Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 577

ตอนที่ 577 มีความวุ่นวาย แต่ละฝ่ายล้วนมีแผน

หม่าฟางเคยเป็นทาสที่ถูกพวกมองโกลจับไปเป็นเชลยบนทุ่งหญ้า ชาติกำเนิดเรียกได้ว่ารากหญ้า พอมาถึงหม่าหลินและหม่าต้ง จึงเรียกได้ว่าเป็นตระกูลนักรบแท้จริง

แต่เล็กเรียนรู้การขี่ม้ายิงธนูเป็นเรื่องหลัก หากเรื่องสำคัญกว่าก็คือเรียนรู้การทำงานและการรับมือวงการขุนนาง หม่าต้งได้ยินรับสั่งฮ่องเต้ว่านลี่ที่ทรงรู้เรื่องราวเมืองต้าถงหมดสิ้น และยังทรงกล่าวถึงการที่ชายแดนเมืองต้าถงเป็นที่ตั้งกองทัพ แต่ทำเรื่องไม่ถูกต้องต่างๆ นานา ในใจก็เริ่มตระหนก

เรื่องสงครามถู่มู่ เรื่องพฤติกรรมที่พวกมองโกลรุกรานเข้าทางเมืองต้าถง นี่ไม่ใช่ความลับอันใด แม่ทัพหมิงทุกคนล้วนรู้กันดี ไม่เพียงแต่พวกเขารู้ ทั่วหล้าล้วนรู้ แต่ทุกคนก็เพียงแค่ทำเป็นลูบจมูกไม่รู้เรื่องกันไปก็เท่านั้น

หม่าต้งเดิมคิดว่าการมาเข้าเฝ้าเมืองหลวงครานี้เป็นธรรมเนียมรับตำแหน่งทั่วไป ได้ยินว่าฮ่องเต้ว่านลี่พระราชทานเลี้ยง ก็คิดว่าเป็นเพราะให้เกียรติตระกูลตน หรือไม่ก็น้องชายตนหม่าหลินอยู่ที่เหลียวโจวสร้างผลงานดี จึงได้มีพระกรุณาเพียงนี้ คิดไม่ถึงว่าการเข้าเฝ้าครั้งนี้ไม่ใช่จุดหมายที่ผู้ใด หากเป็นตนเอง

รองแม่ทัพเมืองต้าถง ก็นับได้ว่าเป็นบุคคลอันดับสองของทัพเมืองต้าถง อยู่ๆ เลื่อนตำแหน่งให้เช่นนี้ ยังตรัสเช่นนี้ ทำให้หม่าต้งรู้สึกหวาดระแวงอย่างมาก

ฮ่องเต้ว่านลี่ถอนพระปัสสาสะ ทอดพระเนตรหม่าต้งคุกเข่าดังคาด ก็แย้มสรวลเล็กน้อย ก่อนจะตรัสว่า

“หม่าต้ง ตอนนั้นหากเจ้าเป็นขุนพลเมืองต้าถง เจ้าจะทำเช่นไร?”

หม่าต้งอึ้งไป จากนั้นก็โขกศีรษะหลายครั้ง รีบกราบทูลว่า

“ฝ่าบาทให้กระหม่อมทำเช่นไร กระหม่อมก็ทำเช่นนั้น แม้จะต้องแหลกสลายเป็นผุยผงก็จะไม่รอช้า!”

