ตอนที่ 55 เสียงร้องไห้ในวันปีใหม่
ตั้งแต่มาสู่ในยุคสมัยนี้นี่เป็นการดื่มสุราครั้งแรก แม้จะดื่มไปน้อย แต่หลายเดือนก่อนปีใหม่ได้ประสบกับเรื่องราวมากมายเกินไป ทำให้เหน็ดเหนื่อยทั้งกายและใจ พอกินดื่มฉลองปีใหม่เสร็จก็ผล็อยหลับลึกไป
การนอนครั้งนี้หลับได้ดีมากกว่าปกติ ตอนตื่นขึ้นมาฟ้าก็สว่างแล้ว นางหม่าทำความสะอาดเสร็จ แม้แต่น้ำชาและของว่างไว้ต้อนรับแขกที่มาอวยพรปีใหม่ก็เตรียมไว้ให้เสร็จสรรพแล้ว
หวังทงนอนห่อตัวอยู่ในผ้าห่มหลับสนิทอยู่บนเตียงไม่รับรู้อะไร เขาเหนื่อยและอดนอนมามาก ในภาวะจิตใจตึงเครียดเช่นนี้ มีเพียงฤทธิ์สุราเท่านั้นที่จะทำให้เขาผ่อนคลายได้ชั่วขณะหนึ่ง
เสียงร้องหวนไห้น่าสงสารปลุกหวังทงให้ตื่นขึ้น เขาดีดตัวเด้งขึ้นมาจากเตียง หยิบมีดสั้นใต้หมอนออกมาด้วย
แต่พอตอนตื่นมาได้ยินแต่เสียงประทัดและเสียงหัวเราะของเด็ก หรือจะเป็นความฝัน หวังทงสะบัดหัวไปมา ในใจคิดว่าวันหน้าแตะสุราให้น้อยหน่อยน่าจะดี อย่างไรตนก็ควรระมัดระวังทุกฝีก้าว ดื่มสุราจะทำให้การงานเสียหายและอาจนำความยุ่งยากมากมายเข้ามา อาจนำภัยมาถึงแก่ชีวิตได้
หวังทงดื่มน้ำชาที่วางไว้จนเย็นอยู่บนโต๊ะ จากนั้นก็ลุกขึ้นล้างหน้าล้างตาบ้วนปาก เตาในห้องมีหม้อนึ่ง เปิดออกมาก็เห็นอาหารที่เหลือจากเมื่อคืนอุ่นอยู่ นางหม่าช่างเป็นห่วงเป็นใย หวังทงรู้สึกอบอุ่นขึ้นในใจ กำลังจะกินอะไรสักหน่อยก็ได้ยินเสียงคนเรียกอยู่ด้านนอก
เปิดประตูออกไปดู ก็พบซุนต้าไห่กับพรรคพวก ทุกคนสวมชุดใหม่ ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส พอเห็นหวังทงเปิดประตูออกมา ทุกคนก็โหวกเหวกกล่าวว่า “ขอให้ร่ำรวยเงินทอง” “ปีใหม่ มหามงคล” “เจริญก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไป”
ซุนต้าไห่ผู้นี้เปิดเผยตรงไปตรงมายิ่งนัก บรรดาลูกน้องก็ไม่ต่างกัน พอพวกเขามาถึง บรรยากาศในบ้านก็ดีขึ้นไม่น้อย
“ใต้เท้า พ่อแม่ข้าปีใหม่ยิ้มกันไม่หุบ พี่น้องข้ากินเนื้อกันจนแน่นท้องไปหมด ไอ้ลูกหมากองธงเล็กบางคนที่หัวเราะเยาะพวกเราที่ต้องมาทำงานกับท่าน ตอนนี้พากันตาร้อนเหมือนกระต่ายตาแดงขี้อิจฉา”
ซุนต้าไห่เป็นคนเสียงดังมาก พอพูดจบ คนที่ตามมาด้วยกันกับเขาก็พากันหัวเราะเสียงดังลั่น รู้สึกได้ใจอย่างมาก
พอให้เข้ามานั่งในบ้าน ซุนต้าไห่และพรรคพวกก็ดีอกดีใจ กล่าวกันว่าพอได้รับของฉลองปีใหม่ พ่อแม่ภรรยาและลูกๆ ก็ดีใจกันมาก เพื่อนบ้านก็พากันอิจฉา หวังทงได้ฟังแล้วก็อมยิ้ม กล่าวแทรกขึ้นว่า
“วันที่ 8 เดือนหนึ่งพี่น้องทุกคนมารายงานตัวได้ ทุกคนก็เห็นว่าการรื้อถอนด้านหลังขนานใหญ่ บนถนนก็ล้วนวุ่นวายเป็นอันมาก ต้องมีคนมาคอยดูแล!”
