Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 536

ตอนที่ 536 สุริยันเจิดจ้าบนท้องนภา อาหลานตระกูลอู๋

มหาอำมาตย์แสดงความคิดเห็นชัดเจน ทุกคนนอกจากเห็นคล้อยตามก็ล้วนไม่กล่าวอันใดต่อ เซินซือหังกับจางซื่อเหวยกลับเข้านั่งประจำที่เดิม เสนาบดีกรมปกครองหลี่โย่วจือที่เงียบมาโดยตลอด จึงได้ยิ้มกล่าวว่า

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนี้ก็ขอเลือกอีกสองท่านที่มีคุณสมบัติ นำชื่อทูลเกล้าถวายฎีกาฮ่องเต้ ให้ทรงตัดสินพระทัย!”

จางจวีเจิ้งพยักหน้าพยักหน้า ตำแหน่งขุนนางชั้นสูงว่างลง หลังจากขุนนางหารือกันแล้ว ก็จะส่งสามตัวเลือกให้ฮ่องเต้ ให้ทรงเลือกหนึ่งในสาม

แต่ละครนี้ก็เสร็จก่อนหน้านานแล้ว สามตัวเลือกส่วนใหญ่ที่เหลืออีกสองก็ย่อมมีคุณสมบัติไม่พอ คนที่ทุกคนเลือก ย่อมถูกฮ่องเต้เลือกไว้ นับประสาอันใดกับการที่วันที่อำนาจยังอยู่ในมือมหาอำมาตย์จางจวีเจิ้ง ในเมื่อตัดสินใจแล้ว ฮ่องเต้ก็ย่อมไม่มีข้อโต้แย้งใด

สำนักคณะเสนาบดีใหญ่ที่มีอาลักษณ์ทำหน้าที่ร่างฎีกาเตรียมขึ้นทูลเกล้า พวกขุนนางที่ปฏิบัติหน้าที่กันในสำนักนี้มีเบี้ยหวัดน้อยนิด แต่ทุกคนร่ำรวย เพราะมีคนชั้นสูงมากมายไม่รู้เท่าไรที่มาซื้อข่าวจากพวกเขา

จางเสวียเหยียนได้เลื่อนเป็นเสนาบดีกรมอากร ข่าวนี้เกรงว่ายังไม่ทันร่างฎีกาถวายฮ่องเต้ ทั่วเมืองหลวงก็รู้ทั่วกันแล้ว

ระบบภาษีและเกณฑ์แรงงานใหม่ดำเนินการแล้ว แต่ละที่ก็ส่งภาษีมายังเมืองหลวงมากขึ้นหลายเท่า ชื่อเสียงของจางจวีเจิ้งผู้ผลักดันระบบภาษีและเกณฑ์แรงงานใหม่นี้โด่งดังไปทั่ว ราวกับสุริยันเจิดจ้าบนท้องนภา

เรื่องที่หารือกันในคณะเสนาบดีใหญ่ การจัดการเรื่องราวการปกครองอันใด แม้ว่าสุดท้ายคนตัดสินใจจะเป็นท่านจาง แต่ทุกคนก็ยังคงมีข้อคิดเห็นแย้งกัน บางครั้งจางจวีเจิ้งก็ต้องการเสียงสนับสนุนจากเซินสือหังและจางซื่อเหวย หลังจบเรื่องก็มีคนเห็นต่าง แต่ตอนนี้วาจาท่านจางก็ราวกับราชโองการ หรืออาจเป็นยิ่งกว่าราชโองการ

การเห็นแย้งทั้งหมดล้วนอยู่ก่อนหน้าท่านจางตัดสินใจ ท่านจางกล่าวคำเดียว ทุกอย่างก็ได้คำตอบแล้ว ทุกคนไม่อาจกล่าวแย้งได้อีก

แม้จะเป็นเพียงขุนพลอยพยักในราชสำนัก แต่ทุกคนก็ยินดี ก็แค่ทำให้จบกระบวนการไป กลับบ้านก็เสพสุขกันต่อ เดิมทุกคนยังมีความคิด แต่ตอนนี้ท่านจางมีอำนาจมาก รองอำมาตย์ลงมาก็มีจางซื่อเหวย อันดับถัดมายังมีเซินสือหัง คิดจะปืนขึ้นไปไม่มีตำแหน่งว่างแล้ว

