Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 515

ตอนที่ 515 บาดเจ็บล้มตายอีกครั้ง ชนะหากยังต้องสู้ตาย

หากว่าเป็นคนที่อื่น 10 ตำลึงกับชีวิตก็ย่อมเลือกชีวิตอย่างทันที แต่ที่มี่อวิ๋นกันดารแห่งนี้ มองโกลมาโจมตีย่อมไม่มี มีแต่มาก่อกวนประจำเท่านั้น กินแค่เบี้ยหวัดที่นี่ ไม่รู้ว่าเมื่อใดจึงจะได้สละชีพ ณ ปากทางด่านหรือบนกำแพงเมือง

ทางไหนก็ตาย ทางนี้ติดตามไปช่วย เป็นตายไม่รู้ แต่เงิน 10 ตำลึงวาววับตรงหน้าคว้าได้ และยังเป็นเงินก้อนแท้ๆ

พ่อค้าที่มามี่อวิ๋นไม่รู้ว่าติดค้างอันใดกับกองกำลังจากราชสำนักกองนี้ ถึงกับลากรถม้าออกมา บนรถมีก้อนเงินวาววับเปิดออกให้เห็นกันชัดเจน

เห็นก้อนเงินพวกนี้แล้ว คนที่คิดอยากได้ก็มากขึ้นทันที พวกที่ไร้ครอบครัวตัวคนเดียวก็จูงม้ามาบอกว่าจะตามไปด้วย ได้รับมอบเงินกันสดๆ ตรงนั้น

ทางนี้ก็เริ่มรุมกันเข้ามาอย่างเร็ว คนที่ถืออาวุธมาด้วยกันก็รีบหันหลังวิ่งกลับไป พวกที่มีม้าก็รีบกลับบ้านไปจูงม้ามา ที่ไม่มีก็คิดหาทางไปหยิบยืมสักตัว พวกที่ไม่มีม้าและหยิบยืมไม่ได้ได้แต่คอตกกันไป

พอตกบ่ายกำลังจะออกเดินทาง ยามนี้มีทหารม้ารวมแล้วแล้วพันกว่า ทุกคนนำอาหารแห้งติดตัวไปด้วย ทหารราชสำนักกลุ่มนี้ก็ใจกว้าง ถึงกับจ้างรถพ่อค้าติดตามไปด้วย เดินทางกันหนึ่งวันหนึ่งคืน ยังทำกันวุ่นวายเช่นนี้เพื่อการใดกัน

ด่านกู่เป่ยโข่วเป็นปากทางที่เป็นหุบเขาและมีแม่น้ำเลียบ กองกำลังมี่อวิ๋นถูกหนีบอยู่ตรงกลาง ทหารม้าพันนายเดินทางออกไปก้ไปตามเส้นทางแม่น้ำในภูเขา พอฟ้ามืดน่ากลัวว่าคนต้องตั้งค่ายพักริมแม่น้ำในหุบเขา วันรุ่งขึ้นตอนเช้าก็สามารถถึงที่หมาย

************

“พวกมองโกลแบ่งเป็นสามเส้นทาง ครั้งนี้ไม่ใช่ล้อมโจมตี เดาว่าจะเหมือนดังที่ข้าเดา สองทางกดดันด้านข้าง กำลังหลักปะทะมาตรงกลาง!”

หวังทงบนหลังม้าจับตาการตั้งทัพของพวกมองโกลกล่าวขึ้น ทหารปืนใหญ่จัดการทิศทางได้เรียบร้อยแล้ว ทหารปืนไฟก็ถือปืนมายืนเรียงอยู่ด้านหน้าแล้ว

การรบตอนนี้ไม่รู้ว่าจะแพ้หรือชนะ สองฝ่ายต่างได้เปรียบเสียเปรียบ แต่สำหรับหวังทงแล้ว เขาได้ดึงพวกศัตรูให้อยู่ต่อได้แล้ว ยื้อไว้ได้อีกนานเท่าไร ก็ย่อมยิ่งได้ประโยชน์

