ตอนที่ 554 เงื่อนงำอยู่ในนั้น สั่นสะเทือนหมู่
เดือนห้า ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 9 เมืองหลวงในเขตทักษิณเกิดคดีใหญ่ติดกัน ทำให้ราษฎรระส่ำระสาย หลี่ว์วั่นไฉแห่งศาลซุ่นเทียนส่งคนไปตรวจสอบตามหน้าที่ คิดไม่ถึงว่าพวกนิรนามกลับคิดไม่ซื่อ ปะทะกันตายไปเกือบร้อย พวกคนร้ายถึงกับตายเกลี้ยง
พื้นที่ใกล้วังหลวงมีคนตายเป็นร้อย หากเอาเรื่องขึ้นมา ทุกคนในศาลซุ่นเทียนต้องรับผิดชอบ หลายหน่วยงานในเมืองหลวงก็ต้องพลอยโดนไปด้วย นอกจากนี้ยังเป็นคดีพวกนิรนามที่ในวังหลวงไม่อาจปัดความรับผิดชอบไปได้
แต่เพราะในและนอกวังเกี่ยวกันไปหมด ดังนั้นจึงร่วมมือกันเก็บเงียบ พวกขุนนางที่มักสร้างกระแสไม่เพียงแต่จะไม่ได้ประโยชน์ในเรื่องนี้ หากยังถูกทุกฝ่ายโกรธแค้นแทน หลี่ว์วั่นไฉเองก็มีเบื้องหลังใหญ่โต ผู้ใดจะกล้าทำอันใด ก็ได้แต่ช่วยเขาจัดการคดีนี้ให้เสร็จ
กำลังเคลื่อนไหวหนึ่งในสามของสำนักรักษาความสงบกับกำลังที่มีทั้งหมดของหลี่ว์วั่นไฉแห่งศาลซุ่นเทียน ทุกหน่วยออกตรวจสอบทุกแห่งนอกเมือง ตรวจค้นพื้นที่ของพวกนิรนามทั้งหมด
พวกนิรนามจัดการตอนตัวเองไปรวมตัวกันอยู่ที่รกร้างที่ไม่มีผู้คนอาศัย อาศัยขอทานและขโมยยังชีพ ไม่มีผู้ใดอยากสนใจถามไถ่ แม้ว่าอยู่ในพื้นที่ใกล้เมืองหลวงแต่ก็ไม่มีคนอยากข้องเกี่ยวด้วย
พอตรวจสอบเช่นนี้ก็ทำให้พบเจอเรื่องมากมาย นอกจากคดีคนตายนอกเมืองเขตทักษิณติดกันหลายศพแล้ว ที่อื่นล้วนไม่มีอันใดปรากฏให้เห็น
เนื่องจากเกี่ยวพันถึงอาวุธทางการทหาร สำนักรักษาความสงบรายงายไปยังสำนักองครักษ์เสื้อแพรและสำนักบูรพา สองสำนักนี้ไม่อาจไม่ให้ความสำคัญ จึงต้องส่งคนออกมาตรวจสอบแต่ละพื้นที่ให้ละเอียด
บวกกับกำลังสายสืบในพื้นที่ เรื่องแดงออกมาก็ยิ่งมาก พวกนิรนามไม่ขโมยไม่แย่งชิง ไม่ทำเรื่องผิดที่ไม่อาจเปิดเผย ไหนเลยจะเลี้ยงชีพรอดได้
พวกทำผิดถูกจับเข้าคุก คุกที่ศาลซุ่นเทียน ต้าซิงและหวั่นผิงสองอำเภอก็เต็มไปด้วยนักโทษ
***********
“ใต้เท้าหลี่ว์ โรงสุรานอกเมืองเขตปัจจิมจ้างนิรนามสองคนไว้ใช้งาน เป็นนิรนามแซ่จางและแซ่หลี่ มีคนเขียนคำร้องมา!”
