Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 559

ตอนที่ 559 ร้อยเรียงความคิด สงบสุขทั่วหล้า

ได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ ทั้งสามเดิมที่ไม่สบายใจอยู่นั้นก็โล่งใจทันที รู้สึกปลอดโปร่งขึ้นมาก พอลงนั่งก็มีรอยยิ้มมากขึ้น

เป็นเช่นนี้จริง หากไม่ใช่ว่าตรวจสอบเจอความจริงหรือใกล้ความจริงอีกไม่ไกล จะมีเรื่องมากมายถึงตัวเช่นนี้ได้อย่างไร หลายหน่วยงานออกมาลงแรงเช่นนี้ได้อย่างไร

เพิ่งดีใจได้ครู่หนึ่ง ก็คิดถึงสถานการณ์ในตอนนี้ หลี่ว์วั่นไฉวางตะเกียบในมือลง ก่อนจะกล่าวน้ำเสียงเรียบว่า

“น้องหวัง หากไม่ใช่ว่าแตะโดนจุดเจ็บปวด คนเหล่านั้นย่อมไม่มีปฏิกิริยารุนแรงเช่นนี้ กว่าจะสืบพบเครือข่ายโยงใยได้ไม่ง่าย ตอนนี้ได้แต่ต้องวางมือ เกรงว่านานไป อีกฝ่ายจะหาช่องทางหลบซ่อนได้”

“คิดถึงคดีเหอจินอิ๋นในปีนั้น เรื่องนั้นจับตัวหวังตั๋วอำเภอหวงได้ จัดการหวังตั๋ว กวาดล้างในวัง ทุกเรื่องจบเรียบร้อย เดิมคิดว่าจบแล้ว คิดไม่ถึงว่าเทียนจินจะได้เจอร่องรอยของพวกลัทธิไตรสุริยัน จึงได้รู้ว่าเรื่องยังไม่จบ กว่าจะสืบสาวมาถึงเจอร่องรอยพวกนิรนามได้เช่นนี้ นี่ดีเลย ไม่ให้พวกเราสืบต่อ”

โจวอี้ข้างๆ กล่าวอย่างไม่รู้จะทำเช่นไร หลี่เหวินหย่วนลังเลไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวเสียงเรียบว่า

“เหอจินอิ๋นครั้งนั้นซุกซ่อนอาวุธนอกวัง ในวังขันทีหลายร้อยถูกจับพัวพัน นอกในจัดการไปสิ้นรอบหนึ่ง ตอนนี้พวกนิรนามมีอาวุธ ซ่อนอาวุธการทหาร กล่าวสักหนึ่งวาจาขอโจวกงกงอย่าได้ตำหนิ พวกนิรนามเข้าไปเป็นขันทีในวังไม่น้อย ผู้ใดจะรู้ว่ามีคนมากมายเท่าไรเข้าวังไป เรื่องใหญ่เช่นนี้ กลับไม่ยอมให้สืบต่อ……”

กล่าวถึงตรงนี้ หลี่ว์วั่นไฉก็แตะตัวเขาให้หยุด หลี่เหวินหย่วนเห็นสีหน้าโจวอี้ผิดปกติไป อย่างไรก็เป็นขันทีเหมือนกัน จึงได้กล่าวขออภัย

โจวอี้ตอบเพียงว่า ไม่เป็นไร หากลังเลอยู่นานก่อนจะกล่าวว่า

“ทุกท่านยังจำเจี่ยงจงกาวได้ไหม? ขันทีห้องเครื่องร่างอ้วนที่จดจำใบหน้าคนได้แม่นยำผู้นั้น เขาช่วยพวกเราแยกแยะโจรที่มาบ่อนพนันไม่น้อย”

ทุกคนล้วนพยักหน้า โจวอี้กล่าวต่อว่า

“เจี่ยงจงกาววันนั้นป่วยตายกะทันหัน ในวังเกรงว่าจะมีโรคติดต่อ จึงได้เผาให้หมดเรื่องไปทันที พวกห้องเครื่องกินดี บำรุงดี กำลังวังชาดีเช่นนั้น จะมาป่วยตายกะทันหันได้อย่างไร เงื่อนงำ เงื่อนงำ……”

กล่าวถึงตรงนี้ ทุกคนก็เริ่มครุ่นคิด หวังทงกล่าวเสียงเรียบว่า

“เมื่อก่อนที่แห่งนี้ มีคนใช้บ่อนพนัน หอคณิกาเป็นแหล่งเงิน ใช้เป็นที่แจกจ่ายเงินทอง ส่งคนไปปะปนกับคนในวัง ถูกพวกเรารู้และทำลายสิ้น จากนั้นข้าก็ถูกเล่นงาน ต้องไปเทียนจิน พ่อค้าที่ลักลอบขนสินค้าทางแม่น้ำทะเลที่เทียนจินก็เป็นพวกเดียวกับนาวาสุคนธ์ เกี่ยวโยงไปถึงบรรดาขุนนางบุ๋นหลายคน ยังเคยมีเรื่องกับข้าครั้งหนึ่ง สุดท้ายถึงกับปรากฎร่องรอยลัทธิไตรสุริยัน……”

