Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 504

ตอนที่ 504 พลม้ามองโกลเข้าก่อกวน

ครั้งก่อนคนงานชายฉกรรจ์ชาวบ้านที่ติดตามทัพใหญ่ออกรบบนทุ่งหญ้าราวพันคน พวกเขาก็มีบาดเจ็บเสียชีวิตไปราวสิบกว่าคน พอกลับถึงเทียนจิน ทุกคนล้วนได้บำเหน็จที่ไม่เลว

คนเมื่อประสบกลิ่นคาวโลหิตและการฆ่าฟัน ย่อมเปลี่ยนไปจากเดิม ไม่กล่าวถึงว่าพวกร้านรถม้าตอนเหนือหรือร้านสินค้าที่เทียนจินต้องการตัว เพราะแม้แต่กองกำลังหู่เวยเองก็คัดเลือกจำนวนหนึ่งเติมเข้าไว้ในหน่วยสนับสนุนกองทัพ

ในนั้นหากมีโดดเด่นหน่อยก็จะได้บรรจุเป็นหน่วยลาดตระเวนริมคลองส่งน้ำและแม่น้ำทะเล แม้ว่าไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่ภาษี แต่ก็นับได้ว่าใกล้เคียงขุนนางมีตำแหน่ง สถานะและรายได้ไม่เลว พวกที่ไม่อยากทำงานแล้วก็ให้อยู่กับพวกนาวาสุคนธ์ที่มีหน้าที่รักษาความสงบหรือหน่วยรักษาความปลอดภัย

คนนับพันเป็นที่ต้องการของหลายแห่ง แบ่งไปมาก็หมด ครั้งนี้ที่ติดตามมาด้วยก็มีราวพันห้าร้อยคน นอกจากหัวหน้าหลายสิบคนที่มาครั้งก่อนแล้ว ที่เหลือเป็นคนใหม่ทั้งสิ้น

ชายฉกรรจ์ชาวบ้านเหล่านี้ออกไปทุ่งหญ้าก็ย่อมหวาดหวั่น กองกำลังหู่เวยอยู่ข้างกาย รู้สึกว่าชายเหล่านี้นอกจากสงบปากสงบคำดีแล้ว ก็ไม่เห็นมีอันใดน่าแปลก ได้ยินว่าพวกมองโกลบนทุ่งหญ้าราวกับหมาป่าและพยัคฆ์ เรื่องเล่าลือนี้ไม่รู้ได้ยินมามากเท่าไร

ตอนกลางวันเกิดเพลิงไหม้ ชายเหล่านี้พากันอลหม่าน มีบางคนคิดหนี มีบางคนสติแตก ดีที่หัวหน้าเขายังนับว่ามีประสบการณ์ หยิบแส้กับไม้พลองตีเอาฟาดเอาอย่างแรง ทหารตะโกนอย่างดุเดือด ผู้ใดโหวกเหวกก็จะตัดหัวทิ้งทันที จึงได้รักษาสถานการณ์สงบไว้ได้ ไม่มีความวุ่นวายใหญ่อันใด

ที่แท้ยามนั้นพวกที่คิดหนีไม่มีทางหนี สี่ด้านล้อมด้วยเปลวเพลิง วิ่งเข้าไปก็ย่อมถูกเผาตาย ข้างหน้าไม่มีเปลวเพลิง แต่มีการเข่นฆ่าสังหาร วิ่งไปใช่ว่ารนหาที่หรอกหรือ

หมอบอยู่กับที่ไม่รู้นานเท่าไร สี่ด้านเงียบลง ก็ได้ยินเสียงหัวหน้าร้องตะโกน ที่แท้รบชนะ จึงได้พากันลุกขึ้นด้วยใจที่ยังคงหวาดหวั่น

ว่ากันว่าตัดหัวมองโกลได้ร้อยหัว แต่ดูอย่างไรก็ไม่เหมือน เหตุใดสีหน้าของพวกทหารกองกำลังหู่เวยจึงได้นิ่งสงบเช่นนี้ ไม่เห็นร่องรอยยินดี ไม่เหมือนกับรบชนะมา

แต่กองซากศพและม้าด้านนอก ล้วนเห็นกันอยู่ มือสั่นใจสั่นก็ต้องเก็บงำให้ดี หันไปถามหัวหน้าว่าเหตุใดรบชนะแล้วจึงดูไม่ออกว่ายินดี ถูกหัวหน้าด่ากลับมาว่า

“เจ้าคิดว่าทัพเราพอใจน้อยนิดเหมือนเจ้าหรือ แค่ร้อยกว่าหัวพวกนี้มันไม่เท่าไรหรอก! ต้นปีข้าติดตามทัพใหญ่ออกไปนอกด่าน ครั้งนั้นได้มาหลายพันหัว จึงเรียกว่าชัยชนะยิ่งใหญ่!”