ในห้องทำงานหลี่ว์วั่นไฉ มือปราบหวังซื่อสีหน้าไม่สู้ดีนักกล่าวขึ้น หลี่ว์วั่นไฉตบพัดในมือลงโต๊ะ กล่าวอย่างรำคาญเต็มทีว่า
“หรือว่าเป็นพวกสมองสุกร!? เพื่อประโยชน์เล็กน้อยเพียงนี้ถึงกับกล้าร้องเรียนเรื่องที่จะทำให้ถูกประหารทั้งโคตรแบบนี้ เรื่องนี้มีใครรู้บ้าง?”
“พัสดีในคุกส่งมา เจ้านี่กับข้าน้อยเป็นญาติห่าง ๆ กัน คิดว่าให้ข้าน้อยช่วยเป็นธุระ”
สีหน้าหวังซื่อไม่สู้ดีนัก ใช้งานนิรนามย่อมมีโทษประหารทั้งโคตร ในเมืองมีคนร้องทุกข์ก็ไม่อาจไม่สนใจ แต่หากไม่มีเหตุอันใด การสังหารทั้งโคตรย่อมไม่ได้ประโยชน์อันใด มือปราบศาลย่อมไม่อยากทำเรื่องโหดร้ายทำลายกลิ่นอายแห่งโชคลาภตน
หลี่ว์วั่นไฉเงียบไปไม่กล่าวอันใด หวังซื่อเขยิบเข้าไปใกล้กระซิบว่า
“หากวันนี้อากาศร้อน คุกมีคนมาก ตายไปสักสองคนก็เป็นเรื่องปกติ”
“เช่นนั้นญาติเจ้าไว้ใจได้ไหม เรื่องเช่นนี้ปากมากไป ก็จะยุ่งยากใหญ่หลวง”
หลี่ว์วั่นไฉถามกลับอย่างรำคาญ เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า
“นิรนามสองคนนั้นตายที่นี่ เจ้าไปนอกเมือง ให้เจ้าของร้านสุราจ่ายหุ้นมาสามส่วน ให้ญาติเจ้ารับไว้ อุดปากทุกฝ่ายเอาไว้!”
โรงสุราขายสุรา กำไรมากมาย แค่หุ้นสามส่วน ก็อุดปากทุกคนไว้ได้ แต่ละคนได้รับค่าปิดปากไปก็ย่อมไม่กล้ากล่าวสิ่งไม่ควรกล่าว
หวังซื่อรีบพยักหน้า หลี่ว์วั่นไฉจ้องมองเขากล่าวว่า
“สืบสวนมาหลายวัน ล้วนเป็นเรื่องขี้หมูขี้หมาหรือ?”
“ใต้เท้ารังพวกมันสองแห่งมีอาวุธ แต่คนเก็บซ่อนและคนเคยใช้ ล้วนไม่รู้ไปไหนกันหมด ตอนนี้กำลังเร่งสอบสวน”
หลี่ว์วั่นไฉเปิดพัด พัดไปมาอย่างร้อนใจ ถามขึ้นอีกว่า
“เจ้าหน้าที่พิสูจน์ศพตายอย่างไร สืบหาสาเหตุพบแล้วยัง?”
