ตอนที่ 586 รอจนถึง
ถูกโจมตีนอกชายแดน สูญเสียเพื่อนทหารไป หลิวจิ้นยังไม่รู้สึกกระไรนัก ถึงกับคิดว่าพอกลับถึงป้อมเจิ้นเชียงเป่าก็จะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ใช้ชีวิตต่อไป
แต่ครอบครัวทั้งบิดามารดา ภรรยาและลูกถูกสังหาร เป็นความแค้นใหญ่หลวงสำหรับหลิวจิ้น เขาไม่กล้าอยู่ที่ป้อมเจิ้นเชียงเป่าต่อ ได้แต่ออกไปละแวกรอบนอกหาญาติที่ยังไม่รู้ข่าวพวกนี้ยืมเงินก่อน เดินทางมุ่งมายังเมืองต้าถง
คดีน่าอนาถนี้มีเงื่อนงำให้สืบไม่มาก แต่หลิวจิ้นจำได้ว่า ‘ขุนพลอวี๋กองกำลังฝ่ายซ้าย’ เมืองต้าถง แซ่อวี๋ก็คือบุตรชายคนที่สามของหย่งเซิ่งป๋อ อวี๋ซื่อเฉียง ดำรงตำแหน่งรองขุนพลกองกำลังฝ่ายซ้าย เมืองต้าถง
สังหารทหารหมิงไป 400 กว่าชีวิต และยังสมคบคิดพวกมองโกล มีหลักฐานหรือไม่ไม่ว่า แต่เรื่องนี้ขอเพียงแดงขึ้นมา เบื้องบนย่อมสั่นสะเทือน ลงมือสืบความจริง ยังไม่รู้ว่าจะสืบได้เรื่องเท่าไร แต่ถึงตอนนั้นขุนพลอวี๋ย่อมไม่อาจอยู่เป็นสุขได้
คิดไม่ถึงว่าพอมาถึงเมืองต้าถง ไปฟ้องร้องยังกองทัพกลาง ครั้งนี้เขาเริ่มฉลาดรู้ หาโรงเตี๊ยมพัก ก่อนจะให้คนโรงเตี๊ยมนำหนังสือไปฟ้องที่ทำการ จากนั้นตนเองก็ออกมาหาที่หลบซ่อนนอกโรงเตี๊ยม
ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ก็มีทหารม้าสิบกว่านายมาถึง ปรี่ขึ้นไปชั้นบน หลิวจิ้นเย็นวาบไปทั้งตัว หากว่าหนังสือฟ้องร้องไปถึงมือที่ทำการแล้ว ทางนั้นย่อมรู้ว่าต้องสืบคดีหาความจริง ไม่ใช่ส่งคนมาแบบนี้ คนพวกนี้เห็นชัดๆ ว่ามาจับตนเพื่อฆ่าปิดปาก
จะว่าไป ลองคำนวณเวลา หนังสือฟ้องร้องส่งไปแล้ว อย่างมากก็แค่เอกสารถึงมือ หากอ่านแล้วเชื่อก็ย่อมต้องรายงานเบื้องบน ไม่ใช่เฮละโลกันออกมาจับใหญ่โตเช่นนี้
หลิวจิ้นถึงกับไม่กล้าออกไป ได้แต่หลบซ่อนอยู่อย่างนั้น เห็นทหารทางการค้นหารอบหนึ่ง จากนั้นก็กลับไปอย่างไม่พอใจ
ไม่นาน ก็มีคนมากันมาอีก มาเพื่อสืบหาคน มีหลายคนที่หลิวจิ้นรู้จัก เห็นชัดว่าเป็นคนพวกที่เคยเจออยู่ในอีกกลุ่มบนทุ่งหญ้านั้น กว่าจะหลบอยู่คืนหนึ่งจึงได้หนีออกมาได้นั้นไม่ง่ายเลย จะมาถูกจับที่นี่ได้อย่างไร……
“นายท่าน ข้าน้อยส่งหนังสือฟ้องร้องไปยังหลายหน่วยงาน แต่ก็ราวกับโยนหินลงทะเลไร้ข่าวคราว มีแต่ส่งคนมาค้นหาตัวข้าน้อย หากไม่ใช่ว่าพระคุ้มครอง เกรงว่าข้าน้อยคงตายไปอย่างไม่อาจล้างมลทินได้……เวลา 4-5 ปี ที่ผ่านมา ข้าน้อยต้องปิดบังชื่อแซ่หลบซ่อนตัว เพียงต้องการทวงความเป็นธรรมให้แก่ครอบครัวและสหายรบร่วมชาติ แต่ก็ไม่อาจทำได้ ที่ซานซีและต้าถง ตระกูลอวี๋ราวกับมีฝ่ามือปิดบังฟ้า ผู้ใดก็ไม่กล้าเอื้อมมือเข้าเกี่ยวข้อง ผู้ใดก็ไม่กล้าถามไถ่ นายท่านมาเมืองต้าถง มีความยุติธรรมไม่เห็นแก่หน้าผู้ใด จึงทำให้ข้าน้อยรู้สึกว่ามีความหวัง”
