Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 569

ตอนที่ 569 คืบคลานเข้าใกล้

เชลยทั้งหมดยอมรับว่าการลอบสังหารในเมืองนั้นเป็นฝีมือพวกเขา แม้รู้ว่าหัวหน้าบงการคือหย่งเซิ่งป๋อ แต่คนอื่นๆ กลับไร้ร่องรอย

คนเหล่านี้เป็นทหารติดตามของบุตรชายรองหย่งเซิ่งป๋อที่ตายไป ครั้งนี้ถูกส่งมาเมืองหลวง ก่อนมาเมืองหลวงทางซานซีนั้นได้สั่งไว้แล้ว ว่ามาถึงเมืองหลวงแล้วก็มีคนมาสั่งการต่อเอง ทุกอย่างให้ฟังคำสั่ง

พวกโจรล้วนเป็นรุ่นลูกของคนในจวนหย่งเซิ่งป๋อ รุ่นบิดาพวกเขาเป็นทหารติดตามหย่งเซิ่งป๋อ ทั้งวันเลี้ยงดูอย่างดีทั้งสุราและเนื้อสัตว์ ฝึกฝนกันอยู่ชายแดน ล้วนภักดีสละชีพได้

ในเมื่อนายสั่งมา ย่อมฟังคำสั่ง มาถึงเมืองหลวงแล้ว คนที่ออกคำสั่งก็เหมือนว่าเป็นชายวัยกลางคนหน้ำตาธรรมดำ แต่จ่ายหนักมาก

ทุกคนพบหน้ากันแล้ว หลายสิบตำลึงก็ถึงมือเป็นรางวัล อยู่โรงบ้านนี่ ทั้งสุราชั้นเลิศ เนื้อสัตว์เลิศรสล้วนพร้อมสรรพ ยังส่งหญิงคณิกาเข้ามาให้ความสำราญอีก ทำให้พวกเขามีความสุขมาก ไปๆ มาๆ คนพวกนี้ก็รู้สึกว่าทำงนี้ก็ไม่เลว คนผู้นั้นค่อยๆ สั่งการให้เคลื่อนไหว

เคลื่อนไหวไปสองสามเรื่อง เช่นไปนอกเมืองสองแห่ง สังหารพวกนิรนาม ไปในเมืองก่อคดี นอกเมืองก็แค่พวกกระสอบหญ้าที่ถืออาวุธได้ แต่ในเมืองสองแห่งนั้นตำมือเอาจริงๆ

ไม่กล่าวถึงศาลซุ่นเทียนที่เดิมก็เป็นที่อันตรายแล้ว ส่งมือสังหารเดนตายไปปะปนในห้องทำงานก่อน จากนั้นสังหารหลี่ว์วั่นไฉด้วยดาบเดียวแล้วรีบหนีออกไป ก็หนีออกไปได้แล้ว คิดไม่ถึงว่าจะมีคนพบเห็นได้

ทหารชายแดนแต่ไรมาดูแคลนพวกสำนักองครักษ์เสื้อแพร คิดไม่ถึงว่านายกองร้อยสำนักองครักษ์เสื้อแพรถนนทักษิณหลี่เหวินหย่วนมีฝีมือเพียงนี้ ตายไปเกือบสิบกลับสังหารอีกฝ่ายไม่ได้สักศพ

ในเมืองหลวงสังหารขุนนางไม่เหมือนต่างเมือง ทำให้แตกตื่นแล้วค่อยลงมือนั้นไม่อาจเป็นไปได้ ไม่เพียงแต่ทหารและกองกำลังต่างๆ ในเมืองหลวงจะจับตาดูแน่นหนา ทั้งสายลับสำนักองครักษ์เสื้อแพร สำนักบูรพาและศาลซุ่นเทียน หรือแม้กระทั่งกรมอาญาเองก็มีคนจับตา จะเคลื่อนไหวอีกก็ย่อมเปิดเผยตน

