ตอนที่ 528 ข้อดีข้อเสียของกฎระเบียบใหม่แห่งแผ่นดิน
เดือนสามปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 9 ทั่วแผ่นดินเริ่มดำเนินการระบบเก็บภาษีและเกณฑ์แรงงานใหม่ตามที่จางจวีเจิ้งเสนอ
เดิมราษฎรรับภาระแค่ภาษีที่นา ภาษีสินค้าและเกณฑ์แรงงาน ภาษีมากมาย ราษฎรต้องลำบากแรงกายอย่างมาก พวกตระกูลใหญ่ยังเบียดบังแอบซ่อนที่นา ให้ราษฎรรับภาระภาษีและเกณฑ์แรงงานที่หนักขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากจัดการตรวจสอบที่ดินใต้หล้าเสร็จ ก็ใช้จำนวนที่ดินเป็นเกณฑ์คำนวณพื้นฐาน ให้หักค่าเกณฑ์แรงงานเป็นเงินได้ รวมรับไว้ด้วยกัน
ในการเกณฑ์แรงงานนี้ ทางการส่งขุนนางไปดำเนินการ แรงงานที่ใช้งานได้ไม่อาจตรวจได้แม่นยำถูกต้อง มักจะมีช่องโหว่มากมายเป็นโอกาสให้ขุนนางฉ้อฉลได้ ทำให้ตามแหล่งน้ำในแต่ละแห่งและงานป้องกันเมืองต้องการเกณฑ์แรงงานไปใช้นั้นหาไม่ได้ ครั้งนี้ให้จ่ายเป็นเงิน หากมีงานพวกนี้มา ก็ให้ทางการใช้เงินจ้างแรงงานมาแทน ได้ผลกว่า
แต่ทว่า ระบบเก็บภาษีและเกณฑ์แรงงานนี้ทำให้รายได้จากการบริจาคภาษีที่ท้องถิ่นเก็บได้มาเป็นภาษีอย่างเป็นทางการ ภาษีบริจาคที่ไม่เป็นทางการก็เป็นรายได้ภาษีของราชสำนักอย่างเป็นทางการไป
หากขุนนางท้องถิ่นก็มีแอบเก็บภาษีเอง เงินที่เก็บได้มาก็แบ่งสรรให้แต่ละชั้นไปตามลำดับ ดังนั้นเมื่อกลายเป็นภาษีที่ราชสำนักให้การรับรองก็ย่อมมีการควบคุมจากราชสำนัก เงินก้อนนี้ก็ต้องส่งเข้าคลังหลวงรอจัดสรร หากท้องถิ่นต้องการใช้ ก็ต้องแอบเก็บภาษีส่วนตัวกันต่อไป
จำนวนภาษีแต่ละพื้นที่มากกว่าเมื่อก่อนไม่น้อย แต่เพราะว่าที่นาที่ตรวจสอบจากที่แอบเก็บงำไว้ออกมายิ่งมาก คนที่ต้องแบกรับภาษีก็มากตามไปด้วย ภาระของราษฎรเบาลง แต่พวกคหบดีใหญ่ที่เคยแอบเก็บงำที่นาไว้เสียประโยชน์ไม่น้อย
เพื่อจ่ายเงินภาษี ราษฎรต้องนำเอาพืชที่ปลูกได้ไปขายให้แก่พ่อค้าหรือพวกคหบดีมีเงินเปลี่ยนเป็นเงิน เรื่องนี้ย่อมต้องถูกขูดรีดอีกไม่น้อย แน่นอน เป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่มีผู้ใดจะสนใจ
หลังจากตรวจสอบที่นาเสร็จ วางระบบเก็บภาษีและเกณฑ์แรงงานใหม่ ทำให้กองคลังหลวงมีเงินมากขึ้น ทำให้ราษฎรพอจะมีเวลาได้หายใจกันบ้าง ย่อมเรียกได้ว่าเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย เป็นผลดียิ่งใหญ่ต่อใต้หล้า