“เจ้านั่นปกติชอบดื่ม คืนนั้นใต้เท้าให้รางวัลหนัก อาหารกับแกล้มสุราเต็มที่ อดดื่มมากไม่ได้ ลื่นล้มระหว่างทาง ท้ายทอยชนก้อนหินตายไป……”
“เหลวไหล!! มีคนบอกว่า ในงานเลี้ยงเจ้านั่นบอกว่าคนตายที่ศาลเจ้าแม่จิ่วเสียนมีลับลมคมนัย ตกค่ำกลับบ้านก็ตาย มีเรื่องบังเอิญเช่นนี้ที่ไหนกัน……”
กล่าวไปแล้ว หลี่ว์วั่นไฉก็เงียบไป นานกว่าจะกล่าวว่า
“มีคนจับตาดูพวกเราอยู่ เรื่องสืบความนอกเมืองพวกนั้น เรื่องใหญ่เจ้าก็ต้องให้คำตอบให้ได้ ส่วนเรื่องลับก็ให้ใช้คนที่เราไว้ใจได้”
ในห้องทำงานไม่มีคนอื่น ได้ยินหลี่ว์วั่นไฉกล่าวจริงจังเช่นนี้ สีหน้าหวังซื่อก็ไม่สู้ดีนัก ลังเลไปสักครู่ สุดท้ายก็ กล่าวว่า
“ใต้เท้า พวกเราตอนนี้ทำถึงขั้นนี้ อย่างไรก็พอสมควรแล้ว ไยต้องจมลงไปในน้ำขุ่นด้วย ล่วงเกินพวกในวังพวกนั้น อย่างไรต้องยุ่งยากภายหลังเป็นแน่”
กล่าวจบ พัดหลี่ว์วั่นไฉก็ตบพัดปิด กล่าวหนักแน่นว่า
วาจากล่าวรุนแรง แต่ในวงการขุนนางย่อมเอาตัวรอดไว้ก่อน การข้ามแม่น้ำรื้อสะพานทิ้งก็มีให้เห็นบ่อย หวังซื่อรับปาก แต่ในใจกลับไม่คิดเช่นนั้น หลี่ว์วั่นไฉลุกขึ้นยืน เดินไปยังประตูห้องทำงานเปิดประตูชะโงกหน้าออกไปมองไปมองมาก่อนจะปิดประตู กล่าวว่า
“เจ้าคิดว่าน้ำขุ่นนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเราหรือ? ตอนนั้นข้าเป็นเจ้าหน้าที่สืบคดี ตอนนั้นเจ้าเป็นมือปราบธรรมดา สถานะตอนนี้ได้มาได้อย่างไร เจ้าลืมแล้ว?”
“ข้าน้อยจะลืมได้อย่างไร ไม่ใช่เพราะคดีเหอจินอิ๋นหรอกหรือ……”
กล่าวถึงตรงนี้ หวังซื่อก็ชะงักไป หลี่ว์วั่นไฉพยักหน้า กล่าวว่า
“จากเหอจินอิ๋นนำไปสู่ลัทธิไตรสุริยัน นำไปสู่รังโจรซ่อนอาวุธ นำไปสู่การเข้าร่วมขบวนการของพวกขันที ตอนนั้นการปราบวัดไตรสุริยันที่อำเภอหวง จัดการสังหารหวังตั๋ว ในวังก็กวาดล้างไปรอบหนึ่ง ทุกคนคิดว่าจบเรื่องแล้ว เจ้าลองคิดดู คดีนิรนามครานี้ ไม่เกี่ยวข้องกับครั้งนั้นหรือ? เจ้าลองคิดว่าเจี่ยงจงกาวป่วยตายที่หอเลิศรส เจ้าลองคิดเรื่องเจ้าหน้าที่พิสูจน์ศพผู้นี้หรือยัง?”
หลายเรื่องรวมกัน คนทำงานในศาลมาย่อมพอตัดสินได้ หากไม่กล้ากล่าวออกมา หลี่ว์วั่นไฉแต่ต้นจนจบเรียบเรียงเรื่องราวที่น่าสงสัยประติดประต่อกัน หวังซื่อสีหน้าเริ่มเคร่งเครียดหนาวเหน็บไปทั้งตัว
“หลี่กุ้ยคิดได้มากกว่าเจ้า เขาทำงานอย่างเอาจริงเอาจัง เพราะรู้ว่าหากเรื่องนี้ไม่กระจ่าง ถึงตอนนั้นที่ต้องซวยก่อนก็คือพวกเรา เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ!!?”
“ใต้เท้ากล่าวได้ถูกต้อง ข้าน้อยจะไปจัดการทันที!”
