ตอนที่ 521 มีชื่อ มีสถานะ ใช้เงินเพื่อนาย
เชลยคนหนึ่ง ยังเป็นพวกป่าเถื่อน ตายแล้วก็ตายไป แม้ว่าจะอัปมงคลอยู่บ้าง แต่ก็ก็คงต้องเป็นเช่นนั้น ไม่มีผู้ใดอยากจะยุ่งเรื่องของเชลย
ถึงกับในราชสำนักมีคนแอบดีใจ หากว่าโอรสสวรรค์นำเชลยบูชายัญ ณ ศาลบรรพชน เช่นนั้นชื่อเสียงของพระองค์ก็จะยิ่งมากขึ้นอีกขั้น พวกขุนนางบู๊ก็จะยิ่งไม่อาจควบคุมไว้ได้ เช่นนั้นยังต้องมีขุนนางบุ๋นในราชสำนักไปเพื่อการใด
น่าจี๋เท่อถูกวางยาพิษตาย ข่าวนี้เริ่มค่อยๆ มีคนรู้ หลังชัยชนะใหญ่ แต่ละฝ่ายก็ไม่อยากให้เรื่องนี้ทำลายความรื่นเริงทุกคนในยามนี้ จึงได้เก็บเรื่องไว้
ทหารที่รับผิดชอบนำตัวเขามาเมืองหลวงนั้นถูกส่งไปประจำยังบริเวณที่ยากลำบากที่สุดของด่าน นายอำเภอซุ่นอี้ปฏิบัติภารกิจนี้เสร็จก็ถูกส่งไปเป็นผู้ว่าเมืองที่ลำบากที่สุดในมณฑลส่านซี ก็เท่ากับว่าเหมือนถูกเนรเทศ
เรื่องจัดการได้เรียบร้อยเรียงง่าย แต่ละฝ่ายก็ต่างปล่อยให้เรื่องเงียบไป แต่ชีจี้กวงและหลี่หรูซงรู้เรื่องนี้ก็ถึงกับต้องหลั่งเหงื่อเย็นท่วมแผ่นหลัง โอรสสวรรค์นำเชลยบูชายัญ ณ ศาลบรรพชน พิธีนี้จะสร้างชื่อเสียงเกียรติยศให้โอรสสวรรค์ นับประสาอันใดกับฮ่องเต้ว่านลี่ที่เป็นโอรสสวรรค์วัยเยาว์ที่เคยทรงฝึกยุทธ์จากลากฝึกหู่เวย หากจะเอาเรื่องกันจริง หัวของพวกตนทุกคนคงจะรักษาไว้ไม่ได้ แต่ที่โชคดีก็คือ ตอนนี้ไทเฮาฉือเซิ่ง เฝิงกงกง และมหาอำมาตย์จางกุมอำนาจการปกครองอยู่ พวกเขาไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องเช่นนี้ หรืออาจกล่าวได้ว่า ไม่ต้องการให้ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงได้หน้าจากการนี้
แต่เรื่องพวกนี้ก็ไม่เท่าไร เพราะวเดือนหนึ่งเดือนสอง ใต้หล้าก็เห็นถึงชัยชนะใหญ่ของกองกำลังมี่อวิ๋นกันทั่งถ้วน นี่เป็นชัยชนะใหญ่ที่ไม่เคยมีมาตั้งแต่รัชสมัยฮ่องเต้เซวียนเต๋อ ฮ่องเต้องค์ที่ 5 แห่งราชวงศ์หมิง ชีจี้กวงเป็นขุนพลมีชื่อเสียงทั่วหล้า หลี่หรูซงก็เป็นเกิดในตระกูลแม่ทัพใหญ่ พื้นที่เหลียวโจวเป็นที่ทรงอิทธิพลของตระกูลหลี่
การที่กองกำลังมี่อวิ๋นได้ออกไปรบด้วย และมีเขาทั้งสองเป็นผู้นำออกศึกจนได้รับชัยชนะ ก็เป็นเรื่องจริง ทุกคนก็รู้สึกว่าขุนพลเก่งย่อมมีความสามารถเหนือคนทั่วไป
กรมทหารตั้งชื่อการรบครั้งนี้แล้วว่า ‘ชัยชนะกู่เป่ยโขว่’ มีความยิ่งใหญ่ของแม่ทัพใหญ่สองท่านนี้ ทุกคนก็ไม่ได้สนใจเรื่องที่กองกำลังหู่เวยก็ได้ร่วมในการรบนี้ด้วย