เสนาบดีกรมทหารจางซื่อเหวยหลังจากเลิกประชุม ปฏิเสธไปสองงานเลี้ยงแล้ว ก็นั่งเกี้ยวกลับจวน เขานั่งอยู่ในเกี้ยวด้วยสีหน้าดำคล้ำ ย่อมไม่มีผู้ใดเห็นสีหน้ำยามนี้

หน้าประตูจวนก่อนลงจากเกี้ยว สีหน้าจางซื่อเหวยก็เป็นปกติ คนเฝ้าประตูเข้ามาต้อนรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม พ่อบ้านในจวนก็กำลังรออยู่ รีบปรี่เข้ามารับ

พอเข้าประตูไป พ่อบ้านตระกูลจางก็โบกมือให้คนรับใช้ออกไป น้ำเสียงลำบากใจอยู่สักหน่อย กล่าวว่า

“นายท่าน เมื่อครู่รองเจ้ากรมสวีมาขอพบ เรื่องนั้น……เรื่องสองหมื่นตำลึงที่ต้อง..ต้องส่งคืน……”

กล่าวไปก็ลอบมาสีหน้าจางซื่อเหวยไป พูดจาติดๆ ขัดๆ สีหน้าจางซื่อเหวยบึ้งตึง ค่อยเดินก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว ก่อนจะกล่าวว่า

“ส่งคืนให้เขาไปก็แล้วกัน สวีชิงซานคิดเล็กคิดน้อยเช่นนี้ ปล่อยเขาไป!”

ได้ยินจางซื่อเหวยกล่าวเช่นนี้ พ่อบ้านก็ถอนหายใจ รีบวิ่งเหยาะๆ ออกไป จางซื่อเหวยส่ายหน้า มือที่บีบแน่นคลายออก สุดท้ายสีหน้าก็เป็นปกติ

เดินไปได้ไม่กี่ก้าว พ่อบ้านกลับวิ่งกลับมาโค้งคำนับรายงานว่า

“นายท่าน กู้เซี่ยนเฉิงเจ้าหน้าที่กรมอากรประจำหน่วยฮกเกี้ยนมาขอพบ นายท่านให้พบหรือไม่?”

จางซื่อเหวยคิ้วกระตุก สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา พ่อบ้านตกใจคำนับต่ำกว่าเดิม รีบกล่าวว่า

“นายท่านเคยบอกว่าไม่พบ แต่กู้เซี่ยนเฉิงมาขอร้องอย่างจริงจัง กอปรกับยังเป็นขุนนางในราชสำนัก แล้วยังสนิทกับข้าน้อยทางนั้น……”

“กลัวว่าสนิทด้วยของส่งมอบหนาสินะ พวกเจ้าเห็นเงินก็ตาโตแล้วสินะ!”

จางซื่อเหวยแค่นเสียงเย็น พ่อบ้านตกใจจนไม่กล้ากล่าวอันใด หากรีบคำนับ กำลังจะเดินออกไป เดินไปได้สองสามก้าว จางซื่อเหวยก็นิ่งไปก่อนจะกล่าวว่า

“เชิญเขาเข้ามาได้!”

***********

“ใต้เท้าจาง บ้านข้าน้อยอยู่อู๋ซี โดยรอบหมู่บ้านไม่อาจทนการรบกวนของขุนนางได้ จึงได้นำที่นามาฝากข้าน้อยดูแล แต่พอดำเนินการระบบภาษีและเกณฑ์แรงงานใหม่ นายอำเภออู๋ซีนอกจากแบ่งที่นาหมู่บ้านใหม่ ยังอาศัยอำนาจรังแกคนอื่น บีบเอาที่นาจากครอบครัวข้าน้อยไปไม่น้อย ใต้เท้าจาง ข้าน้อยสอบบัณฑิต มีตำแหน่งขุนนางบัณฑิต แต่กลับถูกขุนนางท้องถิ่นรังแกเช่นนี้ ใต้หล้าไม่รู้ยังมีขุนนางบัณฑิตต้องตกระกำลำบากอีกมากเท่าไร!”

