ตอนที่ 550 ไม่สังหารโจรที่เหลือให้สิ้นไม่กลับบ้าน
ยิงจากมุมสูง ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่แม่น พอยิงไปได้สามรอบ พวกโจรที่โยนเชือกคิดปีนขึ้นมาก็ถูกสังหารไปกว่าครึ่ง
ดาดฟ้าเรือไม่ตายก็บาดเจ็บ เดิมตะโกนอาจหาญ ตอนนี้กลับเงียบกริบไปมาก ทว่าปืนไฟก็ไม่อาจยิงกวาดไปได้หมดในมุมต่ำเช่นนี้ เพราะอย่างไรก็มีมุมที่หลบได้
พวกโจรสลัดที่จับเชือกปืนได้ยินเสียงเพื่อนโจรร้องโหยหวน ในใจก็หนาวเหน็บ แต่ก็รู้ว่าห้อยตัวอยู่เช่นนี้ก็ย่อมตกทะเลในไม่ช้า จะกลับไปเรือตน ดีไม่ดีก็อาจโดนยิงตายได้ ทางเดียวที่จะรอดก็คือปีนขึ้นไป ปีนขึ้นไปบนเรือใหญ่ ยังสามารถสู้ตายได้
พลปืนยิงไปสามรอบก็เงียบลง โจรสลัดรอดตายหลายสิบคาบอาวุธปีนขึ้นมาต่อ
เป็นปฏิบัติการที่ชำนาญ ปีนเชือกขึ้นไปอย่างคล่องแคล่วว่องไว ไม่นานก็ปีนขึ้นไปได้ คว้ากาบเรือตีละกาขึ้นไปทันที
หากโผล่ไปแค่ครึ่งตัวก็เห็นปากกรอบอกสีดำเรียงแถวส่องมาทางตน อ้าปากร้องอย่างไม่อาจควบคุมตนเอง อาวุธร่วงหล่น
เสียงดังปังๆ ติดต่อกัน โจรสลัดที่ปีนโผล่มาได้ครึ่งตัว ทุกคนมีรูตามตัวหงายหน้าขึ้นฟ้า ร่วงหล่นลงไปทันที
“อย่าบิง อย่ายิง พวกเรายอมแล้ว พวกเรายอมแล้ว!”
ยิงกันมาถึงขั้นนี้ โจรสลัดที่ยังรอดชีวิตไม่คิดว่าจะยังมีชีวิตรอดต่อไปได้ ตะโกนขึ้นอย่างสิ้นหวังเต็มที
ยามนี้ หวังทงกับทหารติดตามก็คว้าอาวุธเข้าต่อสู้ เตรียมปะทะกันเต็มที่ ได้ยินวาจานี้ ก็ยิ้มสบตากัน ดำบสันหนาในมือทังซานยกขึ้น หากพอได้รับสัญญาณเห็นชอบจากหวังทงก็เข้าไปตะโกนดังว่า
“ขอเกี่ยวอันใดอย่าได้ขยับ ทุกคนถอยกลับไปดาดฟ้าเรือเดิม กุมศีรษะคุกเข่าลง!”
ได้ยินเสียงเอะอะด้านล่าง มีคนมองไปยังกาบเรือ เห็นพวกโจรปืนลงมาจากเชือกทีละคน โยนอาวุธทิ้งลงคุกเข่าพร้อมกันอยู่บนดาดฟ้าเรือ
หวังทงมองซ้ายขวา ก่อนจะออกคำสั่งว่า
“ตั้งปืนใหญ่สองกระบอกจ่อไปที่เรือข้างๆ ส่งคนลงไปจับกุมคนและเรือ”
เขานำคนไปท้ายเรือดูเรือสองลำที่เหลือ เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะออกคำสั่งว่า
“เรืออีกสองลำที่เหลือไม่ว่าเคลื่อนไหวได้หรือไม่ ก็ให้ลากเข้าอ่าว โจรสลัดที่ยังไม่ตายก็ให้นำขึ้นเรือกลับไป ออกทะเลลอยลำแล้วก็ให้เรือเล็กขึ้นไปสำรวจจำนวนที่ยังอยู่และตาย!”