นับประสาอันใดกับระบบเก็บภาษีและเกณฑ์แรงงานก็เป็นการผลักดันของมหาอำมาตย์จางจวีเจิ้ง ตอนนี้ขุนนางในราชสำนักต่างก็เป็นลูกศิษย์ของจางจวีเจิ้ง แม้แต่โอรสสวรรค์ก็เช่นกัน เขาลงแรงผลักดันด้วยตนเอง ผู้ใดกล้าเห็นคัดค้าน ทุกคนล้วนปฏิบัติตาม
ระบบเก็บภาษีและเกณฑ์แรงงานเคยใช้ครั้งแรกในสมัยฮ่องเต้เจียจิ้งในพื้นที่แห่งหนึ่ง แต่ก็ใช้ไปหยุดไป เป็นขั้นทดลองมาโดยตลอด ครั้งนี้ในที่สุดก็ประกาศใช้ทั่วหล้า
ชนชาติจีนให้ความสำคัญกับที่ดินทำนามากที่สุด หากไม่จำเป็นจริงๆ ชาวบ้านจะไม่ทิ้งที่นาตนเองไป ระบบเก็บภาษีและเกณฑ์แรงงานเกิดขึ้น ย่อมไม่ต้องถูกขูดรีดอย่างนักดังเช่นเมื่อก่อน บางทีอาจมีคนไม่น้อยกลับบ้านเกิดไปทำนาทำไร่ หลังจากระบบเก็บภาษีและเกณฑ์แรงงานเกิดขึ้น หวังทงก็กังวลว่า เทียนจินจะหาคนงานไม่ได้หรือไม่
ตอนนี้เทียนจินกิจการยิ่งใหญ่ แต่ละหน่วยล้วนต้องการแรงงานมากมาย หากคนงานน้อย เกรงว่าจะกระทบต่อการค้าต่างๆ คนงานในเทียนจินตอนนี้ส่วนใหญ่มาจากเมืองเหอเจียน เมืองซุ่นเทียนเมืองในเขตปกครองเหนือ คนจากมณฑลที่เหลือก็ย่อมไม่จากบ้านเกิดเมืองนอนมาหากินที่เทียนจิน
************
หลังจากได้กล่าวเรื่องที่กังวลกับลูกน้องไป กู่จื้อปินก็ยิ้มตอบว่า
“นายท่านไม่ต้องกังวลไป คนทำงานที่เทียนจินพวกเขาไม่มีทางให้กลับแล้ว จะมีที่นาที่บ้านเกิดอันใดให้ทำไร่ทำนากันได้อีก?”
ได้ยินแล้วหวังทงก็อึ้งไป กู่จื้อปินอธิบายต่อว่า
“เขตปกครองเหนือมีหลายเมืองด้วยกัน ที่นาดีมีไม่น้อย นับประสาอันใดกับยังใกล้เมืองหลวง พวกพระญาติเชื้อพระวงศ์ พวกคหบดีชนชั้นสูงก็มาก โรงบ้านตระกูลนี้ ที่พักจวนตระกูลนั้น ไหนเลยยังมีที่นาเหลือให้ราษฎรได้ทำกัน ราษฎรในเขตปกครองเหนือล้วนเป็นแรงงานรับจ้างในไร่นา อย่างไรก็ต้องใช้แรงงานแลกเงิน ที่เทียนจินนี่แห่งนี้ พวกเขาได้รับเงินแน่นอน”
พวกคหบดีมักกว้านหาที่ดินมารวมกัน คหบดียิ่งมากพื้นที่ทำนาก็ยิ่งหายาก ชาวนาส่วนใหญ่ที่สูญเสียที่นาไปก็ย่อมใช้แรงงานตนเข้าแลกหาเลี้ยงตนและครอบครัว หวังทงสร้างการค้ายิ่งใหญ่ จ้างคนมาก ให้รายได้ดี ดีกว่าใช้แรงงานหนักพวกนั้นตั้งเท่าไร นับประสาอันใดกับเทียนจินที่แสนรุ่งเรือง ดีกว่างานในบ้านนอกตั้งเท่าไร
ตั้งแต่ต้นปีหลังจากกลับจากมี่อวิ๋นมา จิตใจหวังทงก็หมกมุ่นอยู่กับการทหาร ร้านสามธาราไม่ค่อยได้เข้าพบหวังทงนัก หวังทงถามหา กู่จื้อปินก็ย่อมดีใจ อยากจะสนทนาให้มากอีกหน่อย กล่าวว่า
“นายท่านไม่ต้องกังวลไปกับระบบเก็บภาษีและเกณฑ์แรงงาน เรื่องนี้กลับเป็นการดีสำหรับเรา อย่างน้อยราคาเสบียงก็จะลดลงหลายส่วน!”