น้ำเสียงหนักแน่นทรงพลัง แสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดี ฮ่องเต้ว่านลี่ก้มพระพักตร์มองดูศีรษะหม่าต้งแตะพื้น พยักพระพักตร์ตรัสว่า

“บิดาเจ้า หม่าฟางรักษาชายแดนที่เมืองต้าถงและเมืองเซวียนฝู่ มีชื่อเสียงโด่งดัง น้องเจ้าเป็นรองแม่ทัพที่เมืองเหลียวโจว ตอนนี้ก็พอสร้างชื่อได้แล้ว มีเพียงเจ้าที่เป็นขุนพลเล็กๆ ในเมืองต้าถง หลายปีนี้แม้ว่ามีความดีความชอบสังหารข้าศึกไม่น้อย แต่ก็ว่ากันตามระเบียบ อย่างน้อยก็ต้อง 5 ปีเจ้าจึงจะได้เลื่อนตำแหน่ง เหตุใดจึงเลื่อนตำแหน่งให้เจ้า เราก็ย่อมเห็นว่าตระกูลเจ้าจงรักภักดีต่อเราอย่างที่สุด”

หม่าต้งโขกศีรษะลงไปอีก ฮ่องเต้ว่านลี่แย้มสรวลตรัสว่า

“แต่ก็มีขุนนางรายงาน กล่าวล่ำลือพกลมว่าพวกเจ้าสามปีนี้ใช้เงินซื้อศีรษะศัตรูมา เหลวไหลสิ้นดี เราล้วนไม่ส่งฎีกานั่นกลับ”

ในวันนั้นที่หวังทงมีชัยชนะใหญ่ที่เมืองเซวียนฝู่ นำศีรษะศัตรูกลับมาด้วยหลายพัน ตอนนั้นตระกูลหม่าและตระกูลลี่ก็ใช้เงินก้อนใหญ่ซื้อไป ให้ลูกหลานตนได้เลื่อนตำแหน่ง แต่ละปีมีความดีความชอบไม่น้อย

นี่ไม่ใช่เรื่องล่ำลือพกลม แม้ว่าศีรษะพวกนั้นควรเป็นดังเรื่องปกติของชายแดนหมิง แต่ก็ล้วนเป็นเรื่องที่พูดได้แต่ทำไม่ได้ ฮ่องเต้ว่านลี่กล่าวบรรยายเนิบนาบเช่นนี้ ยังมีคำว่า วาจาล่ำลือพกลม หากผู้ใดฟังไม่เข้าใจบ้าง ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงรู้กระจ่างทั้งหมดแล้ว

หม่าต้งโขกศีรษะกับพื้นอย่างแรง กราบทูลดังว่า

“ฝ่าบาททรงเมตตาด้วย กระหม่อมจักซาบซึ้งพระกรุณาไม่มีวันลืม ขอทรงวางพระทัย กระหม่อมไปเมืองต้าถง จะต้องทำตัวให้ดี ภักดีฝ่าบาท เมืองต้าถงแต่ก่อนมีเรื่องปิดบังอันใด หากกระหม่อมยังอยู่ จะไม่ให้มีเรื่องเช่นนั้นอีก”

“เป็นหูเป็นตาแทนเราดูแลเมืองต้าถงให้ดี หากทำเรื่องนี้ได้ดี วันหน้าก็จะมีตำแหน่งแม่ทัพใหญ่อย่างไรต้องมีแก่เจ้า!!”

กล่าวกันถึงขั้นนี้ หม่าต้งก็ได้แต่โขกศีรษะขอบพระทัย แสดงความจงรักภักดีของตนเท่านั้น

คุยจบเรื่องที่ควรคุยแล้วก็ดื่มสุรากินอาหารพอเป็นพิธี หม่าต้งขอบพระทัยอีกครั้งก่อนอำลา ขันทีนำหม่าต้งออกจากวัง ประตูตำหนักอุ่นปิดลง ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสขึ้นว่า

“ให้สำนักบูรพาและสำนักองครักษ์เสื้อแพรส่งสายลับไว้ข้างกายหม่าต้ง หม่าฟางและหม่าหลินก็ต้องด้วย สิ่งที่ควรระวังก็ต้องระวังไว้ อย่าเอาแต่จับตาเมืองต้าถงแต่ละเลยตระกูลหม่า ตอนนี้เขาสามคนพ่อลูกลงรากลึกในเมืองสำคัญชายแดนแล้ว!”