ในเมื่อปฏิบัติการล้มเหลว ป้องกันแน่นหนา คนพวกนี้ก็คิดว่าจะถอนกำลังกลับ คิดไม่ถึงว่าคนผู้นั้นกลับจ่ายเงินอีกก้อน บอกว่าตอนนี้จับตาดูแน่นหนามาก ไม่กล้าเคลื่อนไหว ให้ทุกคนอยู่เงียบๆ รอผ่านไปสักระยะค่อยไป

กินดีอยู่ดี เงินทองมากมี นับประสาอันใดกับวาจามีเหตุมีผล ทุกคนก็อยู่กันต่อเงียบๆ คนผู้นั้นบอกอีกว่า ระยะนี้ทุกอย่างยังยุ่งยาก ให้ทำการระมัดระวัง เงินทองทางนี้ออก ทุกอย่างขอให้หาซื้อเอง

พอบอกเล่าเรื่องราวพวกนี้กับหลี่ว์วั่นไฉหมด หลี่ว์วั่นไฉก็ไม่สนกลิ่นคาวโลหิตรุนแรงในห้อง คว้าพัดออกมาพัดก่อนจะกล่าวขึ้นเบาๆ ว่า

“ใช่ว่าพวกโจรนี่อย่างน้อยสิบวันไม่ได้พบเห็นคนบงการแล้วหรือนี่”

หวังทงพยักหน้า หลี่ว์วั่นไฉใช้พัดเคาะฝ่ามือ ท่าทางกลัดกลุ้ม หวังทงถามต่อน้ำเสียงนิ่งว่า

“สืบคดีในเมืองหลวง ก็ยังคงหาร่องรอยก่อนตัดสินว่าเป็นคนที่ไหน จากนั้นก็ส่งเจ้าหน้าที่ไปสืบทั้งในและนอกเมืองหลวง ดูว่ามีคนพวกนี้หรือไม่ การสืบคดีพวกนี้เป็นเรื่องที่ทำกันปกติใช่หรือไม่”

หลี่ว์วั่นไฉพยักหน้า ยอมรับว่า

“ไม่มีวิธีอื่นใด ได้แต่ส่งมือปราบและเจ้าหน้าที่ออกไปสืบข่าวตามตรอกซอกซอย แต่ไรมาก็เช่นนี้”

กล่าวอย่างลังเลช้าๆ หากเจ้าใจความหมายของหวังทง หวังทงกล่าวว่า

“ที่นั่นนับว่าเร้นลับหรือ?”

“เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่แน่ใจ ใต้เท้าหวังรอสักครู่ ไปตามหลี่กุ้ยเข้ามาถามดู”

หลี่ว์วั่นไฉสีหน้านอบน้อม ออกไปไม่นานก็กลับมา หลี่กุ้ยเมื่อครู่ออกไปอาเจียนมารอบหนึ่ง ตอนนี้สีหน้าไม่ดีนัก พอเข้ามาก็ปะทะกลิ่นคาวโลหิตอีกครา ได้แต่อุดปากวิ่งออกไปอีกรอบ กว่าจะหยุดได้ หน้ำตาซีดเผือดเดินเข้ามาในห้อง เขาเป็นหัวหน้ามือปราบ ย่อมต้องคุ้นชินกับเรื่องพวกนี้

“เรียนใต้เท้าทั้งสอง ที่นี่จะเรียกได้ว่าสถานที่ลับได้อย่างไร แต่ละแห่งสืบสวนกัน โรงบ้านในหมู่บ้านตามเส้นทางหลวงก็ต้องตรวจสอบกันรอบหนึ่ง ถามว่ามีคนนอกแวะผ่านมาหรือไม่ หากจะแอบซ่อนจริง ไปทงโจวกับมี่อวิ๋นก็ย่อมไม่อาจสอบถามได้แล้ว”