ได้ยินแล้วก็พากันอ้าปากค้าง ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง เมื่อก่อนเคยได้ยินเสียงประกาศหน้าศาลในเมืองว่า ชัยชนะใหญ่ก็ตัดมาได้แค่ร้อยสองร้อยหัวเท่านั้น กองกำลังนี่ถึงกับได้มาหลายพันหัวเลยเชียว

พอตกค่ำก็เริ่มดีใจกัน ใช้รถใหญ่ล้อมเป็นค่ายพัก ด้านในตั้งหม้อใหญ่ อย่าเห็นว่ากลางวันนั้นเผาไปหมดแล้ว เพราะเดินออกไปไกลอีกหน่อยก็มีหญ้าแห้งอีกมากมาย แม่น้ำเฉาเหอที่แข็งเป็นน้ำแข็งถูกทุบเอาน้ำแข็งมาใส่หม้อ ใช้เนื้อม้าที่หั่นแล้วลงไปในหม้อต้ม ไม่นานกลิ่นก็หอมอบอวล

บนทุ่งหญ้าหนาวเหน็บ เดินทางย่อมยากลำบาก แต่พอได้กลิ่นหอมของซุปเนื้อ ก็ทำให้รู้สึกดีใจอย่างมาก แผ่นแป้งที่ทำจากธัญพืชต่างๆ น้ำซุปร้อนๆ มีเนื้อชิ้นใหญ่ๆ ทำให้บรรดาชายฉกรรจ์ชาวบ้านติดตามขบวนทัพกินกันเอร็ดอร่อยอย่างมาก เทียนจินและพื้นที่โดยรอบแม้ว่าหลายปีนี้จะมีชีวิตที่ดี แต่การได้กินเนื้อนับเป็นเรื่องใหญ่อยู่ คิดไม่ถึงว่าจะได้มากินที่นี่กันจนหนำใจ

บรรดาชายฉกรรจ์กินกันอย่างมีความสุข บรรดาทหารกินกันอย่างเป็นระเบียบ เพราะกองกำลังหู่เวยมีเงิน มีอาวุธและเงินทองให้อย่างพอเพียง แม้ว่าอากาศหนาว แต่นั่งอยู่รอบกองไฟกินอาหารร้อนๆ ก็นับว่าไม่เลว และพอตกดึก ก็ดับไฟ แต่ความร้อนระอุในพื้นดินยังคงเพียงพอสำหรับการนอน นอนได้หลับอบอุ่นยิ่ง

บรรดาชายฉกรรจ์ บรรดาทหารกินเนื้อม้ากัน แต่พวกหวังทงกินเนื้อกวาง ย่างไฟมาหอมกรุ่น ทหารที่ส่งออกไปเก็บกวาดสี่ทิศ เห็นมีกวางถูกเผาตายอยู่ บนทุ่งหญ้ามีกวางมาก พอไฟเผาไหม้ ในเวลากระชั้นชิดย่อมหนีไม่ทัน ถูกเผาตายในกองเพลิง

แต่อย่างมาก็แค่หนังไหม้เท่านั้น เนื้อยังดี เอามาจัดการหั่นลงหม้อต้ม ตอนนำน้ำแข็งในแม่น้ำมาต้มยังติดปลามาด้วยอีกหลายตัว จัดการปลาสะอาดก็โยนลงหม้อต้ม น้ำซุปก็ย่อมหวานหอม ได้กินก็ล้วนยินดีปรีดา

“จัดเวรยามไว้สองคน ให้พวกเขาได้นอนบนรถม้าพรุ่งนี้ คืนนี้กวางที่เหลือให้ต้มให้หมด ให้ทหารเฝ้าเวรได้กินให้อุ่นกาย!”

ในยามปกติถานเจียงเป็นพ่อบ้านของหวังทง แต่ในยามรบเป็นหัวหน้าคุมทหารอารักขา ทหารได้ยินเช่นนี้ ก็รีบรับคำ ถานกงข้างๆ ดื่มซุปไปคำหนึ่งก็กล่าวว่า

“ก่อนฟ้ามืดออกไปตระเวนก่อน พวกมองโกลก่อไฟห่างจากพวกเราราวห้าร้อยก้าว พวกเขาย่อมเก็บกวาดพื้นที่ของคนไว้ผืนหนึ่งเช่นกัน เพื่อกันไฟลาม ครั้งนี้พลม้าอย่างมากก็มากันแค่สี่ร้อย ก็แค่มาก่อกวนเท่านั้น”

หวังทงพยักหน้า จับตามองเปลวเพลิง ก่อนจะกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า