อย่างไม่ทันรู้ตัว เรื่องราวก็กลายเป็นว่ากองกำลังในราชสำนักออกไปซ้อมรบนอกด่านถูกพวกมองโกลโจมตี จากนั้นแม่ทัพชีจี้กวงและหลี่หรูซงจึงประสานกำลังมาช่วย ทำเป็นหลงกลศัตรู จากนั้นก็ทำลายเผ่าใหญ่มองโกลสิ้น ทำลายกำลังพวกมองโกลจนต้องหลบเลียแผลสร้างกองกำลังไปอีกนาน
***********
เรื่องราวมากมายแพร่ไปถึงเฝินโจวที่อยู่ห่างไกล ช่วงเดือนสิบสองและเดือนหนึ่ง หย่งเซิ่งป๋อปิดจวนไม่ให้ใครเข้าพบ
เดือนหนึ่งฉลองปีใหม่ จวนหย่งเซิ่งป๋อก็ไม่ได้จัดงานรื่นเริง กลับเตรียมรถม้า ราวกับว่าจะเดินทางไกล เรื่องนี้มีผู้คนพบเห็น
แต่พอผ่านไประยะหนึ่ง จวนหย่งเซิ่งป๋อก็กลับสู่ภาวะปกติ จัดงานเลี้ยงรับแขกมาเยือนดังเดิม ยังมีอีกเรื่องก็คือมีการเคลื่อนไหวของขุนพลคุมกำลังเมืองต้าถง
เรื่องราวเหล่านี้เกิดที่ซานซี และเดือนหนึ่งก็กลับเป็นปกติ ทุกคนอยู่ในช่วงยินดีปรีดากับชัยชนะใหญ่ แม้ว่ามีผู้ใดรู้ ก็ไม่ทันสังเกต ยิ่งไม่นำมาเป็นเรื่องสนทนาในวง
************
พอผ่านวันที่ 20 เดือนหนึ่งไป ราชสำนักแม้ว่าไม่ได้มีคำสั่งอย่างเป็นลายลักษณ์มา แต่ข่าวก็แพร่กระจายออกมา แม่ทัพชีจี้กวงแห่งจี้โจวและแม่ทัพหลี่หรูซงแห่งเมืองเซวียนฝู่ได้รับบรรดาศักดิ์ระดับป๋อ ชีจี้กวงได้เป็นอี้เป่ยป๋อ ส่วนหลี่หรูซงได้เป็นจงเป่ยป๋อ ทหารในกองก็ได้รางวัลกันไปอย่างมาก
กองกำลังหู่เวยไปรบครานี้แม้ว่าถูกละเลยไปอย่างตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม แต่หัวที่นำกลับมาได้หลายพันนั้นก็ไม่ใช่ของปลอม แม้ว่าจะพยายามกดไม่สนใจแต่ก็ต้องมีคำตอบที่ดี นับประสาอันใดกับการที่ฮ่องเต้ว่านลี่และจางเฉิงร่วมกันกดดันไม่หยุด
หวังทงได้เลื่อนเป็นรองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร เทียบได้กับระดับแม่ทัพเมืองเซวียนฝู่ นี่เป็นตำแหน่งขั้น 4 ในระบบขุนนาง แม้ว่าเป็นตำแหน่งที่ไร้อำนาจสั่งการ แต่ระดับนายกองพันส่วนใหญ่ก็แค่ขั้น 7 หรือไม่ก็ 8 เท่านั้น หวังทงได้รับแต่งตั้งครั้งแรกก็ได้ถึงขั้น 4
แต่ขั้น 4 เช่นนี้นับได้ว่ามีประโยชน์ก็ได้ ไร้ประโยชน์ก็ได้ ไร้ประโยชน์ก็คือระดับนี้ไม่มีอำนาจสั่งการ เท่ากับเป็นแค่ตำแหน่งลอยๆ มีประโยชน์ก็คือ หากยามพบหน้ากัน ระดับขั้นเช่นนี้เป็นตำแหน่งที่ต้องให้ความเกรงใจกัน
หลี่หู่โถวและลี่เทากับซุนซิงและคนอื่น ครั้งนี้ก็ได้รับพระราชทานขั้น 5 เป็นขุนพลแห่งอู่เต๋อ