“รีบไปจัดการ เจ้าเป็นรองมือปราบหากยังทนกลิ่นคาวเลือดไม่ได้ หากแพร่ออกไป ใช่ว่าทำคนอื่นหัวเราะฟันร่วงหรือไง รีบออกไปสูดอากาศด้านนอกสิ”

หวังทงยิ้มกล่าวกับหลี่กุ้ย แสดงให้เห็นว่าไม่เห็นว่าเขาเป็นคนนอก หลี่กุ้ยรีบหัวเราะแหะๆ ก่อนจะออกไปทันที พอเขาออกไป ในห้องทั้งสองคนก็ล้วนมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้น

“ร่องรอยนี้ถูกตัดขาด อีกฝ่ายมีความสามารถรู้ได้ระดับใดกัน ถึงกับทำเรื่องใหญ่เช่นนี้ได้”

สีหน้าหลี่ว์วั่นไฉมีความตระหนกด้วยความสงสัยเล็กน้อย ตั้งแต่เหอจินอิ๋นเรื่องนั้น แต่ละคดีที่ผ่านมา ตอนนี้ก็เหมือนกับร้อยเรียงเป็นเรื่องราวได้พอควร รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายนั้นเจตนาไม่เพียงแค่ผิวเผิน ยังมีอิทธิพลมาก ล้วนไม่เคยได้พบเห็นมาก่อน หากมาถึงบัดนี้กลับไร้วี่แววที่มาที่ไป ได้แต่สืบไปทางหย่งเซิ่งป๋อและลัทธิไตรสุริยัน……

เห็นสีหน้าเขา หวังทงก็เข้าใจในสิ่งที่หลี่ว์วั่นไฉคิด เข้าไปตบบ่ากล่าวว่า

“ไม่ว่าเบื้องหลังเป็นสัตว์ประหลาดสามเศียรหกกรอันใด ตอนนี้ถูกพวกเราตัดทิ้งไปพอสมควรแล้ว อย่างไรก็วาจาเดิมที่ว่า หากสูญเสียมากเพียงนี้ยังเอาอยู่ ใต้หล้านี้ก็ไร้ความเสถียรภาพนานแล้ว ตอนนี้ผู้บงการเบื้องหลังย่อมบาดเจ็บเลียแผลอยู่ ได้แต่เสี่ยงสู้ในที่ลับ ไม่กล้าสู้กันเปิดเผย พวกเราก้าวให้มั่นคง ระวังให้รอบคอบ ไม่จำเป็นต้องกังวลอันใด!”

หวังทงกล่าวจบ ก็คิดไปมาก่อนจะกล่าวขึ้นเบาๆ ว่า

“ผู้บงการเบื้องหลังโจรพวกนี้ เกรงว่าไม่เกี่ยวอันใดกับหย่งเซิ่งป๋อ น่าจะเป็นพวกที่พวกเราตามหากันอยู่ การลอบสังหารครั้งนี้ล้มเหลว ทำให้เห็นว่าพวกมันเริ่มลน วาจาเดิมกล่าวจนเบื่อแล้ว แต่ก็ยังคงต้องกล่าวเช่นเดิม พวกเราย่อมอดกลั้นต่อไปได้”

ได้ยินวาจาหวังทง หลี่ว์วั่นไฉก็เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ พยักหน้า

************

อากาศค่อย ๆ หนาวลง ใกล้ปีใหม่แล้ว ในวังแต่ละแห่งก็ยุ่งกับการเตรียมงาน สำนักอาชาหลวง ขันทีหลินซูลู่ก็เลื่อนตำแหน่งให้ขันทีผู้หนึ่ง

เป็นซวงสี่ ขันทีรับใช้ส่วนตัวของหลินซูลู่ ทุกคนไม่รู้สึกอันใด รับใช้ข้างกายหลินซูลู่มาหลายปี มอบตำแหน่งให้ก็เป็นเรื่องที่ยอมรับกันได้ทั่วไปในวังนี้