“ดูท่าข่าวที่ปล่อยออกไปไปสู่ทุ่งหญ้าแล้ว พวกเขาต้องพยายามทำให้พวกเราเดินทางได้ช้าลง เพื่อให้เสบียงหมด จากนั้นคนก็จะหวาดกลัว จึงค่อยลงมือโจมตี”

ถานเจียงเติมมัดฟางใส่กองไฟ ส่ายหน้ากล่าวว่า

“หากว่าพวกเราไม่ได้เตรียมการมา แม้ว่าต้านทานไฟได้ แต่ก็ต้องถูกพวกมองโกลสังหาร พลม้าหลายร้อยกับทหารราบหลายพัน ตอนบ่ายที่ผ่านมาพวกเราคงได้ถูกสังหารไปหมดแล้ว”

ได้ยินเสียงหมาป่าร้องดังมาจากที่ไกลๆ ทุกคนเงียบลงครู่หนึ่ง หม่าซานเปียวถือน่องแพะกัดกินอย่างเอร็ดอร่อย โยนกระดูกทิ้ง กล่าวสบถหยาบคายขึ้นว่า

“พวกมันพลม้าหลายร้อย พวกเราก็หลายร้อย รู้อย่างนี้ตามไปล่าสังหารมารดามันให้สิ้นซากดีกว่า”

หวังทงหัวเราะดังขึ้น กล่าวอย่างอารมณ์ดีว่า

“พวกเรารบบนหลังม้ากับพวกมองโกลบนทุ่งหญ้า ไม่ใช่ว่าเข้าทางพวกมันหรอกหรือ พวกมันปะทะค่ายรถศึกเราจนบาดเจ็บหลั่งโลหิตกันไป นั่นจึงเข้าทางเรา ผ่านบ่ายวันนี้ไป พวกมองโกลหากจะยังมาก่อกวนเราอีก ก็จะต้องไปรอตอนเหนือขึ้นไปอีก คืนนี้เจ้าพักผ่อนให้เร็วหน่อย พรุ่งนี้ออกเดินทางตามที่กำนหดไว้!”

หม่าซานเปียวดื่มซุปแพะเข้าไปอึกใหญ่เสร็จ ก็เช็ดปาก กล่าวอย่างตรงๆ ไม่อ้อมค้อมว่า

“ใต้เท้า ข้าน้อยกับพลม้าหลายร้อย กำลังกองนี้หากจากไปเช่นนี้ จะส่งผลอันใดหรือไม่”

หวังทงกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า

“เจ้าจัดการเรื่องที่มอบหมายให้ดี ก็เป็นผลดีอย่างใหญ่หลวงต่อกองกำลังหู่เวยเราแล้ว เหลือพลม้าไว้ 50 เป็นหน่วยลาดตระเวนข่าวก็พอแล้ว ซานเปียว ข้าถามเจ้าอีกคำหนึ่ง เรื่องนี้เสร็จแล้วบางทีอาจมีโทษทัณฑ์มาสู่ เจ้าต้องคิดให้ดี!”

หม่าซานเปียวตบอก ตอบหนักแน่นว่า

“แม่ข้าบอกว่า บ้านเราเดิมก็แค่ชาวบ้านเล็กๆ เลี้ยงวัวเลี้ยงม้า เห็นเจ้าหน้าที่ยังต้องก้มหัวให้ ตอนนี้มีคนเรียกว่า นายท่าน ได้มีชีวิตสุขสบาย เป็นเพราะบุณคุณใต้เท้าหวัง ชีวิตนี้เป็นของนายท่านนานแล้ว ยังมีอันใดไม่กล้ากระทำอีกเล่า”

หวังทงพยักหน้า ไม่กล่าวอันใด ยกชามซุปในมือขึ้น หม่าซานเปียวสองมือยกชามซุปขึ้นก่อนจะเงยหน้าเทพรวดทีเดียวลงคอ ท่าทางราวกับดื่มสุรา

การเตรียมการเข้มในคืนนี้ แต่ละค่ายผลัดเวรกัน กองปืนไฟสองกองกำลังกับปืนใหญ่ครึ่งกองรอรับคำสั่งอยู่ตลอดเวลา ทว่ากลางคืนมืดมิด ทหารหมิงมองไม่เห็นทาง พวกมองโกลก็ย่อมไม่เห็นเช่นกัน และยามกลางวันวางเพลิงใหญ่ทำให้หญ้ารอบๆ ถูกเผาเกลี้ยง ท่ามกลางแสงดาวและแสงจันทร์ ก็ไม่อาจมีที่กำบังสายตา คิดจะลอบโจมตีก็ยาก