พวกมองโกลทิ้งชีวิตไว้ที่นี่แล้วนับพัน แต่ยังไม่อาจทำลายกองกำลังหู่เวยได้ คิดจะหนีแต่ดูจากกองกลังหู่เวยที่เริ่มมีช่องโหว่ ลงแรงอีกคราก็ย่อมจัดการได้ หากกลับไปเช่นนี้ ไม่อาจทนรับได้จริงๆ และพวกเขายังคิดว่าหาวิธีจัดการกองกำลังหู่เวยได้แล้วด้วย

เห็นรถใหญ่ของกองกำลังหู่เวย ทหารทุกคนมีเกราะพร้อม อาวุธชั้นดีเช่นนี้ ก็รู้สึกว่าลงแรงเสียสละชีพทหารอีกสักหน่อยทะลายกองกำลังนี้นั้นคุ้มค่ายิ่ง สำหรับเหตุผลอื่น ไม่ใช่เรื่องที่กองกำลังหู่เวยจะสามารถคาดเดาได้

เสียงสัญญาณดังหวีดแหลมขึ้น เห็นสามทัพมองโกลเริ่มเคลื่อนทัพ หวังทงขี่ม้าไปด้านห้า วิ่งไปตะโกนไปว่า

“ปืนไฟจะต้องอยู่ในรัศมียิง อย่าได้ตกใจ หากละเมิดคำสั่งลงโทษทางวินัย!”

ทหารกองกำลังหู่เวยเผชิญกับการสู้รบนองเลือดและปืนเมื่อครู่ว่า ในยามนี้ก็ย่อมนิ่งสงบใจได้ไม่น้อย หวังทงขี่ม้าผ่านมา ทหารระดับหัวหน้าก็ทวนคำสั่งอีกรอบ ทหารทุกคนได้แต่ฟังอย่างนิ่งสงบ

พอวิ่งไปออกคำสั่งเสร็จ หวังทงก็โดดลงจากหลังม้าที่บริเวณที่ว่างระหว่างสองหน่วย รับทวนยาวจากทหารติดตามที่ส่งมาให้ ตะโกนดังว่า

“ทุกคน ข้าจะร่วมรบไปกับทุกคน!!”

ทหารที่รับคำสั่งในความสงบมาตลอด ยามนี้อยู่ก็เลือดในกายเดือดพล่าน แม่ทัพชูอาวุธในมือขึ้นอยู่แถวหน้า ร่วมเป็นร่วมตายกับตน สงครามสู้ตายนี้คุ้มค่าแล้ว

ถานปิงชูทวนยาวในมือขึ้นสูงพลางตะโกนดังว่า “สังหารพวกมองโกล!!” ทหารทุกคนก็ร้องตะโกนดังตามพร้อมกันว่า “สังหารพวกมองโกล!!” “สังหารพวกมองโกล!!”

*************

เทียบกับทหารราบที่เลือดในกายเดือดพล่านและฮึกเหิมสุดขีดแล้ว พลปืนไฟและพลปืนใหญ่ ไม่ว่าผู้ใดหากส่งเสียงดังโหวกเหวะ ก็จะถูกหัวหน้านายกองด่ายกใหญ่

พวกพลปืนใหญ่กำลังจับตามองกองทัพมองโกลที่ใกล้เข้ามา มุมยิงปรับทิศทางเสร็จเรียบร้อยแล้ว ศัตรูยังคงมุ่งหน้ามา อาจจะยิงธนูใส่เหมือนเดิมก็ได้ แต่ครั้งนี้พวกมองโกลไม่มาแบบแนวราบกว้างมาก แต่เหมือนว่ายาวออกไปแทน แต่สำหรับพลปืนใหญ่แล้ว ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะพวกเขาก็แค่ยิงปืนใหญ่ออกไปเท่านั้น