กู้เซี่ยนเฉิงสวมชุดสีครามตัวยาว สองมือสะบัดขึ้นลง กล่าวน้ำเสียงสั่นเครือ ในห้องมีเพียงกู้เซี่ยนเฉิงและจางซื่อเหวยสองคน จางซื่อเหวยกลับถือจอกน้ำชา ค่อยๆ จิบ ราวกับว่าตกในภวังค์ กู้เซี่ยนเฉิงหรี่ตามอง กล่าววาจาช้าลง กล่าวว่า

“ใต้เท้าจาง ที่ท่าเฟิงหลิง เมืองผูโจวก็มีตระกูลใหญ่ มีที่นาไม่น้อย ข้าน้อยได้ยินมาว่า ระบบภาษีและเกณฑ์แรงงานใหม่ครั้งนี้ ส่งผลกระทบกับพวกเขาไม่น้อยเช่นกัน……”

“ระบบภาษีและเกณฑ์แรงงานใหม่เป็นระบบจัดการใต้หล้า เกี่ยวพันถึงแผ่นดิน ตระกูลหนึ่งเสียผลประโยชน์จะเทียบกันได้อย่างไร ซูสือ เจ้าเป็นขุนนาง เรื่องแผ่นดินกับส่วนตัวต้องแยกแยะให้ชัดเจน!”

จางซื่อเหวยกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบ กู้เซี่ยนเฉิงอึ้งไปก่อนจะรีบสังเกตประเด็นหนึ่งได้ทันที ผู้ที่ตนเคยให้ความเคารพอย่างที่สุดมาตลอดอย่างเช่นจางซื่อเหวย เรียกชื่อรองตนเองอย่างสนิทสนม เขารู้สึกดีใจ ตามมาด้วยคำกล่าวอย่างจริงจังว่า

“ใต้เท้าจางอยู่ในตำแหน่งสูงส่ง ย่อมมีประสบการณ์มาก แต่เรื่องนี้ข้าน้อยเองรู้สึกแปลกใจ ใต้หล้านี้เป็นใต้หล้าของผู้ใดกัน ใต้หล้านี้เป็นใต้หล้าของโอรสสวรรค์ ระบบภาษีและเกณฑ์แรงงานใหม่ได้ประโยชน์เล็กแต่เสียคุณธรรมใหย่ พวกขุนนางบัณฑิตลำบากยากเย็นไม่กล้าเอ่ยวาจา นานไป ประเทศย่อมเสียหาย สั่นสะเทือนความมั่นคงแห่งแผ่นดิน!”

พวกมีตำแหน่งสอบได้บัณฑิตไม่เพียงแต่ตนเองที่มีสิทธิพิเศษไม่เสียภาษี ราษฎรไม่มีตำแหน่งยังต้องอาศัยชื่อพวกเขารับฝากที่นาไว้ ขอให้ได้สิทธิยกเว้นภาษี ใต้หล้าไม่มีงานเลี้ยงกินไม่จ่ายเงิน ขอให้ละเว้นภาษี ก็ย่อมให้ผลประโยชน์ พวกมีตำแหน่งหรือพวกเก็บงำภาษีที่แผ่นดินควรได้นี้ไว้ หรือพวกที่อาศัยจังหวะนี้ฮุบที่ดินคนอื่นไว้ก็มีมาก

การตรวจสอบที่ดินและระบบภาษีและเกณฑ์แรงงานใหม่ เกิดขึ้นเพื่อต่อการกับเรื่องพวกนี้ ทำให้คนไม่อาจปิดบังที่ดินที่ครอบครองไว้ ส่งผลกระทบต่อเงินทองของเหล่าบัณฑิตมีตำแหน่งอย่างมาก

วาจาดุเดือดเช่นนี้ จางซื่อเหวยฟังเงียบๆ กู้เซี่ยนเฉิงค่อยๆ กล่าวช้าลง กล่าวต่อว่า

