนุญาตให้มี่อวิ๋นทำการค้าอันนี้ หากถูกจับได้ก็จะลงโทษฐาน ‘สมคบคิดมองโกล’
ไปๆ มาๆ เช่นนี้ กองกำลังมี่อวิ๋นก็ได้แต่อาศัยเบี้ยหวัดและรายได้จากการเพาะปลูก ย่อมยากจนอย่างมาก แต่อำเภอมี่อวิ๋นนั้นกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
แม่น้ำเฉาเหอและทังเหอสบกันที่นี่ ดังนั้นจึงมีแหล่งน้ำสมบูรณ์ ที่นาจึงเป็นที่นาดี เก็บเกี่ยวได้ไม่เลว ชาวบ้านก็ย่อมร่ำรวยกันมาก
และเพราะว่าอำเภอมี่อวิ๋นอุดมสมบูรณ์เพียงนี้ พ่อค้าจากร้านสามธารามาที่นี่กันก่อนก็ย่อมซื้อหาสินค้าที่ทางกองกำลังหวังทงต้องการใช้ได้อย่างเพียงพอ
กองกำลังยากจน หากอำเภอมี่อวิ๋นกลับอุดมสมบูรณ์ สองฝ่ายจึงขัดแย้งกันไม่น้อย ชาวบ้านที่มี่อวิ๋นจึงไม่ค่อยรู้สึกดีกับกองกำลังทหารสักเท่าไร ตอนหวังทงนำกองกำลังมาถึง ประตูเมืองปิดแน่น นายอำเภอแค่ส่งเจ้าหน้าที่มาดูแลคนเดียว ท่าทีก็เย็นชาอย่างยิ่ง
ระเบียบกองกำลังหู่เวยไม่อนุญาตให้เข้าเมืองโดยพลการ หากเป็นชาวบ้านยังพอเข้าใจได้ แต่กองกำลังหู่เวยมาอย่างเป็นระเบียบ ถูกมองเป็นโจรร้ายต้องป้องกันเช่นนี้ ผู้ใดจะทนได้
**********
“บัดซบจริงๆ เราจะจ่ายเงินซื้อสัตว์เลี้ยงพวกมัน พวกมันไม่ขาย สุดท้ายควักเงินออกมา เพิ่มให้สองเท่า พวกมันจึงยอมขาย อยากจะเอาแส้ฟาดหน้าพวกมันจริงๆ”
หม่าซานเปียวคำรามเสียงดังอยู่ในกระโจมที่พักอย่างไม่สนใจเจ้าหน้าที่อำเภอมี่อวิ๋นส่งมาที่ตอนนี้อยู่ในกระโจมด้วย หวังทงหรี่ตามองเจ้าหน้าที่ผู้นั้นกำลังมีสีหน้าบัดเดี๋ยวแดงบัดเดี๋ยวซีดเผือด หากยิ้มกล่าวว่า
“เมื่อก่อนกองกกำลังเราก็เคยบีบเอาจากพวกราษฎรได้ ราษฎรพวกนี้ไม่เคยเห็นโลกกว้าง พอเห็นทัพใหญ่มาก็กลัวกันไปก่อน พากันไปแอบซ่อน ใต้เท้าเราเตือนไปหลายคราก็ไร้ประโยชน์ ขอใต้เท้าโปรดอภัย”
หวังทงส่ายหน้า หันไปกระซิบทหารข้างกายคนหนึ่ง ไม่นานทหารผู้นั้นก็นำถาดไม้เข้ามา ด้านบนมีเงินก้อนอยู่ 10 ก้อน
“เจ้ามาคอยติดตามพวกข้าไปนั่นมานี่ก็ลำบากไม่น้อย เอาเงินนี่ไปหาน้ำชาดื่มก็แล้วกัน!”