กล่าวถึงเรื่องน่าอนาถพวกนี้ไปก็ร้องไห้ไป ด้วยเห็นว่าหม่าต้งไม่ได้เป็นพวกเดียวกับคนที่ซานซี เป็นพวกผดุงความเป็นธรรม ดังนั้นจึงมาร้องเรียน แต่เพราะหม่าต้งมีการคุ้มกันอารักขาแน่นหนา จึงไม่มีโอกาส ต่อมาจึงได้เตรียมสู้ตาย ค่ำคืนปีนกำแพงเข้ามา
กล่าวถึงสุดท้าย หม่าต้งไม่อาจทนฟังต่อได้ หัวหน้าทหารติดตามเป็นคนตระกูลหม่ามาแต่เยาว์วัย มีความชำนาญมาก เข้าใจเรื่องพวกนี้ของทหารชายแดนดี จึงเข้าไปกระซิบหูหม่าต้ง กล่าวว่า
“นายท่าน บนทุ่งหญ้าไม่ใช่แผ่นดินหมิง มีเรื่องสังหารหรือสมคบคิดก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เป็นที่กฏหมายไปไม่ถึง ทางการไม่สนใจ จะว่าไป ผู้ใดไม่ไปทำการค้ากับพวกมองโกล หากกล่าวว่าอวี๋ซื่อเฉียงสมคบคิดพวกมองโกล ทหารหมิงผู้ใดไม่สมคบคิดกันเล่า……”
หลิวจิ้นตอนนี้ได้แต่ร่ำไห้โขกศีรษะ ขอให้หม่าต้งให้ความเป็นธรรม หม่าต้งขมวดคิ้ว โบกมือ รอจนทหารสองนายเข้าไปอุดปากหลิวจิ้นไว้ ลากออกไปตรงประตู
หลิวจิ้นตัวแข็งทื่อ รู้สึกไม่ปลอดภัย คิดว่าคงเหมือนกับที่อื่น แต่เพราะถูกมัดไว้แน่นหนา ยังมีคนคุม จะขยับได้อย่างไรกัน
“……พูดไปพูดมา ก็เพราะไปทำการค้านอกด่าน ยังมีเรื่องสังหารผู้คนที่ไร้หลักฐาน เกี่ยวพันถึงอวี๋ซื่อเฉียงทางนั้นเกี่ยวพันถึงการสมรสเกี่ยวดองระดับสูง ไทเฮายังทรงรักอ๋องลู่เพียงนั้น ผู้ใดกล้าสนใจเรื่องนี้กัน สนใจไปก็ใช่ว่าจะสืบได้กระจ่าง เป็นที่รังเกียจของทุกฝ่ายไม่ว่า ยังยุ่งยากไปถึงเมืองหลวงอีก..……นายน้อย คนผู้นี้ ข้าน้อยคิดว่าท่าทางบ้าไปแล้ว ไม่สู้จับมัดโยนออกไป ให้เขาดิ้นรนเอาชีวิตรอดเองก็พอ”
หัวหน้าทหารอารักขาอาวุโสสูง คนอื่นเรียก หม่าต้ง ว่านายท่าน เขายังคงเรียกเหมือนตอนอยู่เมืองเซวียนฝู่ว่า นายน้อย เขากล่าวอันใด หม่าต้งก็ย่อมคิดให้หนัก เมื่อเขากล่าวเช่นนี้ หม่าต้งก็นิ่งเงียบไป
นิ่งเงียบไปนาน ด้านนอกก็มีคนตีบอกเวลาเดินผ่านมา หม่าต้งเงยหน้ามอง กล่าวว่า
“เอาไปขังไว้ที่ห้องเสบียง ให้ดื่มน้ำจัดอาหารให้ดี จัดคนผลัดเวรเฝ้า 3 กะ ปล่อยคนผู้นี้หนีไปไม่ได้และก็ตายไม่ได้ และห้ามให้คนนอกรู้เด็ดขาด”
“นายน้อย!?”