“ตอนนี้กรมปกครองวัดผลงาน อันดับแรก ดูว่าเก็บภาษีได้เป็นอย่างไร หากไม่เต็มเก้าส่วน นี่จะเป็นหลักปกครองแผ่นดินได้อย่างไร ขุนนางไล่ตามผลประโยชน์ ละเลยคำสอนขงจื้อ จารีตพังทลาย ไร้ศีลธรรม บัณฑิตในเมืองหลวงตอนนี้กำลังเตรียมรวมตัวกันถวายฎีกา ขอให้ใต้เท้าจาง……”

“ซูสือ เจ้าร้อนไหม?”

จางซื่อเหวยพูดขัดจังหวะกู้เซี่ยนเฉิง กลับถามคำถามแปลกประหลาดเช่นนี้ กู้เซี่ยนเฉิงอึ้งไป ส่ายหน้ากล่าวว่า

“ใต้เท้ากล่าวอันใดกัน ยังไม่ถึงเดือนห้า ไหนเลยจะพูดกันเรื่องร้อนไม่ร้อน”

“สุริยันเจิดจ้าบนท้องนภา ด้านนอกห้องร้อน ด้านในห้องเองก็ร้อน แม้ว่ามีห้องปิดบังแสง ก็ยังคงร้อน”

“ตอนกล่าววาจานี้ จางซื่อเหวยยังชี้นิ้วขึ้นฟ้า กู้เซี่ยนเฉิงขมวดคิ้วเป็นคำถาม ในใจรู้สึกร้อนใจ คิดถึงว่าสุริยันเจิดจ้าหรือจะเป็นจางจวีเจิ้ง ในห้องหรือจะเปรียบกับจางซื่อเหวย จางซื่อเหวยกล่าวต่อว่า

“ซูสือ เจ้ามาอยู่กรมอากรได้กี่ปี ขุนนางบัณฑิตเมืองหลวงล้วนกล่าวชื่นชมเจ้า มีอนาคตไม่น้อยเลย แต่อย่างไรก็อายุยังน้อย ยังเก็บอารมณ์ไม่เป็นสินะ!”

“ใต้เท้าจางหมายความว่า?”

“ข้าจะกล่าวอันใดได้ ก็แค่อยากเตือนพวกเจ้าอายุยังน้อยทำการใดต้องใจเย็น ทุกเรื่องล้วนต้องดูให้ดีก่อนค่อยลงมือกระทำ!!”

กู้เซี่ยนเฉิงเงียบไปสักครู่หนึ่ง เขามาขอพบถึงจวน เดิมก็เพราะได้ยินเรื่องราวบางอย่างคิดจะมาลองเสี่ยงดู แต่คิดไม่ถึงว่าหลังจากคุยกันไปกี่คำ ความนัยจางซื่อเหวยกลับไม่กระจ่าง ท่าทางก็เช่นกัน แต่ก็เหมือนว่าไม่คิดจะเข้าร่วมยื่นฎีกาด้วยเป็นแน่

“ใต้เท้าจาง พรุ่งนี้ฎีกาเจ้าซื่อชิงนายกองกรมทหารประจำหนานจิงก็มาถึงสำนักฎีกาแล้ว”

“เขาถวายฎีกา เกี่ยวอันใดกับเจ้า สำนักเสนาบดีใหญ่ไม่อาจขัดขวาง ต้องเข้าไปสู่สำนักส่วนพระองค์ก่อน ดูท่าทีโอรสสวรรค์ก่อน”

การยื่นฎีกาปกติผ่านสำนักฎีกาเข้าวัง สำนักส่วนพระองค์จัดการก่อน สำนักเสนาบดีใหญ่ไม่อาจแทรกแซงได้ ถึงตอนนั้นก็ค่อยดูท่าทีคนในวัง ก็พอจะรู้ได้แล้ว

จางซื่อเหวยไม่กล่าววาจามากความ หากยกจอกน้ำชาขึ้นแสดงท่าที กล่าวว่า

“วันนี้ไม่มีอันใดต้องกล่าวต่อแล้ว ซูสือกลับไปก่อนเถอะ!”