ค่าดื่มชานั้นไม่กี่สิบอีแปะ เงินก้อน 10 ก้อนนี้ดูแล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยตำลึง เจ้าหน้าที่ผู้นั้นอึ้งไปก่อนจะยิ้มกว้าง
ทหารกองอื่นผ่านมาทางนี้ อำเภอต้องออกเงิน แต่กองกำลังฝ่ายในกองนี้ผ่านชายแดนกลับมีเงินก้อนโตมอบให้ คิดไม่ถึงจริงๆ หวังทงยิ้มกล่าวต่อว่า
“ทางนี้เส้นทางยากลำบาก คนและสัตว์เราบาดเจ็บไม่น้อย ต้องซื้อหามาเพิ่มระหว่างทาง คิดไม่ถึงว่าจะยากเช่นนี้ เจ้าช่วยเราหน่อย ทหารข้าไม่เอาเปรียบแน่นอน ทุกสิ่งใช้เงินซื้อ”
พอรับเงินไป เจ้าหน้าที่ผู้นั้นก็ดูจะนอบน้อมลงอีกมาก รีบกล่าวติดๆ กันว่า
“จัดการได้ๆ ขอใต้เท้าหวังวางใจ ข้าจะต้องจัดการเรื่องนีได้เรียบร้อยอย่างแน่นอน”
“หากซื้อหาสัตว์เลี้ยงม้าวัวมาได้หนึ่งตัว เจ้าก็จะได้รับเพิ่มตัวละ 500 อีแปะ”
หวังทงกล่าวด้วยรอยยิ้ม เจ้าหน้าที่ผู้นั้นรีบพยักหน้า มองไม่เห็นรอยยิ้มในแววตาอีกแล้ว กล่าวอย่างจริงจังว่า
“ทัพใหญ่ผ่านชายแดน ประสบปัญหามากมาย ช่างน่าละอายใจยิ่ง ข้าน้อยจะไปจัดการทุกเรื่องให้ทันที จะให้คำตอบใต้เท้าให้เร็วที่สุด ข้าน้อยขอตัวก่อน หากมีสิ่งใดที่ต้องการเพิ่มเติม ก็ขอให้แจ้งให้ทราบได้ทันที”
เห็นเจ้าหน้าที่พยักหน้าก้มคำนับออกจากกระโจมไปแล้ว หม่าซานเปียวก็ถ่มน้ำลายตามหลังไป ก่นด่าไปหลายคำ นายทหารรอบๆ ต่างมีสีหน้าไม่ดีนัก
พอผ่านด่านกู่เป่ยโข่วมา เป็นพื้นที่ไม่ไกลจากเมืองหลวงนัก หากไม่ทำเส้นทางให้เดินทางสะดวก เพราะพวกทหารมองโกลอาจปูพรมไล่ตีลงมาได้ ดังนั้นพอผ่านจากเส้นทางหลวงตอนเหนือมาแล้วเส้นทางจึงค่อนข้างยากลำบาก ยังดีที่เป็นช่วงหน้าหนาว น้ำในแม่น้ำเป็นน้ำแข็งหนาหลายชั้น พอเดินได้ แต่ทำให้ม้าและวัวที่ลากรถมาของหวังทงบาดเจ็บไม่น้อย
ออกไปทางเหนือของมี่อวิ๋น ก็มีแต่ไปถึงปากทางนั้นจึงจะมีบ้านคน จึงได้แต่ต้องเติมกำลังที่นี่ก่อนจึงจะเดินทางต่อได้ คิดไม่ถึงว่าจะหายากเพียงนี้
“ใต้เท้า วินัยกองกำลังเราเข้มงวด พวกในพื้นที่เลยคิดว่าจะรังแกเราง่ายๆ ในเมื่อไม่รู้จักดี เมื่อก่อนตอนอยู่เมืองหลวง เห็นสัตว์เลี้ยงในพื้นที่ใดเข้าตา ก็แค่บอกว่าจะเอาก็เอาไปเลย ผู้ใดกล้าปฏิเสธกัน!”