ม้ามองโกลวิ่งไปวิ่งมาไม่ได้พักผ่อนออมแรง ครั้งนี้มารวมกันเคลื่อนไหวอยู่ด้านหน้าจึงไม่ได้มีความเร็วเหมือนเมื่อก่อนหน้า และทหารม้าที่ส่งออกมายามนี้เมื่อคิดถึงปืนไฟหมิงแล้ว ก็ล้วนคิดจะออมแรงม้าไว้ก่อน เข้าสู่รัศมียิงปืนไฟพวกนั้นค่อยวิ่งให้สุดชีวิตก็ยังไม่สาย

‘ตูม!’ ‘ตูม!’ ดังเป็นจังหวะด้านห้า พวกมองโกลที่วิ่งอยู่แถวหน้าก็พยายามรักษารูปขบวนทัพเอาไว้ไม่ให้กระจัดกระจาย แต่เจ้าลูกโลหะกลมๆ แห่งความตายนั้นยังคงทำให้ทั้งแถวกลางเป็นเส้นทางโลหิตไหลนอง ทุกคนเริ่มควบม้าให้เร็ซ ไม่อาจถอยได้ เมื่อครู่หัวหน้าแม่ทัพทางนั้นได้สั่งการวิธีการรบมาแล้ว คนที่ถอยอาจถูกคนด้านหลังที่ตามมาสังหารและ สัตว์เลี้ยงและครอบครัวพวกเขาต้องถูกคนที่สังหารตนนั้นครอบครองไป ไม่สู้ตายในสงครามดีกว่า

ปืนใหญ่น้ำหนักกระสุน 5 ชั่งมีระยะยิงไกลยิงออกไป ก็เป็นเวลาของปืนใหญ่กระสุน 3 ชั่งอีกสองสามกระบอกกระหน่ำตาม ทุกลูกทียิงไปล้วนสังหารพวกมองโกลได้สิบกว่าคน แต่ความเร็วของทัพม้าก็บดบังซากศพทั้งหมดบนพื้นอย่างรวดเร็ว พวกที่แค่บาดเจ็บก็ล้วนถูกพวกเดียวกันเหยียบตายแทน

ถึงกับมีทหารด้านหลังถูกทหารด้านหน้าที่ล้มลงขัดขา แต่ก็ไม่มีผู้ใดคิดจะช่วยหรือหลบให้ ล้วนเร่งม้าทะยานเหยียบข้ามไป ระยะทางนี้ เร่งม้าเร็วให้จบ ยิ่งเร็วยิ่งถึงด้านหน้าเร็ว ปืนไฟทหารหมิงก็จะหยุดยิงเอง

ระยะทางเช่นนี้ ปืนใหญ่ 5 ชั่งยิงได้สองครั้ง 3 ชั่งยิงได้สองครั้ง หากไม่กลัวว่าทหารมองโกลจะสังหารพลปืนใหญ่ ก็อาจจะยิงได้รอบที่สาม

แต่การปะทะครานี้ พวกมองโกลก็รู้สึกตกใจที่พบกว่าทหารหมิงยิงแค่หนึ่งรอบ เบื้องหน้าปืนไฟสี่แถว หากพวกมองโกลที่เห็นพลปืนไฟหมิงก็ล้วนร้องตะโกนดังทะยานเข้าใส่ ไม่สนใจว่าม้าที่นั่งจะเหนื่อยล้าเพียงใด หากพากันควบเข้าใส่อย่างสุดชีวิต ความร้ายกาจของปืนไฟพวกเขารู้ดีแล้ว แต่วันนี้จึงได้รู้ว่าปืนไฟสามารถมีอานุภาพรุนแรงเช่นนี้ได้ เมื่อครู่มีข่าวลือกันในกองว่า หากเห็นพลปืนไฟย่อมไร้หนทางมีชีวิตรอดแล้ว วิธีเดียวก็คือพุ่งเข้าชน ชนข้ามไป จึงจะมีโอกาสรอดชีวิต……

พวกมองโกลที่เดิมก็จัดทัพมาแบบไม่ใช่แนวหน้ากว้าง ตอนนี้เริ่มเปลี่ยนเป็นหน้ากว้างแล้ว คนด้านหลังคิดจะหลบพลปืนไฟ

“ยิง!!”