จางเฉิงตอบเบาๆ ว่า

“ฝ่าบาท ส่งคนไปอยู่ข้างตัวหม่าต้งแล้ว เขารู้งานดี รายงานมาทุกวัน”

……

“ฝ่าบาท หม่าต้งออกจากวังไปก็กลับไปยังจวนเขาในเมืองหลวง มีพ่อค้าซานซีหลายคนส่งของขวัญมาให้ หม่าต้งล้วนส่งคืนกลับไป ปิดประตูไม่รับแขก”

ได้ยินรายงานจางเฉิง ฮ่องเต้ว่านลี่บนเกี้ยวประทับก็แย้มสรวล ตรัสสุรเสียงนิ่งเรียบว่า

“เราพูดไปตั้งเยอะ เขาเองก็ย่อมทำตัวให้เราเห็นว่าไม่อยู่กับฝ่ายใด ไม่รู้ว่าไปถึงต้าถงแล้วทำตัวอย่างไร อย่างไรก็ต้องจับตาดูต่อ!”

จางเฉิงรีบถวายคำนับรับพระบัญชา หวังทงส่งฎีกาขึ้นมา ฮ่องเต้ว่านลี่ก็มีการเปลี่ยนแปลงในหลายเรื่อง ทุกวันอยู่กับพระสนมเอกเจิ้งในตำหนัก ไม่ออกไปที่ใด ถึงกับแม้แต่งานแผ่นดินก็ให้เอามาทำที่ตำหนักพระสนมเอก

นอกจากตอนเช้าทุกวันไปถวายคำนับไทเฮาฉือเซิ่ง ณ ตำหนักฉือหนิงกแล้วไปประชุมขุนนางที่หอเหวินเหยียนเก๋อ ถัดมาก็จะเป็นช่วงต้นเดือนกลางเดือนที่ต้องมีประชุมใหญ่ ยังมีพิธีการในเทศกาล ก็ไม่ไปที่ใดอีก ฮองเฮาก็ถูกทอดทิ้งให้เดียวดาย ในเรื่องนี้ทำให้ไทเฮาฉือเซิ่งไปทรงพอพระทัยอยู่บ้าง ได้ตรัสให้ฮ่องเต้ว่านลี่รับรู้ทั้งแบบเปิดเผยและไม่เปิดเผยหลายครั้ง แต่ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ยังดื้อดึงอย่างมาก ไทเฮาฉือเซิ่งเองก็ไม่อาจเกี่ยวข้องด้วยมาก และสนมเอกเจิ้งนั้นก็ว่านอนสอนง่าย แม้ว่าได้รับพระเมตตาจากฮ่องเต้มาก แต่ไม่เคยแสดงความเห็นเรื่องการแผ่นดิน สงบเสงี่ยมอย่างยิ่ง การวางตัวเช่นนี้ทำให้คนอื่นๆ ไม่อาจกล่าวอันใดได้

เห็นจางเฉิงรับพระบัญชา ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ปล่อยม่านเกี้ยวลง เจ้าจินเลี่ยงรีบโบกมือ คนแบกเกี้ยวก็เริ่มเคลื่อน หากฮ่องเต้ว่านลี่กลับเปิดม่านออกมา เจ้าจินเลี่ยงรีบออกคำสั่งให้เกี้ยวหยุด ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสว่า

“เฉินซือเป่ากับถังซื่อไห่รีบจัดการให้เข้ามาเป็นองครักษ์ในวังโดยเร็ว คืนนี้ให้สำนักส่วนพระองค์ออกราชโองการไปเลย พรุ่งนี้ก็ให้กรมอาญาและหน่วยงานในเขตปกครองเหนือสืบเรื่องลัทธิมาร เรื่องเช่นนี้ ท่านจางย่อมไม่เข้าข้องเกี่ยว ให้พวกเขาเอาหน้าเรื่องระบบภาษีใหม่กันไปก็พอ!!”