นายทหารติดตามรีบร้อนร้องดังขึ้น หม่าต้งโบกมือ กล่าวเบาๆ ว่า
“หากไม่ถามไม่สน มาที่นี่ใช้ชีวิตยากลำบากใช่ว่าสูญเปล่าหรอกหรือ คนผู้นี้ เจ้าจับตาดูคนของเราให้ดี จะต้องเฝ้าให้ดี”
อย่างไรเขาก็เป็นเจ้านาย คนสนิทเห็นว่าเตือนไม่ได้ ก็ย่อมรับคำไปปฏิบัติ รีบออกไปจับขังไว้ หลิวจิ้นยังไม่รู้ว่าตเองจะมีชะตากรรมเช่นไร ก็เอาแต่ดิ้นรนสุดชีวิต กลับถูกมัดเพิ่มอีกรอบ แบกออกไป
ทางหม่าต้งนี้ไม่เป็นที่สนใจของบรรดาคนในเมืองต้าถงสักเท่าไรแล้ว คืนนี้มีเรื่องเอะอะในจวน ก็ย่อมไม่มีผู้ใดสนใจ
วันที่ 20 เดือนสองผ่านไป ก็นับว่าอากาศในเมืองต้าถงเริ่มอุ่นขึ้นหน่อยแล้ว หม่าต้งสั่งการให้คนไปในตลาดหาซื้อสินค้าที่มาจากนอกด่านและสินค้าของซานซีเอง รถใหญ่เต็มๆ หนึ่งคันรถ เตรียมส่งคนนำไปส่งที่เมืองเซวียนฝู่
ตระกูลเขาเป็นตระกูลทหาร บิดาคือหม่าฟาง การกระทำเช่นนี้เป็นเรื่องปกติ มีคนทอดถอนใจ หม่าฟางบิดาเขานั้นก็กินอิ่มแล้ว หม่าต้งจึงสามารถมาทำตัวเลิศเลออยู่เมืองต้าถงเช่นนี้ได้
ซานซีเป็นเมืองภูเขาและแม่น้ำ เหนือขึ้นไปทางเขตปกครองเหนือกับเมืองเซวียนฝู่ก็มีแต่ความยุ่งยาก ต้องจากเมืองต้าถงไปไท่หยวนก่อน จากนั้นค่อยจากไท่หยวนไปเมืองเป่าติ้ง จึงออกไปเมืองหลวงได้
รถสิบกว่าคัน ทหารร้อยกว่าคุ้มกันมาถึงระหว่างเขตแดนเมืองต้าถงและเมืองไท่หยวน รถคันตรงกลาง มีทหารหน้าซีดนั่งอยู่บนเหนือส่วนล้อรถ ตัวสั่นงันงก มีคนข้างๆ เขาคนหนึ่งเดินเข้าไปนั่งข้างๆ
ทหารสีหน้าซีดขาวผู้นั้นสั่นไปทั้งตัว มีรอยมีดดาบฟันเสื้อผ้าขาดเป็นรูแต่ฟันไม่เข้าถึงเนื้อ ได้ยินเสียงคนผู้นั้นคำรามเบาๆ ว่า
“อีกสักครู่เงียบหน่อย อย่าคิดว่าตัวเองเป็นคนสำคัญอันใด หลายปีผ่านไปแล้ว ผู้ใดยังจะสนใจเจ้าอีก หากอีกสักครู่เจ้าส่งเสียงเอะอะ ตะโกนออกไป ข้าจะสังหารเจ้าทิ้ง!”