ทังซานได้ยินก็รีบวิ่งออกไปถ่ายทอดคำสั่ง ส่งสัญญาณไป ส่งเรือเล็กตามไป ทหารเทียนจินเชี่ยวชาญการจับเชลย เรือที่ยอมแพ้เอาศพไปกองไว้ทางหนึ่ง ที่ยังมีชีวิตรอดก็จับมัดลงท้องเรือไป
ทุกฝ่ายกำลังจัดการกันอย่างขมักเขม้น เรือสองลำที่เรือกลับเป็นเรื่องยุ่งยาก หลังจากถูกระดมยิงไป เสากระโดงหักโค่น ก็ได้แต่ใช้เชือกมัดไว้บนเรือลากไปเท่านั้น
บนเรือตอนนี้แม้ว่ากำลังชุลมุน แต่ก็เคร่งเครียดน้อยกว่าเมื่อครู่ ระหว่างรบกัน ทุกคนย่อมเคร่งเครียด ตอนนี้ได้ชัยชนะแล้ว ย่อมรู้สึกผ่อนคลาย
หวังทงไม่ค่อยเข้าใจเรื่องบนเรือนัก เขาเองก็ไม่เข้าไปแทรกแซง หากเดินไปยังข้างเรือเพื่อยืนมองทหารเก็บกวาดจัดการ
“ทังซาน เรือสามลำมีแต่ลำนี้ที่เคลื่อนที่ได้กระมัง!”
เสากระโดงหัก ก็เท่ากับขาขาด ย่อมไม่อาจขยับได้ หวังทงถามถึงเรื่องนี้ ทังซานไม่กล้ารอช้า แต่เรือห่างกันหลายลำ คิดจะดูให้แน่ใจก็ต้องใช้แรงกำลังไม่น้อย เขาวิ่งจากหัวเรือไปท้ายเรือ กลับมารายงานว่า
“มีแต่ลำนี้เท่านั้นขอรับ เรือสองลำด้านหลังคิดจะแล่นอีกครั้ง เกรงว่าคงต้องมัดเสากระโดงเรือขึ้นใหม่ ใช้เวลานานมาก และยังไม่อาจต้านลมได้ เรือนี้ไม่ใช่ปัญหา ใบเรือแค่ถูกปืนไฟยิงเป็นรูเท่านั้น ทุกอย่างขับเคลื่อนได้เหมือนเดิม!”
หวังทงมองลงไปด้านล่าง ส่ายหน้ากล่าวว่า
“ปืนไฟเมื่อครู่เหมือนว่ากวาดล้างโจรไปได้รอบหนึ่ง เรือยังแล่นต่อไปได้ไหม?”
ได้ยินหวังทงถาม ทังซานกลับยิ้ม หลุดหัวเราะออกมาแล้วนึกได้ว่าเสียมารยาท จึงกระแอมไอก่อนจะกล่าวว่า
“ใต้เท้า ไม่ส่งผลอันใดขอรับ แม้ว่าเรือกวางตุ้งใหญ่อย่างของเหลียงเต้าเฉิง ลูกเรือ 11 คนก็พอขับเคลื่อนได้ขอรับ เรือนี้ให้คนของเราไปขับเคลื่อนก็ได้ขอรับ”
หวังทงยิ้มพยักหน้า เรือกวางตุ้งแล่นเร็ว ต้องการคนขับเคลื่อนน้อย เรือตะวันตกหากแล่นตามลมนั้นแล่นได้เร็ว แต่การขับเคลื่อนต้องใช้คนจำนวนมาก เหตุผลนี้ หวังทงเคยได้ยินคนเล่ากัน ตลอดทางเดินทางมาด้วยเรือฟะรังคี ลืมนึกถึงเรื่องเหล่านี้ไป
************
ลากศพและคนบาดเจ็บขึ้นมา ลากเรือพังสองลำกลับมายังที่รกร้างริมฝั่งจอดเรือก่อนหน้า ทางนี้ยังมีเรื่องยุ่งยากอยู่ ต้องเอาเสบียงขนกลับขึ้นไปบนเรือ
ปืนใหญ่ระดมยิง ปืนไฟผลัดกันยิง พวกโจรสลัดบาดเจ็บล้มตาย แต่พวกที่รอดชีวิตก็ยังมีร่วมร้อย ถูกนำตัวขึ้นฝั่ง มัดเรียบร้อยให้คุกเข่าอยู่
หวังทงเดินไปด้านหน้าพวกโจร หรี่ตามองซ้ายขวา ถามขึ้น
“พวกเจ้าเป็นลูกน้องของวานรทะเลหรือ?”
โจรสลัดที่คุกเข่าอยู่ส่งสายตาโกรธแค้น มองอีกฝ่ายไม่ตอบวาจา หวังทงยิ้มส่ายหน้า ออกคำสั่งว่า
“ทางด้านขวาครึ่งหนึ่ง ตัดหัวทิ้ง!”