หวังทงรู้ว่าราคาเสบียงที่เทียนจินราคาสูง เพราะมีคนมากขึ้นเรื่อยๆ ละแวกเทียนจินที่ทำนาได้ก็มีน้อย เสบียงอาหารส่วนใหญ่ก็นำเข้าจากที่อื่น ความต้องการมาก เสบียงมีจำกัด ราคาก็ย่อมสูงตามไปด้วย
มักมีคนกล่าวว่า หากไม่ใช่ว่าเทียนจินมีคลองส่งน้ำ ไหนเลยจะมีเสบียงอาหารที่ขนส่งมาง่าย แค่เรื่องเสบียงขาดแคลนนี้เรื่องเดียว เกรงว่าก็สามารถทำให้เทียนจริงที่กำลังเติบโตพังลงได้เลยทีเดียว
แต่ทว่าการมีเสบียงที่ขนส่งมาง่าย แต่รอบด้านก็ยังคงมีเสบียงไม่เพียงพอ ราคาเสบียงก็ยังคงค่อยๆ ขยับสูงขึ้น ตอนนี้อยู่ในระดับที่ยังพอจะรับได้เท่านั้น
“นายท่านก็เห็น เมื่อก่อนต้องใช้แรงงานทำงานให้ทางการ แต่ตอนนี้ใช้เงินทดแทนได้ พวกชาวบ้านไหนเลยจะมีเงินทอง อย่างไรก็ต้องนำเสบียงที่เพราะปลูกได้มา ขายออกไป คนยิ่งขายมาก ราคาก็ยิ่งลดลง!”
หวังทงเงียบไปก่อนจะออกคำสั่งว่า
“เมืองหย่งผิงและเมืองซุ่นเทียนทางนั้น ยังมีที่นาไม่น้อย ร้านสามธาราหาทางไปหาโรงบ้านมาสักสองสามแห่ง หาแรงงานมาทำนา เรื่องเสบียงนี้ดูเหมือนเป็นเรื่องไม่สำคัญ แต่จริงๆ เป็นดังเส้นเลือดสำคัญ เราต้องมีความพร้อมในมือไว้บ้าง ร้านสามธาราก็ตั้งร้านข้าว ตนเองเก็บข้าวไว้บ้าง ละแวกเทียนจินก็สร้างโกดังใหญ่ไว้บ้าง เก็บพวกข้าวสารและเสบียง ยอมจ่ายเงินมากหน่อยดีกว่าถึงตอนนั้นขาดเสบียงอาหาร”
“ที่นายท่านคิดมาเป็นวิธีการคิดเพื่อปลอดภัยไว้ก่อน พรุ่งนี้ข้าน้อยกับพี่จางจะไปจัดการเรื่องนี้ นายท่านอาจไม่รู้ว่า ตอนนี้เขตปกครองเหนือและซานตงมีพ่อค้าข้าวหลายคน ก็มาร่ำรวยกันอยู่ที่เทียนจินเราเช่นกัน!”