กล่าวถึงตรงนี้ หวังทงก็เงียบไป ก่อนจะเคาะโต๊ะยิ้มกล่าวว่า

“หากนับเรื่องใหญ่น้อยที่เทียนจิน เรื่องเมืองหลวงไม่หยุดเล่นงานข้า ยังมีเรื่องปะทะกับพวกมองโกลบนทุ่งหญ้าในครั้งแรก หึหึ หากว่านับรวมกันแล้ว ยังไม่รู้ว่ามีเรื่องเกี่ยวข้องกันมากมายเท่าไร”

กล่าวถึงตรงนี้ ทุกคนก็เงียบกริบไปหมด หลายคนหันไปมองหน้ากัน เรื่องที่เกิดขึ้นทุกเรื่องมารวมกันตรงหน้าก็เห็นภาพเห็นเรื่องราวใหญ่เพียงนี้ เบื้องหลังคนพวกนี้จากซานซีไปถึงเขตปกครองเหนือไปถึงบนทุ่งหญ้า จากในวังมาสู่ในสังคมชาวบ้าน ถึงกับมีคนทุกระดับ มีคนยื่นมือเข้ายุ่งเกี่ยวทุกระดับ คนผู้นี้ต้องการทำอันใดกัน แท้จริงแล้วน่ากลัวถึงระดับใดกันแน่

“ไม่ได้ ต้องสืบต่อ เสี่ยงกับการตำหนิของในวัง หรือแม้ต้องมีความผิดเข้าคุก ก็ต้องสืบต่อ!”

หลี่เหวินหย่วนไม่ได้นิ่งอย่างเช่นที่ผ่านมา ยืนขึ้นทันที กล่าวอย่างไม่เกรงใจอันใด กลับเป็นโจวอี้และหลี่ว์วั่นไฉที่เงียบไม่กล่าวอันใด

หวังทงกลับไม่กล่าวอันใด หากคว้ากาสุรามารินให้ หลี่เหวินหย่วนอึ้งไป ได้แต่ยกจอกรับ หวังทงยิ้มถามขึ้น

“สถานการณ์ตอนนี้ หากพวกท่านสืบต่อ ผลลัพธ์เป็นเช่นไร?”

“……ว่ากันไทเฮาฉือเซิ่งมีพระบัญชาแล้ว หน่วยงานในวังแต่แห่งจับตาดูอย่างแน่นหนา เกรงว่าในวังจะไม่สงบ หากว่าสืบต่อ เกรงว่าไม่ใช่เพียงแค่โทษปรับเบี้ยหวัดแล้ว คงต้องโทษอื่นแทน เช่นว่าเนรเทศหรือขังคุกลืมก็ย่อมเป็นได้”

ผู้กล่าววาจานี้ก็คือหลี่ว์วั่นไฉ หวังทงยิ้มพยักหน้ากล่าวว่า

“พวกท่านได้รับโทษ ไม่มีพวกท่าน สำนักรักษาความสงบย่อมแตก ตอนนั้นสืบไม่สืบ ตอนนั้นเกิดเรื่องแล้วทำเช่นไร?”

ไม่กี่วาจำที่เอ่ย หากถามจนหลี่เหวินหย่วนนิ่งไป หวังทงนั่งลง กล่าวจริงจังว่า

“เบื้องบนมีคำสั่งให้สำนักรักษาความสงบทำปฏิบัติงานเงียบๆ อย่าก่อเรื่อง พวกท่านก็อย่าก่อเรื่อง จัดการงานที่ต้องทำให้ดีไปก็พอ ใช้คนศาลซุ่นเทียนกับสำนักองครักษ์เสื้อแพรจับตาดูเมืองหลวงให้แน่นหนา โจวกงกงก็จับตาดูความเคลื่อนไหวในวังไว้ให้ดี มีความผิดปกติใด ก็จะได้โต้กลับได้ทันการณ์ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว”

“หรือว่า หรือว่าไม่สืบต่อแล้ว เกรงว่าครั้งนี้ไม่สืบ อีกฝ่ายจะซ่อนตัวไปอีก ไม่อาจหาร่องรอยเจอได้อีกแล้ว”

“ย่อมต้องสืบ แต่ไม่ใช้พวกเราสืบ ส่งคนไปทำแทน!”

