ตอนที่ 588 เห็นแก่แผ่นดินเป็นสำคัญ
หวังทงแสดงความคิดเห็นชัดเจน โจวอี้อึ้งไปครู่หนึ่ง อยู่ ๆ ก็ตบมือ กล่าวว่า
“ต้องลงมือสืบอย่างเข้มข้นแล้ว ฝ่าบาทควรตัดสินพระทัยได้แล้ว มาถามน้องหวังก็เพื่อปลอดภัยไว้ก่อน!”
กล่าวจบก็เงียบไป โจวอี้กดเสียงให้เบาลงกล่าวว่า
“น้องหวัง จางกงกงเตือนมาว่า สืบคดีเมืองต้าถงครานี้ แม้ว่าเพื่อแผ่นดิน แต่ก็ยากจะรับประกันว่าจะไม่ทำไทเฮาทรงกริ้ว ถึงตอนนั้นทุกคนย่อมมีความผิด เกรงว่า……เกรงว่าฝ่าบาทย่อมโดนไปด้วย พวกเราต้องเตรียมตัวเตรียมใจไว้บ้าง”
หวังทงพยักหน้า ปกป้องอ๋องลู่กับปกป้องแผ่นดิน ไทเฮาย่อมต้องชั่งน้ำหนักให้ดี เขาเองก็ไม่อาจมีการวิเคราะห์ที่เด็ดขาดอันใดได้ ย่อมต้องเตรียมพร้อมรับกับความกริ้วไทเฮาและโดนลงโทษเช่นกัน
“พี่โจว เรารู้จักกันมาก็ได้ 5 ปีแล้ว 5 ปีมานี้ต่อสู้กับพวกโจรลัทธิไตรสุริยันที่ควานหาตัวไม่เจอมาโดยตลอด เมื่อก่อนทุกปีก็มีเรื่องแค่ครั้งเดียว แต่ปีก่อนตอนปลายปีถึงตอนนี้ มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย อีกฝ่ายเคลื่อนไหวร้อนรน แสดงให้เห็นถึงเรื่องใดงั้นหรือ เกรงว่าใกล้จะลงมือใหญ่แล้ว”
โจวอี้อยู่สำนักรักษาความสงบ ตำแหน่งเขานั้นเป็นหน่วยข่าวกรอง เข้าใจเรื่องราวมากมาย การวิเคราะห์ของหวังทง เขาเองก็ย่อมพยักหน้าเห็นด้วย หวังทงกล่าวต่อว่า
“ตอนนี้ยังไม่รู้เบื้องลึกของอีกฝ่ายชัดเจน ถูกอีกฝ่ายกระทำปั่นหัว พวกเราก็ต้องทำอันใดบ้าง อย่างน้อยก็ต้องทำให้พวกโจรชั่วเสียจังหวะบ้าง ตระกูลอวี๋ที่ซานซีเป็นร่องรอยเงื่อนงำที่ชัดเจนของเรา ครั้งนี้เมื่อมีโอกาส ก็ย่อมสืบลึกเงื่อนปมนี้ต่อ ดูว่าจะขุดหาเจอเรื่องลึกกว่านี้หรือไม่ ราชสำนักไปสืบ พวกโจรย่อมระวังป้องกัน พวกเขาย่อมทุ่มเทกับเรื่องที่ซานซีมากขึ้น วางเรื่องทางอื่นลงบ้าง!”
เห็นสีหน้าโจวอี้พยักหน้าหนักแน่น หวังทงก็แค่นยิ้มเย็นกล่าวว่า
“ตั้งแต่สี่ปีก่อน เราก็สู้กับหัวหน้าโจรที่มองไม่เห็นมาโดยตลอด ทำลายเส้นทางการเงินของพวกมันหลายต่อหลายครั้ง สังหารพวกมันไปไม่รู้กี่คน พวกมันคงรับไม่ไหวแล้ว ครั้งนี้จะต้องถอนรากถอนโคนพวกมันออกมา!”