กรมทหารสำรวจบัญชี พบกว่าถานปิงเดิมมีระดับนายกองพัน ครั้งนี้จึงมอบตำแหน่งขั้น 5 ให้ นับว่าเป็นรางวัลชั้นดี คนอื่นๆ ก็ได้มากได้น้อยกันไป
ขุนพลตระกูลถานไม่เห็นความสำคัญในเรื่องนี้ พวกหลี่หู่โถวได้รับการยอมรับจากฮ่องเต้ว่านลี่ ในใจก็พอรับรู้ได้ หวังทงยิ่งรอไหว
นอกจากเรื่องนี้แล้ว กองเก็บภาษีทางทะเลและทางคลองส่งน้ำก็มีตำแหน่งมา ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการ จัดตั้งสำนักอาชาหลวงประจำเทียนจินขึ้นที่เทียนจิน
กรมอากรต้องรับหน้าที่เก็บภาษีอากรใต้หล้า 13 มณฑลเหนือใต้รวม 13 สำนัก เรื่องราวที่ต้องจัดการมีมาก สำนักอาชาหลวงแม้ว่าจะดูแลรายรับในวัง แต่การมาจัดตั้งสำนักที่เทียนจินเช่นนี้นับว่าไม่เคยมีมาก่อน ทว่าฝ่ายในจัดตั้ง ก็สะดวกกว่าให้กรมการราชสำนักฝ่ายนอกเพิ่มหน่วยงาน
ด่านภาษีต่างๆ ทุกปีก็ล้วนนำส่งก้อนเงินจินฮวาหนึ่งล้านตำลึงเข้าวัง เงินจำนวนมากเช่นนี้ มาตั้งสำนักสาขาที่นี่ก็ควรอยู่
สำนักสาขาที่เทียนจินตั้งหน่วยตรวจภาษีทางทะเลและคลองส่งน้ำ แต่ละหน่วยก็มีรองหัวหน้าหน่วยอีกหน่วยละ 2 คน หัวหน้าหน่วยระดับขั้น 8 เต็มขั้น รองหัวหน้าหน่วยเริ่มจากระดับล่างขั้น 8 มีเจ้าหน้าที่หน่วยละ 15 คน
เพราะที่เทียนจินมีเรื่องเก็บเงิน และเป็นเงินมหาศาล ถือเป็นภารกิจหนัก ดังนั้นจำให้จางเฉิงควบตำแหน่งนี้ไปด้วย และมอบหมายให้นายกองพันหวังแห่งเทียนจินควบคุมการปฏิบัติหน้าที่อีกลำดับ
การจัดการในวังครานี้ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นการมอบอำนาจอย่างเป็นทางการให้หวังทง เดิมด่านภาษีแม่น้ำทะเลและคลองส่งน้ำเป็นงานราชการส่วนตัวของหวังทง ตั้งด่านนี้ก็มิได้มีเอกสารรับรองอย่างเป็นทางการจากราชสำนัก เดิมไร้ชื่อไร้สถานะ ล้วนอาศัยกำลังเข้มแข็งป้องกันไว้ ตอนนี้อย่างน้อยก็มีหลักให้อ้างอิงได้แล้ว
หัวหน้าหน่วยและรองหัวหน้าหน่วยด่านภาษีรวม 6 คน และมีเจ้าหน้าที่อีก 30 คน ไม่เท่าไร แต่การยอมให้รับคนงานมาทำงานในหน่วย ทำให้คนจากหน่วยรักษาความปลอดภัยและคนของสำนักนาวาสุคนธ์ได้กลายเป็นผู้ช่วยงานอย่างเป็นทางการของราชสำนัก มีสถานะที่ถูกกฎหมายครึ่งตัวก็ยังดี
ที่หวังทงได้รับประโยชน์ใหญ่ก็คือ การตั้งภารกิจและองค์กรเช่นนี้ของฮ่องเต้ว่านลี่ก็เท่ากับว่าไม่เกี่ยวข้องกับรายรับอื่นนอกจากภาษีจากด่านเท่านั้น