*************
ทุกเดือนหกเดือนเจ็ด ห้องเครื่องก็จะยุ่งทั้งวัน ขันทีทุกวังก็ล้วนวิ่งไปวิ่งมา เพราะอาหารในหน้าร้อนเก็บได้ไม่นาน หากว่าบูดเน่าก็จะท้องเสีย จะเป็นเรื่องใหญ่
ห้องเครื่องไม่ต้องพูดถึง สุขภาพปากท้องของชนชั้นสูงในวังนับเป็นเรื่องใหญ่อันดับหนึ่ง หากคนในวังกินอาหารไม่สะอาดเข้าไป นับเป็นโทษหนักมาก ทุกคนจึงต้องทำงานกันเร่งรีบตลอดสองเดือน
หัวหน้าขันทีห้องเครื่องและขันทีชั้นสูงในห้องเครื่องคนอื่นๆ ไม่มีผู้ใดว่างจากงานครัว เสิ่นเต๋อไฉหัวหน้าสำนักห้องเครื่องปีนี้อายุมากแล้ว รองหัวหน้าสำนักห้องเครื่องกุ้ยเหล่ยต้องดูแลทุกเรื่อง
วันที่ 11 เดือนหก ฟ้ายังไม่ทันสว่างดี ขันทีเข้าเวรกลางคืนก็ไปปลุกกุ้ยเหล่ยจากที่นอน เครื่องปรุงอาหารเช้าในวัง ต้องให้กุ้ยเหลยดูอีกรอบ ยังต้องสุ่มตรวจ
กุ้ยเหล่ยล้างหน้าบ้วนปากเสร็จ ก็รีบไปยังห้องเก็บอาหารห้องเครื่องตรวจสอบ ตอนใกล้จะถึงห้องเก็บอาหาร ก็ต้องตกใจ เบื้องหน้ามีคนคุกเข่าอยู่เป็นแถบดำไปทั่วบริเวณ
ในวังคุกเข่าเช่นนี้ หรือว่าเจ้านายมา กุ้ยเหล่ยผ่อนฝีเท้าลง ให้ขันทีน้อยไปถามดูก่อน หากมีผู้ใดมาจริง ตนเองจะได้เตรียมตัวให้ดีสักหน่อย
“กุ้ยกงกง พวกเขามารอท่าน!”
ได้ยินเช่นนี้ กุ้ยเหล่ยก็ยิ่งงง ก้าวเข้าไป มองดูให้ดี เป็นพวกขันทีใช้แรงงานชุดครามและเขียว ทำงานในที่ต่างๆ ในวัง
คนเหล่านี้พอเห็นกุ้ยเหล่ยมาถึง ก็ร้องไห้โขกศีรษะ กุ้ยเหล่ยไปกลับทุกวัน หน้ำตาคุ้นเคยอยู่ เห็นขันทีพวกนี้หลายคนทำงานอยู่ในห้องเครื่อง พอเงยหน้ามองฟ้า ก็เริ่มเห็นแสงรำไรแล้ว คนพวกนี้มาคุกเข่าร้องไห้กันที่นี่ อาหารเช้าในวังจะทำเช่นไร หากไม่เตรียมให้พร้อมย่อมมีโทษหนัก กุ้ยเหล่ยเริ่มร้อนใจ กระทืบเท้ากล่าวว่า
“พวกเจ้ามาทรมานตนเองที่นี่กันทำไม ทำให้เวลาเตรียมงานล่าช้า กี่หัวจะพอให้ตัดกัน รีบไปทำงานไป๊ เสร็จงานค่อยมาเอาเรื่องพวกเจ้า!”
พอกล่าวเช่นนี้ออกไป เสียงร่ำไห้ก็ดังขึ้นทั่ว คนเป็นหัวโจก็โขกศีรษะติดๆ กัน กล่าวว่า
“กุ้ยกงกง พวกข้าน้อยรู้ว่าหากเสียการงานมีโทษตัดหัว แต่ไม่อาจข่มใจได้ เกรงว่าทำอันใดผิดไป ถึงตอนนั้นจักเป็นโทษมหันต์ขอรับ!”