ทหารสีหน้าซีดขาวพยักหน้าหงึกๆ สองคนนั่งไปด้วยกัน เหมือนว่าคุยสัพเพเหระกันเท่านั้น
รถเคลื่อนตัวไป ด่านระหว่างเมืองต้าถงและไท่หยวนนั้นอยู่ในแผ่นดินหมิง ยังเป็นช่วงเวลาสงบสุข ทหารรักษาด่านก็แค่ทำไปตามหน้าที่ ผ่านไปวันๆ เท่านั้น
รอจนรถม้าตะโกนบอกว่าเป็นรถม้าของรองแม่ทัพหม่า คนทั้งหมดก็หลบทางให้อย่างไม่ต้องให้บอก รีบปล่อยให้เดินทางต่อ คนเป็นหัวหน้าโยนให้ทหารเศษเงินสองตำลึงว่าเอาไว้ให้พี่น้องร่ำสุรากัน ทุกคนก็ยิ่งยิ้มแย้มยินดี เรื่องตรวจสอบก็ยิ่งไม่มีคนเอ่ยถึง
รถม้าเคลื่อนไปช้าๆ ไม่มีผู้ใดสนใจ หลังออกเดินทางมาได้หนึ่งวัน ไม่รู้ว่ารองแม่ทัพหม่าต้งแห่งเมืองต้าถงมีเรื่องด่วนอันใด ส่งทหารส่งนายนำจดหมายด่วนไปยังเขตปกครองเหนือ ในเมื่อไม่ได้บอกว่าเป็นงานราชการ เช่นนั้นก็ย่อมเป็นเรื่องส่วนตัว ยิ่งไม่มีผู้ใดอยากจะสนใจ ม้าเร็วย่อมไปเร็วกว่าขบวนรถ วิ่งนำหน้าไปก่อน
รอจนขบวนรถออกจากเขตซานซีมา อีกไม่ถึง 30 ลี้ก็ถึงเมืองเป่าติ้ง ก็มีทหารม้าหลายสิบนายรออยู่ พอทหารที่มีสีหน้าซีดขาวผู้นั้นเปลี่ยนม้าแล้ว คนทั้งกลุ่มวิ่งทะยานไป
ทหารหน้าซีดขาวผู้นั้นย่อมเป็นหลิวจิ้น ที่เมืองเซวียนฝู่นี้หม่าฟางเป็นใหญ่ เป็นพื้นที่ของเขาย่อมมีวิธีคุ้มครองคนหลากวิธีในการส่งตัวไปยังพื้นที่ที่คิดไว้
หลิวจิ้นตกอกตกใจระแวงไปเอง คิดไม่ถึงว่าแต่ต้นจนจบ คนที่ต้องการสังหารเขานั้นไม่รู้หน้ำตาเขาเป็นเช่นไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าลำบากลำบนมาหลายปี หน้ำตาย่อมเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ผู้ใดจะยังจดจำเขาได้ ในพื้นเมืองหลวงเช่นนี้ย่อมไม่รู้ว่ามีคนเช่นนี้อยู่
นับประสาอันใดกับระดับแม่ทัพหม่าฟาง ไปปฏิบัติหน้าที่ที่เมืองหลวงก็เป็นเรื่องปกติ ผู้ใดจะทันสังเกต รอจนหลิวจิ้นถูกส่งไปเมืองหลวง ฎีกาหม่าต้งก็จะตามไปถึงเมืองหลวง คนส่งไปแล้ว ฎีกาก็ผ่านสำนักฎีกาไปยังสำนักส่วนพระองค์
หากเป็นฎีกา สำนักส่วนพระองค์ล้วนต้องตรวจสอบอ่านกันก่อน และค่อยแยกประเภท ระดับเช่นหม่าต้งนี้ ฎีกาเขาก็ย่อมสำคัญอันดับหนึ่ง ฎีการะดับนี้ย่อมส่งไปยังหัวหน้าและรองหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์