เห็นหวังทงสนใจ กู่จื้อปินก็ย่อมเล่าอย่างเต็มที่ สภาพเทียนจินตอนนี้ต้องการใช้เสบียงอาหารจำนวนมาก ย่อมมีคนอาศัยเรื่องนี้กอบโกบเงินทองให้ตนเอง
เศรษฐกิจในเขตปกครองเหนือ ไปถึงซานตงและเหอหนานหลายปีนี้ไม่เลว เก็บเกี่ยวได้ปริมาณมาก ก็ใช้เส้นทางน้ำขนส่งมาขายเทียนจิน
หากเป็นเมื่อก่อน การขนเสบียงข้ามมณฑลสร้างกำไรน้อย และการขนส่งจำนวนมากก็ไม่ง่าย พ่อค้าข้าวย่อมไม่อยากจะทำการค้านี้ มีแต่ขนไปชายแดนเท่าไรจึงจะได้กำไรงาม แต่ราคาเสบียงที่เทียนจินสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงมีเสบียงจำนวนมากขนมาที่เทียนจิน จากนั้นก็ซื้อหาสินค้ากลับไปขายต่อ กำไรขาไปขากลับงดงามยิ่ง คนมากมายก็ย่อมอยากจะทำการค้านี้
หวังทงได้ยิน ก็หันไปกล่าวกับหยางซือเฉินข้างกายว่า
“จดเอาไว้ วันหน้าเสบียงที่ผ่านเข้าเทียนจินให้เว้นภาษีทั้งหมด เสบียงออกจากเทียนจินเก็บภาษีดังเดิม และต้องให้หน่วยงานเก็บภาษีตรวจตราให้เข้มงวด อย่าให้ผู้ใดหาช่องโหว่เล็ดรอดไปได้!”
หยางซือเฉินรับคำ ยกปากกาขึ้นมาจดลงไป กู่จื้อปินรู้ว่าวันนี้สนทนาไปไม่น้อยแล้ว จึงได้ลุกขึ้นคำนับกล่าวว่า
“นายท่านหลักแหลม มีอีกเรื่องต้องรายงาน ช่างไม้ที่มาจากเหอหนานและซานตงได้มาถึงแล้วหาที่พักให้แล้ว ให้รับเงินเดือนเช่นเดียวกับช่างในโรงช่าง รอถึงกลางเดือนสาม โรงต่อเรือก็จะเปิดดำเนินการได้แล้ว”
นอกจากช่างเรือที่รู้การต่อเรือ การสร้างเรือยังต้องการช่างไม้และช่างเหล็ก หรืออาจถึงขึ้นต้องการช่างเชือก ช่างทอผ้ามาร่วมด้วย กู่จื้อปินหาคนมาในนามร้านสามธารา เทียนจินค่อยๆ สร้างชื่อ ร้านสามธาราเป็นร้านที่ทางการรับรอง ยังมีช่างมาจากต่างถิ่นไม่น้อย
หลังจากรายงานจบ หวังทงก็โบกมือให้กู่จื้อปินออกไป รอประตูปิดลง หยางซือเฉินก็วางพู่กันลง กล่าวว่า
“ใต้เท้า ระบบเก็บภาษีและเกณฑ์แรงงานในห้าปีนี้อาจดี คลังย่อมเต็มจนล้น แต่หากไม่มีบารมีท่านจางค้ำไว้ เรื่องการแอบเก็บงำที่นาของพวกคหบดีก็จะค่อยๆ กลับมาอีกครั้ง ขุนนางท้องที่ก็ยังย่อมแบ่งฝ่าย ไม่นานก็ไม่เป็นเช่นนี้แล้ว”
“ไม่ว่าอย่างไร ท่านจางก็เป็นหัวหน้าขุนนางราชสำนัก เป็นพระอาจารย์ฝ่าบาท ยังมีความดีความชอบใหญ่ ไม่รู้ว่าตำแหน่งต่อไปจะดำรงตำแหน่งอันใด……”
หวังทงรำพึงกับตนเอง เสียงเบาอย่างยิ่ง หยางซือเฉินไม่ได้ยินวาจานี้
************
“วันที่ 13 เดือนสอง มองโกลเผ่าถ่านหินดำรุกรานเหลียวหยาง รองแม่ทัพเฉาฝู่เข้าต่อสู้ ไล่ล่าไปถึงฉางอานโดนกับดัก สูญเสียนายกองพันเฉินเผิงและทหาร 317 นาย พร้อมม้า 460……”
“ไม่ต้องอ่านแล้ว!”