อาจไม่ได้ยินเสียง แต่แต่ดาบยาวฟันลงมาเป็นคำสั่งที่ชัดเจน ปืนไฟสี่แถวยิงออกไปพร้อมกันเหมือนกับการยิงครั้งแรก ทหารมองโกลที่อยู่ด้านหน้าก็ถูกกระสุนยิงหยุดความเร็วเอาไว้ พากันล้มลงไม่น้อย ขวางทางด้านหลังเอาไว้หมด

แต่ทหารด้านหลังก็ยังตะโกนอย่างบ้าคลั่ง พวกเขารู้ว่าปืนไฟยิงได้ครั้งเดียว ยิงครั้งนี้แล้ว ปืนนั้นก็ไม่อาจเติมกระสุนได้ทัน เป็นได้แค่ท่อนไม้

ตามคาด พลปืนยิงเสร็จ ก็ใช้สถานการณ์ที่กำลังชุลมุนนี้วิ่งกันหลบเข้าไปอยู่ตรงช่องกลางระหว่างสองหน่วย ทหารมองโกลยิ่งเร่งม้าเข้ามา หากสามารถแหวกเข้าไปในช่องว่างระหว่างสองหน่วยหมิงนั่นได้ก็จะสังหารสักคนสองคนทิ้ง ระบำยแค้นในใจ

“ตั้งทวนราบ หยุดม้าไว้!!”

แม่ทัพทหารหมิงด้านหน้าตะโกนดัง พวกมองโกลก็ได้ยิน แต่ส่วนใหญ่ไม่รู้ความหมาย เห็นทหารหมิงสองแถวหน้ายกทวนยาวชี้ตรงมาด้านหน้าเป็นแผงหนา ก็พอเข้าใจแล้วว่าเพื่อการใด ยามไม่มีปืนไฟขวางทาง ก็ย่อมใช้ธนูยิงได้ เมื่อครู่พวกมองโกลที่บุกมาก่อนหน้า ยามนี้ก็รู้สึกแปลกใจ ครั้งก่อนทหารปืนใหญ่หมิงไม่ใช่ว่ารีบหนีหรอกหรือ? ครั้งนี้ทำไมใกล้จะไล่ตามทันพวกนั้นล่ะ

ปัง ปัง……เสียงดังติดๆ กัน กลบเสียงของสองฝ่ายเอาไว้

ยามนี้เงียบกริบ เหมือนว่ามีลมพัดผ่านพวกมองโกลไป เพียงแต่ลมนี้เป็นลมพายุก้อนตะกั่วและเศษเหล็กแห่งความตาย

ทหารปืนใหญ่จุดปืนไฟและไม่รอดูผล หันห้าวิ่งเข้าไปในช่องทางที่เปิดไว้ทันที

ทหารมองโกลเหมือนถูกคลื่นใหญ่ปะทะเริ่มเจ็บปวด ยิ่งเจ็บปวดขึ้น ยิ่งลูกใหญ่ขึ้น แต่ความเจ็บปวดก็จบลงอย่างรวดเร็ว

ปืนใหญ่บรรจุเศษเหล็กเป็นกระสุนยิงออกไป ปืนหลายกระบอกยิงคลี่ออกไปในวงราวกับพัด ทหารหลายร้อยถูกยิงล้ม คนและม้าเต็มไปได้รูโลหิตไหลทะลัก แม้แต่เสียงร้องก็ไม่ทันได้ร้องก็สิ้นใจ

“บุก!!” “บุก!!”