แต่ทุกคนก็ต่างอุทานด้วยความชื่นชม คนของหลินซูลู่สั่งสอนมา ทำงานมีระเบียบ ระมัดระวังรอบคอบ ซื่อสัตย์อย่างมาก เหมือนทำงานมานาน แม้แต่จางจิงแห่งสำนักอาชาหลวงที่รักษาระยะห่างจากหลินซูลู่ก็ยังแอบชมเชยอยู่หลายคำ

ซวงสี่ไม่ลืมตน ทุกวันนอกจากออกไปปฏิบัติหน้าที่แล้ว ก็จะไปรับใช้ที่ห้องทำงานของหลินซูลู่ ยังปฏิบัติดังเมื่อก่อน ขันทีหลินเมื่อก่อนชอบความสงบเงียบ แม้แต่หน้าประตูก็ไม่ให้มีขันทีรอรับใช้ แต่พอซวงสี่มา ก็มารับหน้าที่นี้ มีความเป็นนายบ่าว คนสำนักอาชาหลวงล้วนชื่นชมไม่ขาด

ตอนบ่าย วันที่ 5 เดือนสิบเอ็ด ซวงสี่ปฏิบัติงานกลับมา ทักทายทุกคนอย่างนอบน้อม จากนั้นก็ไปยังห้องทำงานของหลินซูลู่

เคาะประตูไปสองสามที ไม่รอให้ข้างในตอบรับ ผลักประตูก้าวเข้าไปทันที พอเข้าไปก็ปิดประตู หลินซูลู่หมอบฟุบอยู่บนโต๊ะ ร่างกายมีการเคลื่อนไหวขึ้นลงน้อยๆ เหมือนกำลังนอนหลับอยู่

ซวงสี่เดินเข้าไปแตะดู หลินซูลู่ค่อยๆ ตื่นหันมา สีหน้าหมองคล้ำราวกับเหนื่อยอ่อนมาก เพิ่งตื่นขึ้น ดวงตาก็เหมือนจับจ้องบางสิ่งไม่เคลื่อนไหวไปที่ใด ซวงสี่กระซิบเรียกจึงได้ขยับ หลินซูลู่กล่าวน้ำเสียงแหบแห้งว่า

“เอายาให้ข้า!!”

ซวงสี่ล้วงตลับสีเงินออกมาเปิดออก หลินซูลู่ค่อยๆ ตักด้วยมือสั่นเทา ตักขึ้นมาป้ายเข้าปาก จากนั้นก็กระตุกเล็กน้อย พอกระตุกครั้งที่สี่ ซวงสี่ปิดตลับลง สีหน้าหลินซูลู่ก็เริ่มมีสีเลือด เงยหน้ากล่าวด้วยน้ำเสียงแหบว่า

“เอาอีกหน่อย……”

ซวงสี่เก็บตลับยาเข้าอกเสื้อ หลินซูลู่จ้องมองเขาอย่างไม่พอใจ ซวงสี่กลับไม่ยอม สองฝ่ายแข็งกร้าวใส่กันครู่หนึ่ง สีหน้าหลินซูลู่ค่อยๆ ผ่อนคลายลง ส่ายหน้า หลุดยิ้มออกมาว่า

“เป็นโอสถเสือจิ้งจอกที่เยี่ยมจริง”

ซวงสี่ผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด หลินซูลู่มือสั่นคว้ายาออกมาสองเม็ดจากช่องโต๊ะ บิเทียนไขห่อหุ้มออกก่อนจะกลืนลงไป หลับตาลงพิงพนักเก้าอี้ค่อยๆ หายใจช้าๆ พอลมหายใจสงบลง หลินซูลู่ยังคงหลับตาถามต่อว่า

“เรื่องนอกเมืองตะวันตกจัดการเรียบร้อยแล้วใช่ไหม?”