ในห้องทรงอักษร สีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ดำคล้ำให้จางเฉิงหยุดอ่าน ฮ่องเต้ว่านลี่ตอนนี้โปรดให้ผู้อื่นอ่านฎีกาถวาย งานนี้ย่อมเป็นจางเฉิงและเจ้าจินเลี่ยงถวายงาน คนในวังอื่นๆ ล้วนอิจฉาตาร้อนแต่ก็ไม่อาจเข้าแทรกแซงได้
“เอามาให้เราอ่านเอง!”
จางเฉิงประคองถวายด้วยสองมือ ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงทอดพระเนตรจบก็เขวี้ยงฎีกาลงบนโต๊ะอย่างแรง ตวาดสุรเสียงดังว่า
“กรมทหารควรจะรู้ข่าวนี้ก่อนเรา แต่เหตุใดสองวันนี้ที่ประชุมจึงไม่มีผู้ใดเอ่ยเรื่องนี้?!”
“ฝ่าบาท เฝิงกงกงและท่านจางคิดว่าในเมื่อรบแพ้ ก็ให้จับรองแม่ทัพเฉาฝู่เข้าคุก คนอื่นไม่ต้องพลอยโดยลงโทษไปด้วย”
จางเฉิงรีบทูลอธิบาย เห็นพระขนงยกขึ้น ก็รีบทูลกระซิบว่า
“ฝ่าบาท หากว่าไล่เรียงความผิด ย่อมต้องเกี่ยวพันถึงแม่ทัพหลี่เฉิงเหลียงแห่งเหลียวโจว ตระกูลหลี่พ่อลูกเป็นแม่ทัพสองเมืองใหญ่ หลี่หรูซงเพิ่งรบมีชัยใหญ่ได้พระราชทานรางวัลไป หากจะลงโทษอีกทาง ราชสำนักเกรงว่าจะเสียเกียรติ นับประสาอันใดกับการแพ้เล็กๆ ส่งคนไปตรวจสอบก็พอแล้ว”
“นี่เพราะเห็นแก่เกียรติแห่งราชสำนัก หรือว่าเกียรติแห่งตระกูลหลี่ มันช่างน่าขันเสียจริง หลี่หรูซงออกนอกด่านรบชนะมาเช่นนั้น คนของหลี่เฉิงเหลียงเก่งกล้ากว่าหลี่หรูซงหลายสิบเท่า กลับรบมาได้เช่นนี้ ยังมีเกียรติอันใดอีก ยังมีหน้าพูดออกมาได้อีกหรือนี่?”
ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงแค่นเสียงหัวเราะพลางเสียดสี จางเฉิงยิ้มเฝื่อน น้ำเสียงเบาลงอีกกล่าวว่า
“ฝ่าบาท หากตระกูลหลี่สู้จริง พวกมองโกลที่เหลียวโจวย่อมถูกปราบราบคาบไปแล้ว แต่ทุกครั้งได้ชัยเพียงเล็กน้อย ทุกคนล้วนไล่ล่า หากมิใช่สังหารสิ้น……”
เห็นฮ่องเต้พิโรธจนพระเนตรถมึงตึง จางเฉิงก็ยิ้มเฝื่อนๆ กล่าวขึ้น
“พวกขุนนางบู๊ล้วนมีวิธีทำให้ตนเองดำรงอยู่ในอำนาจวาสนาให้นาน ไม่ใช่ว่าผู้ใดจะเหมือนหวังทงนะพะยะค่ะ!”