“ใต้เท้าวางใจ เมื่อครู่พวกข้าน้อยได้ลองเดินดูคร่าวๆ มารอบหนึ่ง เขตพื้นที่ที่กองร้อยเราดูแลมีแนวตั้งสี่แนวนอนห้าแถวเช่นนี้ พวกเราสิบคนพี่น้องแบ่งเป็นห้ากอง ดูแลคนละแถว ตระเวนแบบสลับแยกก็ได้แล้ว”
ได้ยินคำตอบของซุนต้าไห่ หวังทงอดพยักหน้าตามไม่ได้ เดิมคิดว่าพอย้ายมาอยู่กับตนแล้วยังต้องอบรมงาน แต่คิดไม่ถึงว่าซุนต้าไห่ทำงานเป็น นี่นับเป็นเรื่องน่ายินดีที่คาดไม่ถึง
กองกำลังองครักษ์เสื้อแพรจะแย่อย่างไร แต่อย่างน้อยก็มีระบบสืบทอดกันมา การดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยก็นับว่ามีความคุ้นชิน กลับเป็นหวังทงที่มีประสบการณ์น้อยมาก ไม่ชำนาญเอาเสียเลย
ซุนต้าไห่ยังกล่าวอีกว่าถนนทักษิณนี้ไม่มีตรอกชุมชนเล็ก ถนนเส้นใหญ่ค่อนข้างมาก ขอเพียงเฝ้าหัวถนนให้ดี ใส่ใจเฝ้าระวังหน่อย อย่างไรก็คงไม่มีใครกล้ามาก่อกวน หวังทงเอ่ยปากกล่าวว่า
“บอกกันก่อนว่า งานพี่น้องเราก็คือรักษาความสงบ กวาดล้างจับกุม ขาดเหลือเงินทองให้มาบอกข้า แต่หากไปรีดเค้นเอากับพ่อค้าประชาชน ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”
ได้ยินหวังทงกล่าวหนักแน่นเช่นนั้น ซุนต้าไห่กับพวกก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ยืนเรียงหน้ากระดานเป็นระเบียบ ประสานมือโค้งคำนับรับคำ พอนั่งลงก็มีคนทำหน้าทะเล้นกล่าวว่า
“พวกแตงเล็กแตงน้อยที่เก็บได้บนถนนสู้เงินปีที่ใต้เท้ามอบให้ไม่ได้ ใครจะไปอยากได้ มิใช่ว่าเก็บสุนัขทิ้งลาหรอกหรือ”
พูดได้เห็นภาพ ทุกคนพากันฮากันครืน หวังทงก็พลอยหัวเราะไปด้วย ทำงานต้องได้เงิน มีรายได้จากหอเลิศรสเช่นนี้ ทุกเรื่องก็สะดวกขึ้นมาก ไม่มีเบี้ยหวัด จะให้ลูกน้องไปรักษากฏเกณฑ์อะไรก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ หวังทงกลับเลี้ยงให้อิ่มก่อนจะกล่าวกฏระเบียบ ซึ่งมันได้ผลดีมาก
บรรยากาศผ่อนคลายลง หวังทงก็กล่าวหยอกกับตนเองว่า
“ก็ไม่รู้ทำไม เช้านี้ก่อนตื่นมาอยู่ๆ ได้ยินเสียงร้องไห้ พอตื่นมาก็เงียบ ดูท่าแล้วข้าอายุคงยังไม่ถึงเวลาดื่มสุรา ดื่มแล้วทำให้เห็นภาพหลอน”
เดิมคิดว่าพูดจบทุกคนจะหัวเราะกัน คิดไม่ถึงว่าในห้องเงียบกริบ หวังทงอึ้งเงยหน้าขึ้น ซุนต้าไห่เอ่ยขึ้นอย่างลังเลว่า
“ใต้เท้า ตอนพวกเรามาถึงกลางทางก็ได้ยินเสียงร้องไห้ดังขึ้นจริง”
“ถนนสายนี้หรือ?”