ได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ คิดถึงคนพวกนั้นด้านนอก ทุกคนก็เงียบ เห็นบรรยากาศในห้องเริ่มเคร่งเครียด หวังทงยิ้มกล่าวว่า

“เมื่อครู่พวกเราแม้ว่าวิเคราะห์ภาพรวมคร่าวๆ แต่ดูท่าทุกท่านแล้ว เหมือนว่ากำลังทำให้ตนเองตกใจหวาดกลัวไปเอง ไม่จำเป็นต้องกังวลเช่นนั้น อีกฝ่ายเป็นกลุ่มเดียวหรือหลายกลุ่ม ต่อกรกับพวกเราโดยเฉพาะหรือกว่าบังเอิญมาเจอกันก็พูดยาก แม้ว่าอำนาจอิทธิพลใหญ่ แต่เหอจินอิ๋นคดีนั้นถูกสังหารไปรอบหนึ่ง หวังตั๋วอำเภอหวงอีกรอบหนึ่ง เทียนจินสังหารคนบนทุ่งหญ้าไปอีกรอบหนึ่ง การจัดการหลายรอบรวมกันเช่นนี้ คิดว่าคงทำให้พวกเขาสูญเสียกำลังสำคัญไปไม่น้อย หากว่าไม่ใช่ดังคาดนี้ เกรงว่าใต้หล้านี้คงเป็นของพวกเขาหมดแล้ว ไยต้องแอบซ่อนรอเวลาด้วย”

วาจานี้ของหวังทงกล่าวได้มีเหตุผล ทุกคนก็เริ่มผ่อนคลายลงไปไม่น้อย ดื่มไปสองสามจอก หวังทงก็หยอกล้อว่า

“ทุกท่านบางคนก็แสดงความเห็นแล้ว บางคนยัง หรือว่ารู้สึกว่าข้านำกำลังอารักขามามากมายเอิกเกริกไป แล้วยังเอามาเบียดเสียดกันในที่แคบไม่อาจขยับตัวได้”

คิดไม่ถึงว่าหวังทงจะถามเช่นนี้ ก็ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี หวังทงวางจอกสุราลงกล่าวว่า

“คนพวกนี้ไม่ใช่กำลังอารักขาข้า แต่เอามาเพื่ออารักขาทุกท่าน”

ทั้งสามตะลึง หวังทงกล่าวต่อว่า

“อีกฝ่ายไม่รู้ว่าเป็นผู้ใด จากเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมา อีกฝ่ายใช้วิธีการโหดเหี้ยม มาถึงขั้นนี้ ย่อมไม่อาจเลี่ยงการถูกเปิดโปงเป็นเหตุให้ก่อเรื่องจวนตัวอันใดก็ย่อมเป็นได้ คนด้านนอกล้วนเป็นทหารจากเทียนจิน ติดตามข้าออกรบมา สังหารโจรสลัดและพวกมองโกลมา ยังเป็นพวกที่คนตระกูลถานฝึกมา ใช้งานได้อย่างวางใจ ให้ติดตามอารักขาท่านละสี่คนเถอะ โจวกงกงก็อาจให้พวกเขารอนอกวัง ออกมาทำงานนอกวังก็ให้พวกเขาคอยติดตาม!”

แม้ว่าอีกฝ่ายพูดด้วยท่าทีไม่อันใดนัก แต่ผู้ใดไม่รู้ว่ายามนี้กำลังอยู่ในสถานการณ์เคร่งเครียด ได้ยินการจัดการของหวังทง ทุกคนก็ลุกขึ้นคำนับขอบคุณ

************

นอกห้องทำงานของคณะเสนาบดีใหญ่ หน้าประตูมีขันทีสองคนเฝ้าอยู่ หากมีคนคิดจะเข้าไปพักผ่อน ก็ถูกพวกเขาขวางไว้ มหาอำมาตย์จางจวีเจิ้งกับเฝิงเป่าแห่งสำนักส่วนพระองค์อยู่ด้านใน ทั้งสองเป็นขุนนางระดับสูงสุดในและนอกวังกำลังปรึกษาหารือกันอยู่

“ใต้เท้าจาง หลี่เหวินเฉวียน บุตรชายอู่ชิงโหว เรื่องนั้นทำไทเฮาทรงกริ้ว ไยต้องทำเช่นนั้นด้วย รองแม่ทัพแห่งสามกองกำลังเมืองหลวงก็ไม่ใช่ตำแหน่งสำคัญอันใด ก็แค่คุมทหารฝึกเท่านั้น อย่างไรก็หาโอกาสหาเหตุผล ให้ไทเฮาได้คลายพระทัยในเรื่องนี้เถิด!”