คืนนี้ผ่านไปได้อย่างไร้กังวล

*************

วันรุ่งขึ้นกำลังใกล้จะฟ้าสาง บริเวณที่พักแรมทัพม้าก็เริ่มมีเสียงดัง รอทุกคนตื่นแล้ว ก็เห็นว่าพวกพลม้าน้อยกว่าเมื่อวานมาก เหลือไว้แค่ไม่กี่สิบเท่านั้น ทุกคนก็งง แต่เห็นนายทหารระดับหัวหน้านิ่งเฉย จึงไม่รู้สึกกังวลอันใด

แต่การเดินทัพครานี้มีการเปลี่ยนแปลงต่างไปจากเมื่อวาน มีรถใหญ่สามคันเรียงแถวเคลื่อนไป ด้านหลังเรียงต่อไปอีก รูปร่างเป็นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าพอดี พวกที่พอรู้เรื่องการทหารก็จะมองออกว่า ทัพรถได้ก่อเป็นกำแพงไม้ที่เคลื่อนไหวได้ หากประสบเหตุก็จะหยุดทันที และสามารถตั้งค่ายรับได้อย่างรวดเร็วที่สุด

ฟ้าสว่างจุดไฟหุงหาอาหาร จัดการเก็บของเตรียมเดินทาง พระอาทิตย์ขึ้นสูงแล้ว รอบๆ ราบเรียบกว่าเมื่อวานมาก บางทีการวางเพลิงเมื่อวานไม่ได้ประโยชน์ใด หากยังเสียเปรียบ วันนี้แม้ว่ารถใหญ่แต่ละแห่งจะมีคนขึ้นไปยืนมองระยะไกล แต่ก็ไม่เห็นกลุ่มควันไฟอันใด

พระอาทิตย์สูงมากแล้ว แม้ว่ามีลม แต่แสงแดดสาดส่อง ก็ทำให้อบอุ่นขึ้นบ้าง พวกชายฉกรรจ์ชาวบ้านและพลทหารล้วนรู้สึกทนหนาวแทบไม่ไหว แต่เมื่อวานที่ได้กินเนื้อแพะและเนื้อม้าไปเต็มอิ่ม ท้องมีอาหาร ก็ย่อมทานทนไหว

ตอนเหนือเป็นต้นลม เมื่อวานตอนจุดไฟเปลวก็พัดลงใต้ หญ้าแห้งตอนเหนือไม่ได้ถูกเผาไปด้วย มองไปไกลๆ ยังเห็นทิวขาวๆ คิดว่าน่าจะมีหิมะเคยตกมาก่อนหน้านี้

กำลังเดินทัพอยู่นั้น อยู่ๆ ก็มีพลทหารตะโกนดังว่า

“พวกมองโกล!!”

คนรถรีบตะโกนให้หยุด พอมองไปทางขวาราวหนึ่งร้อยก้าว เห็นพลม้าหลายสิบโผล่พ้นจากพงหญ้า โดดลงจากหลังม้า ก็ตะโกนเสียงดังให้ม้าวิ่งออกไปไกลๆ

จากค่ายรถสามารถมองเห็นได้ว่าคนพวกนี้ไม่ได้วิ่งมาไกลเท่าไร หากโดดลงจากหลังม้ามาก็มองไม่เห็น พวกมองโกลสวมชุดสีเหลืองเข้ากับสีดิน พวกม้ามองโกลเดิมก็ไม่สูง และลมยังไม่พัดแรง พวกเขาสามารถแฝงตัวในพุ่มหญ้าได้ ยากที่จะพบร่องรอยได้จริงๆ

ไม่ได้เห็นกันเต็มๆ แต่ทัพใหญ่ก็หยุด หากพอมองไม่เห็นผู้ใด จึงได้ออกคำสั่งให้เดินหน้าต่อ กองทัพเริ่มเดินหน้าต่อ

เดินไปได้ไม่ไกล ทางด้านขวาก็มีหัวคนโผล่ออกมา ทหารบนรถก็ตะโกนเตือน ทางนี้ครานี้ห่างออกไปราวหลายสิบก้าว ก็มีคนโดดขึ้นม้าน้าวธนูพร้อม

ธนูหลายสิบพุ่งมา บรรดานายทหารตะโกนให้หลบ แต่ก็ยังมีคนสองคนวิ่งไม่ทัน ถูกยิงเข้าที่แขนและบ่า ส่งเสียงร้องดังโหยหวน แต่พอพลธนูและพลปืนกองกำลังหู่เวยพร้อม พวกมองโกลนั่นก็หนีไปอย่างไร้ร่องรอยเสียแล้ว

การก่อกวนเช่นนี้ บาดเจ็บไม่มาก แต่ส่งผลต่อการเดินทัพของทัพใหญ่ให้ช้าลงอย่างมาก การก่อกวนเช่นนี้ ทำลายขวัญทหาร หวังทงสีหน้าดำคล้ำ ออกคำสั่งเสียงเยียบเย็นว่า

“ตั้งหอสังเกตการณ์บนรถ!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!