ผู้กล่าววาจานี้ก็คือซุนซิง เขาที่เก็บปากเก็บคำมาแต่ไหนแต่ไรถึงกับกล่าวออกมาด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว หลายวันนี้เขาติดตามหม่าซานเปียวไปหาซื้อม้าวัวมาเพิ่ม รองรับอารมณ์มาไม่น้อย ตุ๊กตาดินปั้นก็เกิดโทสะเป็นเหมือนกัน
“วินัยจำต้องเข้มงวด กองกำลังหู่เวยไม่เหมือนกองกำลังอื่น มีอันใดพลาดเล็กน้อยก็จะถูกพวกในราชสำนักฟื้นฝอยมาเล่นงานได้ ไม่อาจเปิดโอกาสให้พวกเขาเช่นนั้นได้”
ผู้ที่กล่าววาจานี้ก็คือถานเจียง แม้ว่าเป็นพ่อบ้านหวังทง แต่ในสายตาลูกน้องหวังทงแล้วถือว่ามีอาวุโส ดังนั้นทุกคนจึงไม่กล้าล่วงเกิน พอกล่าวจบ ซุนซิงก็เงียบลง หวังทงกอดอกกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“สวีกว่างกั๋วนำเงินไปเมืองหลวงแล้ว ดูว่าเขาจะจัดการได้อย่างไรบ้าง?”
หม่าซานเปียวกำลังโหวกเหวกด่าทอขุนนางที่เพิ่งออกไป ตอนนี้ก็นั่งลง กล่าวต่อว่า
“ใต้เท้า สวีกว่างกั๋วผู้นี้ ข้าน้อยเห็นแล้วไม่ชอบใจเลย ก็แค่เอาเงินไปหาพวก ผู้ใดทำไม่ได้กัน ข้าน้อยว่าท่านหยางก็ไม่เลว ไยต้องเอาประโยชน์ให้คนนอกด้วยเล่า!”
วันนั้นสวีกว่างกั๋วตั้งด่านที่ชางโจว หม่าซานเปียวเป็นนำพลม้าไปสู้ ย่อมไม่รู้ดีอันใดกับสวีกว่างกั๋ว เขาพูดต่อหน้าหวังทงอย่างไม่สนใจอันใด หากไม่มีผู้ใดออกมาเห็นด้วยกับเขา
หม่าซานเปียวกล่าวเช่นนี้ ในห้องทุกคนก็มองไปที่หวังทง ทุกคนก็ไม่ได้รู้สึกดีอันใดกับสวีกว่างกั๋ว แต่ย่อมไม่สงสัยในคำสั่งการของหวังทง แต่ในใจก็ยากที่จะรู้สึกไม่พอใจ
“ท่านหยางผู้นี้ พวกเจ้าก็เคยคบหามา เขาเป็นคนทำงานตรงไปตรงมา คนคุณธรรมระดับนี้ ให้เขาไปเมืองหลวงอ่อนน้อมเสียงอ่อนแย้มยิ้มส่งมอบเงิน เจ้าคิดว่าเขาจะทำไหม? เจ้าคิดว่าผู้ใดจะทำได้อีก?”
หวังทงยิ้มกล่าวขึ้น ทุกคนมองหน้ากันไปมา ต่างก็ก้มหน้าลง หวังทงกล่าวต่อว่า
“การมอบเงินให้ผู้อื่น และไม่อาจให้รู้สึกว่าเป็นเงินรางวัลจากเรา ต้องให้ผู้อื่นรู้สึกว่าเป็นการชื่นชมในความสามารถของเขา แสดงความจริงใจ ต้องกล่าววาจาให้เหมาะสม ให้ผู้อื่นรับเงินไปแล้ว ในใจไม่รู้สึกตะขิดตะขวง พวกเจ้าผู้ใดทำได้กัน?”