กู้เซี่ยนเฉิงคำนับลงต่ำ กล่าวน้ำเสียงจริงจังว่า

“ใต้เท้าจางวันนี้เพียงแค่แนะนำบทความแก่ข้าน้อย ข้าน้อยขออำลา!”

*************

“บุกขึ้นหน้า!!”

หลี่หู่โถวตะโกนดัง คำสั่งและเสียงกลองดัง ธงโบกสะบัด ขบวนทัพค่อยๆ เคลื่อนขยับ พลทวนยาวขนาดเล็กลงกว่าเมื่อก่อนมาก แต่ระดับความเร็วในการบุกเห็นได้ชัดว่าดีกว่าเก่ามาก พื้นที่ระยะห่าง 20 ก้าว พลปืนไฟ 600 นายเรียงเป็นแถวแนวนอนค่อยๆ ก้าวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ

“หยุด!”

“เตรียมยิง!”

เสียงคำสั่งดังขึ้น พลทวนยาวรีบหยุดทันที พลปืนไฟแนวนอนเรียงแถวเสร็จ ก็เริ่มเตรียมการยิง จัดการท่าทางเสร็จท่าหนึ่ง ก็ไปอีกท่าหนึ่ง วนไปมาหลายรอบ หัวหน้ากองพลปืนไฟตะโกนดัง ทหารทุกคนแยกตัวจากศูนย์กลาง วิ่งกลับไปด้านหลัง

พลปืนไฟ 300 นายเป็นหนึ่งกอง พลทวนยาวสองปีกเป็นหนึ่งกอง ยามนี้พลทวนยาวล้วนวางทวนแนวราบ พลปืนไฟกำลังบรรจุกระสุนอย่างเร่งรีบ

ด้านหน้าพวกเขามีทหารม้าสิบกว่านายกำลังบังคับม้าหันหัว หวังทงอยู่บนเวทีไม้ด้านข้างพยักหน้า หันไปกล่าวกับถานเจียงว่า

“การจัดทัพเช่นนี้ หากต้องเจอกับทหารม้าก็ไม่เสียเปรียบ พวกที่สามารถบุกมาประจันอยู่หน้าแถวพลปืนไฟจะต้องบาดเจ็บล้มตายหนักเป็นแน่”

“นายท่านกล่าวได้ถูกต้อง ใช้ปืนใหญ่ด้วยล่ะก็ เกรงว่าพวกมองโกลคงมาไม่ถึงด้านหน้า”

ถานเจียงรับคำกล่าวขึ้น หน่วยของถานปิงก็ฝึกเช่นเดียวกัน สองหน่วยค่อยๆ ประสานกัน รูปแบบทัพเช่นนี้ทำให้ยิ่งมีเสถียรภาพมั่นคงยิ่งขึ้น การเคลื่อนไหวและการยิงของพลปืนไฟ 1,200 นายเป็นการรับประกันประสิทธิภาพการรบด้วยปืนไฟ

“นายท่าน นำอู๋เอ้อร์กับหลานทั้งสามคนมาแล้วขอรับ!”

ได้ยินถานเจี้ยงตะโกนมาจากด้านล่างเวที มีทหาร 20 นาย นำตัวอู๋เอ้อร์ผู้เป็นอาและหลานๆ มาถึง หวังทงหันไปมอง อู๋เอ้อร์ร่างกายสูงใหญ่กำยำดังเดิม ใบหน้าหนวดเครายาวครึ้มไม่น้อย ผมยาวกระจัดกระจาย มองอย่างไรก็ไม่ออกว่าผอมโซตรงไหน หนุ่มน้อยอีกสามคนก็ล้วนเช่นกัน หากมีความดุเดือดบางอย่างที่ปิดบังไม่มิด

หวังทงยิ้มส่ายหน้า กล่าวว่า

“พวกเจ้ามีความสามารถอันใดให้ข้าเลี้ยงไว้?”

“นายท่าน พวกเราชำนาญขี่ม้า!!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!