เฝิงเป่ากล่าวนุ่มนวล หากจางจวีเจิ้งนั่งนิ่ง ได้ยินแล้วก็ค่อยๆ ส่ายหน้า กล่าวว่า

“ข้าทำเพื่อแผ่นดินหมิงเรา ไม่มีคิดเพื่อตนเอง ไยต้องสนใจเรื่องเช่นนี้ด้วย”

เฝิงเป่าถอนหายใจ ส่ายหน้ากล่าวว่า

“กงกง ท่านก็รู้ รอบเมืองหลวงหลายแห่ง ระบบภาษีและเกณฑ์แรงงานใหม่ขวางทางผู้ใดบ้างไหม?”

จางจวีเจิ้งไม่ได้ตอบโดยตรงกับคำถามของเฝิงเป่า กลับถามกลับเช่นนี้ เฝิงเป่าอึ้งไป จางจวีเจิ้งถามเองตอบเองว่า

“ขุนนางหลายหน่วยงานในราชสำนัก คนใหญ่คนโตมากมาย คนเหล่านี้แปดส่วนมีโรงบ้านที่ดินอยู่นอกเมืองกัน ในมือยังรับคุ้มครองชาวบ้านที่มาขอพึ่งพา ระบบภาษีที่ดินไม่รู้ว่าทำให้เกิดเรื่องมากมายเท่าไร ระบบภาษีและเกณฑ์แรงงานใหม่ก็ยิ่งแย่งเส้นทางทำมาหากินพวกเขา แต่ละฝ่ายล้วนเกลียดชังข้าเข้ากระดูก สามกองกำลังส่วนใหญ่เป็นพวกชนชั้นสูงนำกำลัง หากไม่มีเซี่ยหยวนเฉิงคุมอยู่ ข้าจะวางใจได้อย่างไร?”

เฝิงเป่าได้ยินก็ส่ายหน้าเบาๆ ถอนหายใจไม่กล่าวอันใด จางจวีเจิ้งกล่าวต่อว่า

“หลี่เหวินเฉวียนรับบรรดาศักดิ์ต่อนั้นเป็นเรื่องแน่นอนไม่อาจเปลี่ยนแปลง ไยต้องไปดำรงตำแหน่งอันใดให้ยุ่งยากด้วย พรุ่งนี้ข้าจะยื่นฎีกาฝ่าบาท ให้พระราชทานบรรดาศักดิ์ระดับป๋อให้หลี่เหวินเฉวียน ก็คงพอแล้ว ไทเฮาทรงพระปรีชา คิดว่าคงไม่คิดเล็กน้อยในเรื่องนี้”

“ก็คงได้แต่ทำเช่นนี้แล้ว ข้าค่อยไปทูลให้ทรงคลายพระทัยในเรื่องนี้เอง”

เฝิงเป่ายิ้มเฝื่อนๆ กล่าวขึ้น

*************

ต้นเดือนเจ็ด ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 9 คนงานสองสามคนของหอฉินก่วนอยู่ๆ ลาออก ทุกคนล้วนเป็นคนทำงานมานาน อยู่ๆ ลาออก ทำให้ทุกคนในหอฉินก่วนพากันแปลกใจ มีพ่อบ้านคิดจะรั้งไว้ กลับถูกซ่งฉานฉานด่าไปยกหนึ่ง ว่าเลี้ยงดูหมาป่าตาขาวเอาไว้ ให้พวกเขาไป

ในเมืองหลวงก็มีสามร้านที่คนงานลาออก การเปลี่ยนงานส่วนใหญ่มักเป็นก่อนช่วงเดือนสิบสองหรือเดือนหนึ่ง อยู่ ๆ จะไม่ทำกันตอนนี้ และยังเป็นคนงานที่ทำงานมาจนชำนาญเช่นนี้ ทำให้เจ้าของร้านเสียดายมาก

มีคนคิดว่าอยู่ๆ ลาออกกัน หรือว่ามีการค้าใดให้ดีกว่า แต่เมื่อจับตาดูแล้ว ก็ไม่เห็นร่องรอยพวกเขาว่าไปที่ใดกัน

แต่พอผ่านไประยะหนึ่ง มีคนเห็นร่องรอยพวกเขานอกเมือง ก็ไม่รู้ว่าทำอันใด ทุกคนก็สงสัย แต่ก็ขี้เกียจจะสนใจ

ยามนี้ นอกและในเมืองหลวงมีบ้านพักที่ไม่เตะตาอยู่หลายแห่ง มีชายสำเนียงซานซีจำนวนหนึ่งเข้าพัก คนซานซีในเมืองหลวงไม่น้อย พวกเขากินอยู่อย่างเรียบง่าย จึงไม่มีใครสนใจ

************

หน้าร้อนเมืองหลวงดูแล้วเหมือนไม่สงบอย่างมาก เหมือนจะมีคลื่นลมใหญ่กระหน่ำ แต่พอถึงเดือนเจ็ดก็พลันเงียบลง ไร้เรื่องราวอันใด

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!