“ขอฝ่าบาทโปรดวางพระทัย กระหม่อมจะไปดำเนินการในวันนี้พะยะค่ะ!!”

***************

ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 9 หลังวันที่ 25 เดือนสิบสอง หน่วยงานต่างๆ ก็ทิ้งคนไว้เฝ้าเวรเท่านั้น คนอื่นๆ ก็กลับบ้านไปฉลองปีใหม่ มีเรื่องสำคัญให้ไปรายงานที่จวน

มหาอำมาตย์จางจวีเจิ้งสถานะสูงส่ง ยังต้องมาทำงานที่สำนักคณะเสนาบดีใหญ่ หากมีเรื่องสำคัญต้องให้ทุกคนออกเสียง ก็จะให้เจ้าหน้าที่จากคณะเสนาบดีใหญ่นำเรื่องขึ้นมาได้ทันที

แต่ท่านจางไม่ใช่คนที่ว่างจากงานได้ แม้ว่าอยู่บ้าน ก็จะเอาแต่ทำงานอยู่ในห้องหนังสือทั้งวัน

ในวังมีราชโองการ ก็จะส่งไปที่สำนักเสนาบดีใหญ่ จากนั้นก็ส่งไปจวนมหาอำมาตย์ หน้าประตูท่านจางไม่อาจรั้งรอให้ชักช้า เปิดประตูปล่อยตัวให้เข้าไป ตลอดทางมาจนถึงหน้าประตูห้องหนังสือจางจวีเจิ้ง

พอมาถึงก็หยุดรอ คนรับใช้ด้านนอกรีบเข้าไปรายงาน ไม่นาน ก็มีอิ๋วชีออกมารับเอกสารไป ถามง่ายๆ ไม่กี่คำ ก็ส่ายหน้ายิ้มกล่าวว่า

“สำนักส่วนพระองค์ก็ช่างเลือกเวลาได้ดี หลายวันนี้ท่านจางอารมณ์ดี เรื่องพวกนี้ย่อมอนุมัติรวดเร็ว พี่เฉินรอสักประเดี๋ยวเดียว!”

เขากล่าวเช่นนี้ เจ้าหน้าที่จากสำนักคณะเสนาบดีที่นำเอกสารมาส่งรับการเกรงใจเช่นนี้ไม่ไหว ได้แต่รีบคำนับขอบคุณกล่าวว่า ลำบากพี่ชีแล้ว

อิ๋วชีนำเอกสารเข้าไป ไม่ได้เสียเวลามากจริงๆ หยิบเดินออกมา นำฎีกาสองฉบับส่งให้เจ้าหน้าที่ ยิ้มกล่าวว่า

“ท่านจางอนุมัติแล้ว เอาเอกสารไปจัดการได้ทันที!”

เจ้าหน้าที่ยิ้มรับ แล้วก็รีบออกไปปฏิบัติงานทันที อิ๋วชีส่งเจ้าหน้าที่กลับออกไป ก็ไปหยุดหน้าลานด้านหน้าสักครู่ ไม่ได้กลับไปรับใช้ในห้องหนังสือต่อ หากเดินไปยังประตูหน้าแทน

สถานะเขาในจวนอำมาตย์จางนั้นทุกคนรู้กันอยู่แก่ใจ ผู้ใดกล้าล่วงเกิน เจ้าหน้าที่หน้าประตูที่ปกติไม่แยแสต่อขุนนางระดับสาม พอเห็นอิ๋วชีก็ยังต้องรีบลุกขึ้นยิ้มเข้ามาถามอย่างนอบน้อมว่า

“ท่านชีวันนี้อารมณ์ดี ถึงกับมาถึงหน้าประตูได้ มีเรื่องอันใดสั่งการหรือ?”