“ถนนสายนี้ขอรับ ห่างจากบ้านใต้เท้าไม่ไกล…”
คนยุคนี้ให้ความใส่ใจกับเสียงหัวเราะยินดีในวันปีใหม่กัน เรื่องใหญ่เพียงใดก็ต้องรอให้พ้นปีใหม่ไปก่อนค่อยว่ากัน วันปีใหม่เป็นวันอวยพรกัน ยิ่งไม่อาจขายหน้าให้คนนอกเห็นได้
แม้ว่าเสียงร้องที่ได้ยินนั้นจะอยู่ในช่วงครึ่งหลับครึ่งตื่น แต่เสียงร้องโหยหวนทำให้ลืมไม่ลง ถนนทักษิณนี้ล้วนเป็นพวกร่ำรวยพอมีอันจะกินกัน ปีใหม่อย่างนี้กลับมีเรื่องเช่นนี้ได้ เกิดเรื่องอะไรกันแน่
หยิบดาบปักวสันต์เหน็บเอวแล้วหวังทงก็ลุกออกไป ซุนต้าไห่กับพวกพากันอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะรีบตามไป ซุนต้าไห่ลนลานตามไปอธิบายว่า
“ตอนนั้นรีบมาอวยพรใต้เท้า และก็คิดว่าเป็นเรื่องส่วนตัวบ้านอื่น จึงไม่ได้ไปสนใจ”
หวังทงโบกมือ เดินไปกล่าวไปว่า
“ข้าก็อาจคิดมากไป ไปดูเดี๋ยวก็รู้”
พอก้าวออกจากประตู หม่าซานเปียวที่สวมชุดใหม่ก็กำลังเดินเข้ามาก พอจะเอ่ยอวยพรปีใหม่ ก็เห็นท่าทางของทั้งกลุ่มก็รีบกลืนคำพูดกลับไป หวังทงออกคำสั่งว่า
“ซานเปียว หยิบอาวุธในบ้านตามข้ามา”
หม่าซานเปียวเป็นคนชอบเรื่องสนุก เรื่องทางการที่ผู้คนเกรงกลัวพากันหลบเลี่ยง แต่เขากลับรีบไปหยิบขวานผ่าฟืนในบ้านหวังทงออกมาก้าวตามไปทันที
เดินไปทางทิศใต้ได้ 20 กว่าก้าว ก็เลี้ยวไปทางตะวันออก เข้าไปในตรอกชุมชน ตรอกชุมชนนี้มีทางเดินกว้างราวสองหน้าร้าน หวังทงอึ้งไปตรงปากทางเข้า นี่ไม่ใช่บ้านของเถ้าแก่เจ้าของร้านขายสินค้าแดนใต้หรอกหรือ?”
เขาหันหน้าไปถามให้แน่ใจว่า
“ที่นี่หรือ?”
“ขอรับ ตอนนั้นเราทุกคนยังด่ากันใหญ่ พอเห็นเป็นชุมชน ก็ไม่ได้ไปสนใจ”
หวังทงยิ่งรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง ตอนนี้นึกถึงก่อนปีใหม่ที่มาที่นี่ยืมกระดาษพู่กัน เถ้าแก่เจ้าท่าทางลนลานไร้สติ ตอนนั้นยังรู้สึกแปลก ตอนนี้ไม่น่าจะเป็นเรื่องดีนัก
เดินเข้าไปในตรอกชุมชน ประตูบ้านเถ้าแก่เจ้าปิดสนิท ไม่เห็นติดกลอนคู่ปีใหม่ ไม่มีอักษรมงคลติดไว้ คนหนึ่งในพวกซุนต้าไห่กระซิบถามอย่างสงสัยว่า
“ปีใหม่อย่างนี้ ทำไมที่หน้าประตูและที่ร้านแม้แต่ประทัดก็ไม่มี…”
ปีใหม่จุดประทัด เศษกระดาษสีแดงส่วนใหญ่ก็จะไม่เก็บกวาดกันก่อนวันที่ 7 ก็เพื่อแสดงความหมายว่าความสุขเงินทองบริบูรณ์ แต่เห็นหน้าร้านเถ้าแก่เจ้าเป็นเช่นนี้ สะอาดเงียบสงัด ราวกับไม่มีสภาพฉลองปีใหม่เลยแม้แต่น้อย ตามหลักแล้วในบ้านมีผู้สูงอายุจากไปจึงเป็นเช่นนี้ แต่บนนถนนทักษิณนี้ เถ้าแก่เจ้าก็นับว่าสนิทสนมกับหวังทง แต่ก็ไม่ได้ยินว่าคนในบ้านประสบเหตุอันใด
ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง หวังทงก็เดินเข้าไปทุบประตู ทุบไปตะโกนไปว่า
“พี่เจ้า พี่เจ้า อยู่บ้านไหม?”