ทุกคนต่างเงียบกริบ หม่าซานเปียวถลึงตาโตกล่าวอย่างไร้เหตุผลว่า
“ให้รางวัล ชื่นชม อย่างไรก็เงินให้พวกเขา เหตุใดจึงต้องมากเรื่องเช่นนั้น เหตุใดมอบเงินให้ยังต้องระวังว่าจะทำให้ผู้อื่นไม่พอใจอีก……”
“นายท่านกล่าวเช่นนี้ ข้าน้อยกลับคิดถึงเมื่อก่อนใต้เท้าถานยังอยู่ ก็มีคนเข้าออกไม่น้อย บางครั้งก็ได้คุยกับพ่อบ้านในจวน เห็นว่าล้วนเป็นขุนนางบุ๋นบู๊ในพื้นที่ ต้องคอยหาเส้นสายในเมืองหลวง มักมีขุนนางในพื้นที่ต่างๆ และแต่ละหน่วยงานไปมาหาสู่กัน เจ้านายพวกเขาอยู่นอกเมืองหลวง ก็ต้องอาศัยพวกเขาเหล่านี้คอยเปิดทางในเมืองหลวง รักษาประโยชน์ตน”
หวังทงไม่กล่าวอันใด ถานเจียงรับคำกล่าวต่อว่า ในห้องขุนพลถานหลายคนพากันพยักหน้า หวังทงยิ้มกล่าวว่า
“แม้สวีกว่างกั๋วทำงานนี้ไม่ได้ผลนัก แต่ก็ต้องหาคนมาช่วยได้ พวกเราเมื่อก่อนละเลยเรื่องนี้ไปหน่อย”
วงการค้าในโลกก่อนไม่ค่อยเข้าใจเรื่องพวกนัก แต่จะว่าไป ‘ประจำเมืองหลวง’ ชื่อหน่วยงานแบบนี้เหมือนพอจะได้ยินมาบ้าง หน่วยงานนี้ไว้ทำอันใด ก็พอเข้าใจบ้างแล้ว
อดีตและปัจจุบันย่อมมีความเชื่อมโยง ไม่จัดการก็ย่อมนำความยุ่งยากมาสู่ แต่วาจานี้ หวังทงไม่ได้กล่าวออกมา
**************
“ใต้เท้า ฟ้าใกล้มืดแล้ว รองหัวหน้าหน่วยรบที่ 2 ลี่เทามีแขกมาขอพบ บอกว่าเป็นคนของตระกูลลี่จากเมืองเซวียนฝู่”
“ในสายตาตระกูลลี่ ลี่เทายังเป็นเด็ก ย่อมรู้สึกปล่อยวางไม่ลง”
ได้ยินเสียงทหารรายงาน หวังทงยิ้มส่ายหน้ากล่าวขึ้น
คิดใม่ถึงว่าพอหลังอาหารค่ำ หวังทงเดินตรวจตราเสร็จ ทุกคนเตรียมพักผ่อนกันอยู่ ก็มีเสียงทหารรายงานจากด้านนอกมาว่า ลี่เทาขอพบ
“พี่หวัง ที่บ้านส่งข่าวมา ครั้งนี้ออกนอกด่าน กรมหทารบอกว่าสามกองกำลังจากสามเส้นทางมาร่วมกันรบ แต่จริงๆ แล้วเป็นพวกเราที่ออกไปก่อน แม่ทัพหลี่แห่งเซวียนฝู่กับแม่ทัพชีที่จี้โจวล้วนรอข่าวจากทางนี้ พวกเราออกนอกด่านแล้ว ทางนั้นจึงจะเคลื่อนทัพ!”
เห็นสีหน้าหวังทงเคร่งเครียดแต่ไม่ได้ตกใจอันใด ลี่เทาเองที่รู้สึกร้อนใจอยู่บ้างกล่าวว่า
“พี่หวัง นี่มันใช้เราเป็นเหยื่อล่อ เมื่อครู่บิดาข้าส่งข่าวมาที่จี้โจวยังตั้งใจปล่อยข่าวออกไปบนทุ่งหญ้า ไม่ได้บอกว่าสามเส้นทางประสานกำลัง บอกแค่ว่าพวกเราออกไปซ้อมรบ พวกกบฏเผ่าอันต๋ากำลังรอชำระแค้นกับพวกเราที่พวกเราออกนอกด่านจางเจียโข่วไปสังหารพลม้ามองโกลหลายพัน ได้ยินข่าวนี้แล้ว ย่อมประสานกำลังกันมาโจมตีเรา”
ไม่เรียกว่าใต้เท้า หากเรียกว่าพี่หวัง ก็เหมือนว่าคุยกันส่วนตัว หวังทงสีหน้าเรียบเฉย ถามกลับว่า
“บิดาเจ้าว่าอย่างไร!?”
“มี่อวิ๋นทางนั้นห่างจากเมืองหลวงก็ราวม้าเร็วสามวัน บิดาข้าว่าพี่หวังชะลอสักสองวัน รีบส่งคนไปเมืองหลวงถวายฎีกาให้ทรงออกหน้าให้ความเป็นธรรม!”