*************
ขุนพลเมืองต้าถงกับพ่อค้าซานซีสมคบคิดพวกมองโกล ค้าขายเกลือและอาวุธชุดเกราะได้กำไรระเบิด และยังแอบสังหารเพื่อนทหารทิ้ง คิดการไม่ซื่อ ชายแดนเป็นพื้นที่สำคัญไม่อาจปล่อยปละ ขอให้ราชสำนักรีบจัดการโดยด่วน
ฎีกานี้ส่งมาจากหัวหน้ากองในสำนักตรวจสอบ ทุกคนรู้ดี ขุนนางตัวน้อยๆ ไม่กล้าพอจะแตะต้องคนใหญ่คนโตแห่งต้าถงเป็นแน่ ยังเป็นถึงชนชั้นสูงระดับหย่งเซิ่งป๋อ การยื่นฎีกานี้ แปดเก้าส่วนย่อมต้องมีขุนนางใหญ่อยู่เบื้องหลัง
พอสำนักส่วนพระองค์ได้รับฎีกามา ก็รีบคัดลอกสองฉบับ หนึ่งทูลถวายฮ่องเต้ว่านลี่ อีกหนึ่งส่งให้เฝิงเป่านำไปตำหนักฉือหนิงกงทูลเกล้าไทเฮา
วันนี้คือวันที่ 18 เดือนสาม เฝิงเป่านำฎีกามาทูลเกล้า ฮูหยินของหลี่เหวินเฉวียนบุตรชายอู่ชิงโหว ซึ่งก็มีศักดิ์เป็นพี่สะใภ้ไทเฮากำลังเป็นเพื่อนคุยกับไทเฮา ณ ตำหนักฉือหนิงกง
อยู่ในตำแหน่งสูง เรื่องมากมายไม่อาจกล่าวออกมาให้กระจ่างนัก พอเห็นสีหน้าเฝิงเป่าก็รู้ว่าควรทูลลาแล้ว พอคนออกไป เฝิงเป่าก็รีบนำฎีกาขึ้นทูลเกล้าไทเฮาฉือเซิ่ง
“เหลวไหล เหลวไหล!!”
ไทเฮาฉือเซิ่งกวาดพระเนตรอ่านรอบหนึ่งก่อนจะโยนลงไปอีกทาง ตรัสติดกันสองคำด้วยความกริ้ว เฝิงเป่าเงียบกริบ ได้แต่ยืนก้มตัวอยู่ข้างๆ
ตรัสว่าเหลวไหลจบ ไทเฮาฉือเซิ่งก็ทรงนิ่งไป ก่อนจะคว้าฎีกาเปิดออกอีกรอบ ยิ่งอ่าน สีพระพักตร์ก็ยิ่งเคร่งเครียด เงียบไปอึดใจก่อนจะตรัสว่า
“เฝิงเป่า เจ้าเห็นเช่นไร?”
“ทูลไทเฮา เรื่องค้าเกลือและอาวุธของทหารชายแดนกับพวกมองโกล ชายแดนนอกจากเมืองจี้โจวแล้ว……ตอนนี้อาจไม่รวมเมืองเซวียนฝู่..ที่ใดๆ ก็ล้วนมีกันหมด ช่วงเวลาสงบสุข พวกขุนนางบู๊ก็มักจะแสวงหาเงินทอง……”
เฝิงเป่ากล่าวติดๆ ขัดๆ ไทเฮาฉือเซิ่งตรัสสุรเสียงนิ่งเรียบว่า
“ข้ารู้เรื่องพวกนี้ ข้าถามว่าความผิดเรื่องสังหารพวกเดียวกันและคิดการไม่ซื่อ แม้ว่าเป็นเรื่องนอกด่าน แต่การสังหารทหาร 400 กว่านาย เป็นเรื่องเหิมเกริมยิ่งนัก ตระกูลอวี๋ร่ำรวยเงินทองไม่ขัดสนสิ่งใด ไปนอกด่านค้าขายหาเงิน ข้าก็ว่าเป็นไปได้ แต่เหตุใดต้องลงมือสังหาร?”
ได้ยินไทเฮาตรัสเช่นนี้ เฝิงเป่าก็ถวายคำนับทูลตอบว่า
“ไทเฮา ฎีกากล่าวว่าบางทีอาจพบเจอคนที่ไม่ควรพบเจอ ไปเจอเรื่องอันใดที่ไม่อาจบอกกล่าวผู้ใดได้ จึงได้นำภัยมาถึงชีวิตได้”
“บางที คำนี้เอามากล่าวร้ายเชื้อพระวงศ์ได้งั้นหรือ? คนไม่ควรพบเจอ เรื่องไม่อาจบอกกล่าวผู้ใด ก็ช่างเป็นความผิดใหญ่หลวงจริง เจ้าหน้าที่สืบสวนอ่านบทละครงิ้วมามากไปหรืออย่างไร?”
เฝิงเป่าขมวดคิ้ว คำนับทูลตอบว่า
“ไทเฮาหากทรงรู้สึกว่าไม่ถูกไม่ควร กระหม่อมจะส่งคนไปสืบความให้กระจ่าง ขอไทเฮาตรัสกับฝ่าบาท ให้ยับยั้งไว้อย่าเพิ่งส่งออกไป เจ้าหน้าที่สำนักตรวจสอบผู้นั้น กระหม่อมจะส่งคนไปสอบถาม……”
“จิ่นซิ่ว เจ้าอยู่ก่อน คนอื่นออกไป!”