“เรียนนายท่าน จัดการเรียบร้อยแล้ว ท่านสามทางนั้น ท่านรองก็ส่งคนไปกักตัวไว้แล้ว ที่เหลือแต่ละแห่งก็จัดการแล้ว”

หลินซูลู่ค่อยๆ พยักหน้า กล่าวเสียงแหบว่า

“ตอนนี้กำลังเป็นเวลาแห่งการอดกลั้น เจ้าสามไม่อาจอดกลั้น มักเอาแต่จะหาทางเอาคืน ทิ้งตระกูลอวี๋ไปละกัน คาดว่าสืบพบตระกูลอวี๋นานแล้ว ให้พวกเขาไปรับแทนละกัน หากกล้าเปิดโปงตระกูลอวี๋ต่อราชสำนักจริง ตระกูลอวี๋ถูกทำลาย คนสืบออกมาก็ย่อมมีโทษไปด้วย ดูซิว่าผู้ใดจะกล้าเป็นขุนนางภักดี”

กล่าวจบ ก็หัวเราะขึ้น ซวงสี่เอ่ยรายงานว่า

“นายท่าน ตอนนี้คนของเราที่ต่อสู้ได้ ท่านรองและท่านสามรวมกันแล้วก็ไม่ถึง 50 ถูกทำลายกำลังร่อยหรอลงเรื่อยๆ ตอนนี้เราต้องหามาเพิ่มหรือไม่”

“……คนพวกนี้ ขอเพียงจ่ายหนัก จะหาผู้ใดก็ย่อมได้ ให้พวกเขา ……”

หลินซูลู่ค่อยๆ กล่าว ซวงสี่รีบรับคำ หลินซูลู่แม้สีหน้าจะฟื้นคืนแล้ว แต่ก็ยังนั่งนิ่งไม่ขยับ ผ่านไปครู่หนึ่ง หลินซูลู่ก็เอื้อมมือไปแตะยังกองเอกสารบนโต๊ะ กล่าวอย่างเหนื่อยอ่อนว่า

“ไม่อยากเสียแรงอ่านแล้ว เจ้าดูรอบหนึ่ง ควรอนุมัติก็อนุมัติไป”

ซวงสี่รีบรับคำ คว้าเอกสารเปิดออกอ่าน อ่านไปหลายเล่มก่อนจะเลือกพวกที่มีปัญหาออกมา ไม่ว่ารายงานตัวเลขปลอม หรือว่าโกงเบี้ยหวัดใด ซวงสี่ล้วนแจงละเอียดทีละประเด็น หลินซูลู่ล้วนให้อนุมัติไป ผ่านไปครู่หนึ่งก็ยิ้มกล่าวว่า

“ไทเฮาทรงเรียกใช้ข้า ก็เพราะเห็นว่าข้าเอาจริงเอาจัง เป็นดังสุนัขคอยกัดคนในวังแทน ตอนนี้ไม่สนใจอันใดแล้ว ข้าขอทำตัวเป็นคนดีบ้าง”

ซวงสี่มือกระตุก หยุดยกมือเช็ดน้ำตาที่มุมตา หลินซูลู่เงียบไปสักครู่ ก่อนกล่าวขึ้นเบาๆ ว่า

“สองสามวันนี้ข้ากำลังคิดว่า ตอนนี้ในวังนอกวัง ไทเฮา เฝิงเป่า จางจวีเจิ้ง กำลังคานอำนาจกัน สร้างเสถียรภาพฐานอำนาจให้มั่นคง ตอนนี้เริ่มมีช่องโหว่ แต่แม้ขัดแย้งกันเปิดเผยขึ้นมา ในสามคนนี้ก็ยังไม่ว่าผู้ใดชนะหรือผู้ใดแพ้ แต่ที่เหลือก็ย่อมครองอำนาจใหญ่ พวกเรายิ่งไม่อาจล่วงเกิน……การจะคว้าเอาเกาลัดในกองไฟ ข้าเองก็มีวิธี กล่าวขึ้นมาแล้ว ก็เป็นเพราะหลี่เหวินเฉวียนที่ทำให้ข้าคิดได้……”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!