อิ๋วชียิ้มตบบ่าเจ้าหน้าที่หน้าประตู กล่าวว่า

“ล้วนเป็นบ่าวรับใช้ท่านจางทั้งนั้น มีอันใดสั่งการกัน มาเพื่อกำชับเรื่องหนึ่ง วันนี้นายกองพันต่งแห่งซานตงมาถึง ให้รีบนำตัวเข้าไปข้าใน!”

“ท่านอิ๋วชีวางใจได้ รอให้นายกองพันต่งมาถึง ข้าน้อยจะต้องนำตัวเข้าไปด้านในอย่างเรียบร้อย”

อิ๋วชียิ้มพยักหน้า จากนั้นหันหลังเดินกลับเข้าไป หน้าประตูผู้นั้นยืนโค้งตัวคำนับยิ้มอยู่ตลอด รอจนอิ๋วชีพ้นสายตาไป ก็ยืดตัวตรง หันหลังเดินอาดๆ ไปนั่งลงยังเก้าอี้หน้าประตู หยิบกาน้ำชาที่อุ่นอยู่ในเตาดินเผาข้างๆ ออกมารินให้ตนเองหนึ่งจอก ยกขึ้นดมกลิ่นหอม กล่าวกับตนเองว่า

“เป็นเพราะนายท่านกินยาแล้วได้ผลไม่เลว กำลังวังชาดีมากเป็นแน่ คิดไม่ถึงว่าแมวน้ำนี้สร้างปาฏิหาริย์ได้มากเช่นนี้ วาสนาช่าง……”

***************

“นายท่าน ตอนนี้ท่านสามอย่างไรก็ไม่ยอมเอาเงินข้างนอกมาให้ ท่านรองไม่รู้จะทำเช่นไร ส่งคนไปหาเงินไปทั่ว ท่านรองให้ซวงสี่รายงานนายท่าน บอกว่าคนที่ส่งไปอาจถูกทางการจับตา แต่จับได้ก็จับไป ไม่มีทางสืบสาวมาถึงพวกเราทางนี้!!”

“เรื่องทำไม่สำเร็จ เขาเก็บเงินไว้ฝังศพตัวเองหรือไง!!”

ได้ยินซวงสี่รายงาน หลินซูลู่ก็จ้องตาเขม็ง คำรามขึ้นเบาๆ กล่าวออกมาประโยคหนึ่ง ก่อนจะหอบรุนแรง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเบาลง พอหอบ สีหน้าก็เริ่มแย่ลงมาก ล้มตัวลงพิงพนักเก้าอี้ โบกมือกล่าวว่า

“ไม่ต้องสนใจแล้วๆ ตอนนี้เราก็แค่ดูแลตัวเองให้ดี ให้เจ้ารองคุมเจ้าสามให้ดี ทุกอย่างย่อมไร้หายนะใหญ่”

ซวงสี่ปากขยับหลายรอบ หากก็ยังลังเลก่อนจะกล่าวว่า

“ท่านสามใช้เงินไปห้าหมื่นตำลึง ส่งคไปพบกับเซิงเก๋อตูกู่เหลิง หากอีกฝ่ายก็ยังเย็นชา คิดจะทำอันใดเกรงว่า เงินแสนกว่าตำลึงคงเอาไม่อยู่ ท่านสามมีเงิน แต่ตอนนี้ไม่มีเงินบรรณาการใด เกรงว่า……”

“เงินทองเรื่องเล็ก เมืองกุยฮว่าเฉิงทางนั้นก็เรื่องเล็ก ตอนนี้เรื่องสำคัญอยู่ตรงนี้ อยู่ตรงนี้!!”

หลินซูลู่กล่าวจบก็หอบหนัก ซวงสี่รับเข้ามาตบหลังให้หลายที รอจนหายหอบก็ถามว่า

“ทางซานตงเป็นอย่างไรบ้าง?”

“ขอนายท่านวางใจ ของนั่นถึงที่แล้ว พวกเราที่ไว้ใจได้จะไปรับมา แม้จำนวนไม่มาก แต่ก็สะสมไปเรื่อยๆ ……”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!