แม้ว่าวันหน้าจะก่อสร้างท่าริมทะเลขึ้น รายรับจากแม่น้ำทะเลก็จะไปรวมกับท่าริมทะเล หน่วยภาษีแม่น้ำทะเลก็ควบรวมท่าริมทะเลไปด้วย แต่รายได้ส่วนใหญ่กลับเป็นค่าเช่าร้านค้า การค้าไปมาทางทะเล และการขายสินค้าแบบผูกขาดหลายรายการด้วยกัน นี่จึงเป็นการค้าที่เป็นดังภูเขาทองทะเลเงินที่แท้จริง
เดิมแต่ละแห่งในเทียนจินก็มีด่านที่ถูกกฎหมายอยู่แล้ว ยังมีการตั้งหน่วยภาษีที่เทียนจินอีก ขุนนางในราชสำนักก็ย่อมร่วมกำลังกันต่อต้าน แต่ด่านภาษีที่เทียนจินเป็นความจริงที่มีมานานแล้ว ยังได้รับชัยชนะใหญ่มาจากกู่เป่ยโข่วอีก ไม่มอบรางวัลเลื่อนตำแหน่งใหญ่ให้หวังทงได้ แต่อย่างไรก็ต้องยอมถอยในบางเรื่องบ้าง
ความจริงแล้ว ก็มีขุนนางบางหน่วยให้การสนับสนุนอยู่ บอกว่าการจะให้ไร้สถานะทำงานเช่นนี้ มิสู้ราชสำนักตั้งหน่วยงานไปใช้กฎหมายบังคับไว้ จึงนับว่าเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย
เพราะได้รับการสนับสนุนจากบรรดาขุนนางบัณฑิตอยู่บ้าง ทำให้ฮ่องเต้ว่านลี่ถึงกับคิดจะตั้งหน่วยงานสินค้าต่างๆ แบบกองภาษีเกลือขึ้น แต่หลังจากแอบหยั่งเชิงบรรดาขุนนางผู้ใหญ่ ทุกคนล้วนปฏิเสธแข็งขัน
**************
“ใต้เท้า สวีกว่างกั๋ววันก่อนกลับมาเทียนจิน เบิกเงินจากข้าน้อยไปใช้จ่าย 5,400 ตำลึง ใช้ 1,400 ซื้อบ้านพักและซื้อคน ที่เหลือเป็นงานเลี้ยง ข้าน้อยเก็บใบเบิกเงินไว้หมด และยังรั้งตัวสวีกว่างกั๋วไว้ก่อน รอใต้เท้ามาสอบถามด้วยตนเอง”
ซุนต้าไห่รายงานจบก็ส่งสมุดบัญชีเล่มบางเล่มหนึ่งให้ไป หวังทงหยิบมาพลิกอ่านไป ด้านบนเขียนแต่ละรายการไว้อย่างชัดเจน ก็เป็นรายการซื้อของแต่ละร้านค้าในเมืองหลวง ไปมอบให้ผู้ใดก็เขียนไว้ชัดเจน และไม่เห็นว่าเป็นขุนนางระดับสูงอันใด
“สวีกว่างกั๋วทำงานใช้เงินก็เป็นเรื่องสมควร แต่เห็นแบบนี้ เห็นชัดว่าเอาเงินใต้เท้าไปใช้จ่ายกินดื่มส่วนตัว ช่างไร้เหตุผลจริงๆ”
ซุนต้าไห่กับจางซื่อเฉียงแม้ว่ามีอายุมาก สถานะสูง แต่กับขุนนางบุ๋นข้างกายหวังทงล้วนใช้คำเรียกขานยกย่อง แต่กับสวีกว่างกั๋วแล้วมีแต่ความดูถูก คนเช่นนี้เคยตั้งด่านแข่งกันมาก่อน พอล้มลงจึงได้มาขอทำงานกับหวังทง ตอนนี้ไปเมืองหลวงใช้จ่ายราวกับเทน้ำ จะไม่ให้พ่อบ้านอย่างซุนต้าไห่ดูแคลนได้อย่างไร
หวังทงพลิกไปสองสามหน้า บัญชีร้านสามธาราเขาเองก็อ่านอยู่บ่อยๆ ราคาสินค้าก็รู้คร่าวๆ การใช้จ่ายที่สวีกว่างกั๋วบันทึกมาอย่างละเอียด ก็ไม่เห็นมีอันใดผิดปกติ เขายกมือปรามซุนต้าไห่ให้หยุด ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า
“ตามจางซื่อเฉียงมา!”