พวกโจรสลัดคิดไม่ถึงว่าจะถูกสังหาร รีบตะโกนโวยวาย แต่พวกเขาถูกมัดไว้แน่นหนา ไม่อาจตอบโต้ได้ แม้แต่ขยับตัวยังยาก
เห็นอยู่ว่าเป็นเรือใหญ่ฟะรังคี แต่พอลงจากเรือกลับเป็นเหมือนพวกทหารหมิงชาวฮั่น และยังท่าทางองอาจแกล้วกล้า พอได้ยินคำสั่ง ทหารที่เงียบอยู่ก็ถือดาบเดินเข้าไปยกดาบฟันทันที
50 คนสังหารได้ง่ายดาย ไม่นานก็จัดการเสร็จ ลูกเรือฟะรังคีที่เดินขนย้ายเสบียงไปมา ยังมีลูกเรือกวางตุ้ง มีบางคนถึงกับตัวสั่นเทา
พวกโจรสลัดเห็นกลิ่นคาวเลือดมากันจนชินชา แต่เมื่อได้เห็นเพื่อนโจรด้วยกันตายไปเช่นนี้ พวกเขายังมีหัวอยู่ แต่เลือดก็กระเซ็นเปรอะเปื้อนเสื้อผ้าตน
คิดว่าตนเองต้องมีจุดจบเช่นนี้ ทุกคนก็สั่นเทา ความกล้าหาญไม่ยอมอ่อนข้อเมื่อครู่มลายหายไปสิ้น หวังทงถามขึ้นอีกว่า
“พวกเจ้าเป็นลูกน้องของวานรทะเลหรือ?”
พวกโจรสลัดครั้งนี้สบตากัน บางคนลังเล หวังทงวาดมือไปทางหน้าโจรสลัดตรงกลางก่อนจะตวัดมือสับลง กล่าวว่า
“ทางด้านซ้ายครึ่งหนึ่ง ตัดหัวทิ้ง!”
ทหารคว้าดาบเดินเข้าไป เพียงสองประโยค โจรร่วมร้อยก็ถูกสังหารไปถึง 3 ใน 4 พวกโจรสลัดแตกตื่นสุดขีด มีสิบกว่าคนตะโกนดังว่า
“นายท่าน พวกข้าน้อยไม่ใช่คนของวานรทะเล พวกข้าน้อยไม่ใช่!”
หวังทงพยักหน้า หันไปถามขึ้น
“พวกที่ตะโกนออกมาก่อนพวกนี้ พวกเจ้าจำได้ไหม?”
พวกถานเจียงพยักหน้า หวังทงกล่าวต่อว่า
“เหลือพวกที่ตะโกนตอบ 10 กว่าคนไว้ ที่เหลือสังหารให้หมด กับพวกกเฬวกรากพวกนี้ ไม่จำเป็นต้องเหลือไว้ให้เปลืองเสบียง!”
พวกถานเจียงพยักหน้า เสียงร้องโหยหวนและเสียงด่าทอดังไปทั่ว แต่ก็เงียบลงอย่างรวดเร็ว
*************
เชลยที่เหลืออยู่ตกใจขวัญหนีดีฝ่อ รู้อันใดก็รีบพูด ไม่มีอันใดไม่พูดออกมา พวกเขาไม่ใช่ลูกน้องวานรทะเล ตอนนี้มีทั้งหมดสามกลุ่มอยู่ที่ท่าเรือเหรินชวน
วานรทะเลเป็นหัวหน้าคนหนึ่งในกลุ่มราชาไตรธารา มีลูกน้องมือดี 600 กว่า เรือ 7 ลำ เป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดในแถบนี้ อีกสองกลุ่มรวมกันก็ราว 800 กว่าคน กลุ่มหนึ่งเป็นคนจากเหลียวโจวและเกาหลีเป็นหลัก อีกกลุ่มเป็นโจรสลัดจากซานตงและพวกวัวโค่ว แต่ละกลุ่มแต่ไรมาไม่เคยสามัคคีกัน สามกลุ่มไม่ลงรอยกัน แต่ก็ยังอยู่ร่วมกันได้ เพราะหากเพลิงลุกขึ้นเมื่อใดก็ย่อมเผาทำลายสิ้น ชัยชนะจะนำมาซึ่งความสูญเสียเอง ทุกคนจึงอยู่กันอย่างนี้มานาน