พอจางเฉิงได้อ่านฎีกาก็ไม่กล้ารอช้า รีบรุดไปกราบทูลขอพระวินิจฉัยจากฮ่องเต้ว่านลี่ คนของหม่าต้งที่ส่งมาเมืองหลวงก็ไม่ต้องรอนาน หลี่ว์วั่นไฉกับหลี่เหวินหย่วนก็หยิบราชโองการมาส่งถึงที่
*************
เดือนสอง ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 10 ฮ่องเต้ว่านลี่มีราชโองการ ให้กรมอาญาส่งหนังสือไปยังศาลท้องถิ่นให้สืบคดีลัทธิมารกับสาวก หากสืบได้ตัวผู้ก่อการ ก็ให้ลงโทษทันที
ในเมื่อกรมอาญามีหนังสือมา ก็ย่อมได้รับความเห็นชอบจากสำนักส่วนพระองค์และคณะเสนาบดีใหญ่ ขุนนางท้องถิ่นก็ย่อมไม่อาจรอช้า รีบสั่งการสืบคดีความทันที
หน่วยงานแต่ละระดับในเมืองไม่มีเจ้าหน้าที่ระดับท้องถิ่น แต่เจ้าหน้าที่ทำงานระดับล่างล้วนเป็นคนท้องถิ่นในพื้นที่ คนพวกนี้เป็นพวกรู้เรื่องในพื้นที่ดี ย่อมต้องกระจ่างชัดในทุกเรื่องราวในพื้นที่
เจ้าหน้าที่พวกนี้ย่อมรู้ว่าที่ใดมีคนรวมตัวกราบไหว้บูชาสิ่งใด หลายลัทธิทั้งบัวขาว ศรีอาริย์พวกนี้ก็มีคนในพื้นที่ที่เป็นญาติมิตรเข้านับถืออยู่ ถึงกับมีคนทางการเชื่อเรื่องพวกนี้
ปกติไม่มีคนสนใจก็ว่าไป แต่ตอนนี้เบื้องบนสั่งการลงมา พวกเขาก็ต้องปฏิบัติ กับพวกที่สนิทกันก็บอกกล่าวกันว่าระยะนี้ให้เก็บตัวเงียบอย่าได้ก่อเรื่อง พวกที่เป็นศัตรูก็ย่อมทำการจับกุมทันที
ราวเดือนสองเดือนสาม เมืองต่างๆ ในเขตปกครองเหนือก็ไม่เป็นสุข แต่แม้ว่าวุ่นวาย หากพอจัดการไปแล้ว พวกสาวกก็ไม่กล้าออกมาทำกิจกรรมใดอีก
*************
“ไช่กงกง ส่งคนไปแล้ว แต่ใจข้าก็ยังไม่มั่นใจ ขอกล่าวล่วงเกินแล้ว คนพวกนี้เชื่อใจได้ไหม?”
“ใต้เท้าหวังล้อเล่นแล้ว ใต้เท้ากับข้าไหนเลยควรกล่าววาจาว่าขอล่วงเกิน ตอนเป็นเด็กว่าไปอย่าง อายุขนาดนี้ทำงานระดับนี้ ก็เพื่อตนเอง เพื่อครอบครัว ใต้เท้ารับปากเรื่องอนาคตพวกเขาแล้ว ให้ครอบครัวพี่น้องพ่อแม่ได้ร่ำรวยสุขสบาย นอกจากใต้เท้า หาที่ไหนไม่ได้แล้ว ย่อมทำงานให้อย่างสุดชีวิต เชื่อใจได้แน่นอน”