ความเสียหายแค่ไม่กี่ร้อยนับว่าเรื่องเล็ก แต่การบุกให้ถึงด้านหน้า ให้ปืนใหญ่ใช้การไม่ได้สำคัญกว่า บุกเข้าไป บุกไปให้ถึงช่องว่างตรงกลางนั่น อย่าให้พลปืนหมิงบรรจุดินปืนเสร็จเด็ดขาด

ทัพใหญ่มองโกลเริ่มแบ่งเป็นสามเส้นทาง สองทัพไปทางสองปีกกดดันไว้ ทัพกลางพยายามวิ่งเข้าไปในช่องทางระหว่างสองหน่วย บุกเข้าไปให้ศูนย์กลางแตกกระจาย

การยิงปืนใหญ่และปืนไฟรอบนี้ทำให้คนและม้าเกือบพันล้มระเนระนาดอยู่ด้านหน้า ทหารมองโกลที่ตามมาด้วยความเร็ซ ไม่อาจช้าได้อย่างที่ต้องการ

แต่ระยะก็ใกล้มาก ระยะเวลาที่ไม่นานนี้ไม่พอกับการบรรจุกระสุนของพลปืนเป็นแน่ ทหารม้ายกดาบใหญ่ขึ้น วาดเป็นแนวราบ ก่อนจะบุกเข้าไปในช่องว่างตรงกลาง พลปืนกำลังสาละวนกับการบรรจุกระสุนปืนอยู่จริง แต่ชัยชนะกลับไม่ได้เป็นของพวกเขา ปืนใหญ่ขนาดเล็กเรียงรออยู่หน้าพวกเขาแล้ว

***********

เพราะกลัวว่าจะกระทบกับทหารสองข้าง จึงเลือกใช้ปืนใหญ่กระสุน 1 ชั่ง เป็นกระสุนที่ระยะยิงแม่น และเรียงรายหนาแน่นเช่นนี้ กอปรกับพื้นที่กว้างแค่นี้ ก็ได้แต่ยิงปืนใหญ่เช่นนี้สักรอบเท่านั้น

แต่พวกมองโกลที่เข้ามาถูกยิงล้ม ด้านหลังพยายามดึงม้าชะลอไว้ ยามนี้ปืนไฟบรรจุกระสุนเสร็จแล้ว ยิงกันชุลมุน ทำให้พวกมองโกลด้านนอกลังเลไม่กล้าเข้ามาอีก

***********

“ใต้เท้าน่าจี๋เท่อ อานุภาพอาวุธสุนัขหมิงรุนแรงมาก นักรบเราบาดเจ็บล้มตายกันมากเกินไปแล้ว!!”

เห็นลูกน้องตนรายงานอย่างเร่งร้อนและขี้ขลาด น่าจี๋เท่อมองสีหน้าสหายที่เคร่งเครียดทั้งสองฝั่งแล้ว ก็หยิบธนูสีทองออกมาจากถุงอานม้า กัดฟันออกคำสั่งว่า

“นำธนูทองนี้ไป โจมตีต่อ ถอนกำลังตอนนี้ ที่ล้มตายไปย่อมสูญเปล่า!”

ขุนพลที่มารายงานรับธนูทองคำไปไม่กล้ากล่าวอันใด นำกำลังกลับไปรบต่อ ในยามนั้นเอง ก็มีทหารม้าอีกนายวิ่งเข้ามารายงานอย่างร้อนใจว่า พอมาใกลก็ตะโกนดังว่า

“องค์ชายเถิงจู ทางปากทางเขาทางใต้มีทหารม้าหมิงมา ราวพันนาย!!”

ทุกคนสีหน้าแปรเปลี่ยนทันที น่าจี๋เท่อจ้องมองอีกฝ่ายกล่าวอย่างเย็นเยียบว่า

“นำกำลังพันนายไปสกัดไว้ ทำลายกองกำลังทางนี้ได้ พันนายทางนั้นจะทำอันใดเราได้!!”

ยามนี้ทุกคนต่างตกใจหวาดหวั่น น่าจี๋เท่อออกคำสั่งได้ก็เพราะว่าทุกคนเห็นเขาเป็นผู้นำไปแล้วอย่างไม่ทันรู้ตัว แต่ยามนี้ความสนใจทุกคนไปอยู่ที่ปากทางหุบเขาด้านใต้ไม่ทันได้สังเกตว่าขอบฟ้าด้านตะวันออกเฉียงเหนือเริ่มมีเส้นดำพาดผ่าน ยิ่งไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นว่าด้านตะวันตกเฉียงนั้นปรากฎ……

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!