ซุนต้าไห่รีบคำนับรับคำสั่งออกไปตามมา แต่ก็ยังรู้สึกงง เมื่อครู่พูดถึงสวีกว่างกั๋วอยู่นาน เหตุใดจึงให้ไปตามจางซื่อเฉียง
พอตามจางซื่อเฉียงมา หวังทงก็ยกสมุดบัญชีในมือขึ้นถามว่า
“สวีกว่างกั๋วใช้จ่ายในเมืองหลวง เจ้าส่งคนไปติดตามกลับมารายงานเช่นไร?”
“บ้านพักและคนรับใช้ล้วนเป็นเขาซื้อไว้ ปกติก็ไม่เคยประหยัด แต่ยามใช้จ่ายเงินซื้อของ หรือเลี้ยงแขกก็ล้วนพาลูกน้องตนไปด้วย ตอนคิดเงินก็ไม่เคยไปแอบซ่อนคิดเงินกัน”
หวังทงพยักหน้า สวีกว่างกั๋วไปเมืองหลวง หวังทงย่อมไม่ปล่อยให้เขาไปโดยไร้คนไปจับตาไว้ ข้างกายล้วนวางคนไว้คอยสอดส่อง ได้ยินจางซื่อเฉียงรายงานเช่นนี้ ในใจหวังทงก็พอมีคำตอบแล้ว
***********
“ครั้งนี้มีพวกขุนนางบางคนให้การสนับสนุนเรา ไม่รู้ว่าเป็นผลจากการทำงานของเจ้าหรือไม่?”
ได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ สวีกว่างกั๋วที่คุกเข่าอยู่ก็มีสีหน้าภูมิใจอยู่หลานส่วน หวังทงยิ้ม กล่าวต่อว่า
“อาจเป็นเจ้าที่เปิดช่องทาง อาจเป็นเพราะขุนนางพวกนั้นมีการค้าอยู่ที่เรา ผลประโยชน์ร่วมกัน ดังนั้นจึงได้ลุกขึ้นออกหน้า”
เห็นสวีกว่างกั๋วก้มหน้า หวังทงยิ้มกล่าวว่า
“มีคนกล่าวว่าเจ้าใช้เงินที่เมืองหลวงมากเกินไป กล่าวว่าเจ้าเล่นเล่ห์เหลี่ยม อย่าได้ร้อนใจแก้ตัว เจ้าไปมาหาสู่กับขุนนางพวกนั้น ตนเองก็ย่อมต้องวางตัวให้ดูดีมีฐานะ ใช่หรือไม่? เจ้าออกหน้าจ่ายเงินให้พวกเขาก็ล้วนมีคนติดตามไปด้วยเพื่อเป็นพยาน ใช่หรือไม่?”
“นายท่านกล่าวได้ถูกต้อง!”
คิดไม่ถึงว่าหวังทงจะเข้าใจเรื่องราวที่แฝงนัยอยู่ได้ดีเช่นนี้ สวีกว่างกั๋วอึ้งไปก่อนจะเอ่ยตอย หวังทงยิ้มพยักหน้า กล่าวต่อว่า
“คนอื่นกล่าวหาเจ้า ข้าเชื่อใจเจา หากต้องการใช้เท่าไรก็ใช้เท่านั้น ขอเพียงเป็นเรื่องาน ก็ไปเบิกรับได้ เจ้าตั้งใจทำงาน ข้าอย่างไรก็ไม่ลือมอบเงินทองวาสนาให้เจ้าเป็นแน่!”
สวีกว่างกั๋วสีหน้าจริงจังก้มลงโขกศีรษะ……