คนหนึ่งกล่าวจบ ที่เหลือก็ตามกันว่า
“กุ้ยกงกง พวกข้าน้อยเข้าวังมาก็ตั้งใจทำงานด้วยความภักดี ไม่กล้าทำเรื่องผิดอันใด แต่พวกข้าน้อยตอนอยู่นอกวังไม่มีที่ไป จึงมักทำเรื่องผิด ตอนนี้ศาลซุ่นเทียนกัดเรื่องนี้ไม่ปล่อย สืบสวนเข้มงวดไปทั่ว พวกข้าน้อยกลัวว่าจะอยู่ในวังได้อีกไม่นาน จะถูกขับออกไป”
กล่าวจบก็ร้องไห้ระงมไปทั่วบริเวณ ล้วนโขกศีรษะกันไม่หยุด มีคนสะอื้นไห้กล่าวว่า
“พวกข้าน้อยได้ยินว่า เจ้าหน้าที่ข้างนอกจับตาพวกพิการเช่นพวกข้าน้อยไว้ สอบสวนหนัก ต้องสอบความให้ได้จึงจะพอใจ ตอนพวกข้าน้อยยังไม่เข้าวังมา เกี่ยวข้องกับทางนั้นหลายเรื่อง หากเกี่ยวโยงกันขึ้นมา”
รองหัวหน้าห้องเครื่องกุ้ยเหล่ยเข้าใจแล้ว เห็นฟ้ายิ่งสางมากขึ้น ก็ตวาดเสียงแหลมว่า
“พวกเจ้าเข้าวังมาแล้ว ข้างนอกจะกล้าแตะต้องพวกเจ้าหรือ ทำงานให้สบายใจ ข้าจะออกหน้าให้พวกเจ้าเอง พวกศาลซุ่นเทียนก็ช่างกระไร เกินไปแล้ว ทำเรื่องใหญ่โตเพียงนี้ ทำให้คนในวังเราไม่เป็นสุข พวกเจ้าออกไปทำงานกันก่อน ข้าจะไปถามดู หาคำตอบให้พวกเจ้า!”
คนเบื้องหน้าพากันสะอื้นไห้ขอบคุณพร้อมโขกศีรษะ มีคนกล่าวว่า
“กุ้ยกงกง พวกที่ทำงานอยู่ที่ถนนทักษิณนั่นถูกเรียกตัวไปสอบสวนแล้ว พวกเราทางนี้อย่างไรก็เอาตัวไม่รอด!”
“บัดซบ ข้าบอกแล้ว เจ้ายังกล่าวไร้สาระอันใดอีก อย่ามาร่ำไห้ที่นี่ ไสหัวออกไปทำงาน อาหารเช้าผ่านไป ข้าจะไปถามมาให้กระจ่างแทนพวกเจ้า!”
กุ้ยเหล่ยโมโหใหญ่ หอเลิศรสอยู่ในการดูแลควบคุมของห้องเครื่อง หากอยู่นอกวัง ศาลซุ่นเทียนไปสอบถามที่นั่น ที่นั่นมีการผลัดเวรกันไป มิน่าเล่าจึงได้หวาดกลัวกันเช่นนี้
วุ่นวายกันอยู่นาน คนพวกนี้จึงได้กลับเข้าทำงาน กุ้ยเหล่ยจัดการเรียบร้อย ครุ่นคิดไปมา ก็วิ่งไปที่สำนักส่วนพระองค์ เดินไปได้ไม่กี่ก้าว ขันทีใต้บังคับบัญชาก็มารายงาน วันนี้สำนักขันทีแต่ละแห่งก็ล้วนมีคนมาคุกเข่าร้องไห้