พวกเขาสามกลุ่มกินอยู่กันที่นี่นับว่าสุขสบาย หากมาอีกกลุ่มเกรงว่าคงไม่พอจะแบ่งปัน ดังนั้นจึงไม่มีใครมาแย่งชิงพื้นที่นี้อีก พวกเขาครอบครองเป็นใหญ่กันอยู่ที่นี่ ก็มีอิสระดีอยู่
เดิมบริเวณริมทะเลนี้มีอันใดควรค่าแก่การลงมือ ล้วนเป็นเพราะคนของวานรทะเลชงมือกันก่อน แต่ก่อนหน้านั้นวานรทะเลได้ทำการค้าใหญ่ครั้งหนึ่ง ตอนนี้กำลังเสพสุขที่เหรินชวน ขี้เกียจออกทะเล กลุ่มที่มาล่าเรือหวังทงครั้งนี้ก็คือกลุ่มที่คนจากเหลียวโจวและเกาหลีเป็นหลัก
ที่เรียกว่าการค้าใหญ่ ย่อมเป็นเรือของเหลียงเต้าเฉิงที่สูญเสียไป ในเรื่องนี้ยังมีเรื่องแอบแฝงอื่น ชนชั้นสูงเกาหลีซื้อสินค้าเหล่านี้ไป ซื้อจากพ่อค้าก็เรียกว่าซื้อ ซื้อจากโจรก็เรียกว่าซื้อ ดังนั้นพวกเขาย่อมไม่ใส่ใจ ซื้อจากโจรยังถูกกว่าอีกหน่อยหนึ่งเสียด้วย
*************
“ตอนนี้ทางเหรินชวนมีโจรสลัดเท่าไร มีทหารเกาหลีหรือไม่?”
หวังทงถามคำถาม คนด้านหน้ารีบแย่งกันตอบ ตะโกนกันคนละคำสองคำ กลัวว่าตอบช้าไปหน่อยจะถูกตัดหัวทิ้ง
สองกลุ่มล้วนพักอยู่ที่เหรินชวน ราว 1,000 คน มีทหารเกาหลีอีกราว 1,200 อย่างไรเกาหลีก็เป็นประตูสู่ทะเล อย่างไรก็ต้องมีกำลังทหารป้องกัน
“พวกเจ้าอยากมีชีวิตรอดไหม?”
หวังทงยิ้มถามคำถามออกมา ครั้งนี้ทุกคนไม่รอช้าลังเล โขกศีรษะแย่งกันตะโกนดัง
“ข้าน้อยอยากมีชีวิตรอด!! ข้าน้อยอยากมีชีวิตรอด!!”
*************
เกาหลีมีกำลังทหารแข็งขัน ท่าเรือเหรินชวนกลับมีโจรสลัดพักอาศัย แต่สถานที่เช่นเหรินชวนนี้ แม้แต่พวกโจรสลัดก็ยังไม่อยากมาเยือน คนเฝ้าระวังก็ย่อมไม่มีกระจิตกระใจจะดูแลป้องกัน
หลายคนพักอยู่ในเพิงพักพังๆ นั่งสัปหงก มีคนได้ยินเสียงเคลื่อนไหวบนท้องทะเล ชาวทะเลไวกับเสียงพวกนี้มาก หลายคนกระโดดเด้งตัวขึ้นมาทันที
“จากไหน!”
คว้าตะเกียงมาดู ตะโกนดังอยู่ริมท่าเรือ หากไม่ตอบหรือตอบไม่ถูก ก็จะส่งสัญญาณเตือนภัย ทางนั้นเงียบไปก่อนจะตะโกนตอบกลับมาว่า
“ลูกพี่จินจากเหลียวเฉิง ตะโกนบ้าอันใด ตอนเรือพวกเจ้ากลับมาช้า ครั้งใดที่ไม่ได้เข้าท่าอย่างใหญ่โตกัน!”
ขณะที่พูดนั้น ก็เห็นบนหัวเรือบนท้องทะเลมีคนยกคบไฟชี้ไปทางซ้ายหลายที ขวาอีกหลายที ได้ยินเสียงตอบรับ เห็นสัญญาณคบไฟอีก ทุกคนก็คลายความกังวล อ้าปากหาว ไม่อยากจะสนใจต่อ กลับเข้าเพิงพักไปสัปหงกกันอต่อ
เรือเทียบท่า เสียงฝีเท้าท่าเรือดังขึ้น……