ไทเฮาฉือเซิ่งไม่ทรงรับคำ หากตรัสกับนางกำนัลคนสนิท นางกำนัลและขันทีที่เหลือก็ถอยห่างออกไป ไทเฮาฉือเซิ่งถอนพระทัย ตรัสขึ้นเบาๆ ว่า
“เฝิงเป่า ส่งคนไปสืบว่าฎีกานี้มีประสงค์มุ่งตรงต่ออ๋องลู่หรือไม่ เรื่องอื่นไม่ต้อง ฎีกานี้ให้ฝ่าบาททอดพระเนตรและสั่งการไป……”
เฝิงเป่าคำนับรับพระบัญชา ไทเฮาฉือเซิ่งเริ่มมีสีพระพักตร์วุ่นวายพระทัย แต่ก็สงบลงอย่างรวดเร็ว กำลังจะเปิดประตู ก็ได้ยินเสียงด้านนอกรายงานดังมาว่า
“ฝ่าบาทเสด็จแล้ว~~~”
ไทเฮาฉือเซิ่งสีพระพักตร์นิ่งสงบ ตรัสเพียงว่า
“ทูลเชิญฝ่าบาทเข้ามาได้ เฝิงเป่าเจ้าอยู่ก่อน ฟังดูว่าฝ่าบาทตรัสเช่นไร?”
ฮ่องเต้ว่านลี่เดินเข้ามาในพระตำหนัก รับการคำนับจากจิ่นซิ่ว และเฝิงเป่า ก่อนจะถวายคำนับไทเฮาฉือเซิ่ง พอลุกขึ้นก็ตรัสว่า
“ลูกมาเข้าเฝ้าเสด็จแม่ ก็ด้วยเรื่องฎีกาจากชายแดนเมืองต้าถง”
คิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้ว่านลี่จะเปิดประเด็นตรงไปตรงมาเช่นนี้ ไทเฮาฉือเซิ่งทรงอึ้งไป ก่อนจะตรัสสุรเสียงเนิบนาบยิ่งว่า
“ข้าก็เพิ่งได้ยินเรื่องนี้ ไม่ทราบว่าฝ่าบาทเตรียมดำเนินการเช่นไร?”
“ไม่อาจปิดบังเสด็จแม่ ฎีกานี้เป็นลูกที่ให้คนนำมากราบทูล”
ฮ่องเต้ว่านลี่ประทับนั่งเอนมาด้านหน้า ก้มพระพักตร์ลงเล็กน้อย เป็นแบบผู้น้อยพบผู้ใหญ่ วาจาก็นุ่มนวลพอดี พอตรัสออกมา ในตำหนักก็เงียบงันไปครู่หนึ่ง ฮ่องเต้ว่านลี่เองก็ทรงเงียบเช่นกัน สักครู่หนึ่ง ไทเฮาฉือเซิ่งจึงค่อยๆ ตรัสว่า
“ในเมื่อฝ่าบาทให้คนนำมา เช่นนี้ฝ่าบาทก็มีพระบัญชาดำเนินการไปก็แล้วกัน เหตุใดต้องมาบอกกล่าวข้าด้วย”
วาจาเสียดสี สีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่แปรเปลี่ยน ลุกจากที่ประทับ ตรัสสุรเสียงจริงจังว่า
“เสด็จแม่ ฎีกานี้เป็นการฟ้องร้องขุนพลกองกำลังฝ่ายซ้ายเมืองต้าถง อวี๋ซื่อเฉียง อวี๋ซื่อเฉียงเป็นบุตรชายหย่งเซิ่งป๋อ มีสายสัมพันธ์กับอ๋องลู่ เรื่องนี้แม้ว่าเป็นเรื่องชายแดน แต่ก็เกี่ยวพันถึงเรากับอ๋องลู่ ดังนั้นจึงได้มากราบทูลเสด็จแม่ให้ทรงทราบ”
ไทเฮาฉือเซิ่งรับคำนิ่งๆ ว่า ‘อ้อ’ จากนั้นก็ตรัสถามว่า
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ฝ่าบาทจะตัดสินพระทัยอย่างไร ฎีกานี้แม่เองก็อ่านแล้ว วาจาไม่กระจ่าง เหมือนไล่จับเพียงเงาไร้หลักการ ก็ไม่รู้ว่าเชื่อถือได้มากเพียงใด”
“เสด็จแม่ ทุกเรื่องที่เกี่ยวพันกับอ๋องลู่ ลูกเองก็ระมัดระวังรอบคอบทุกเรื่อง เกรงว่าถูกคนทำให้ความสัมพันธ์พี่น้องเหินห่าง เรื่องนี้เป็นหม่าต้งทูลมาก่อน ในมือเขาแม้ไร้หลักฐานชัดเจน แต่ก็มีพยาน เรื่องที่กล่าวมาแม้ว่าตอนนี้เป็นเรื่องที่ยังคงเป็นที่สับสน แต่เอกสารจากทุกหน่วยก็แอบมีความพ้องกัน เรื่องใหญ่นัก ลูกไม่กล้าไม่สืบเรื่องสาวราวเรื่อง”
กล่าวถึงตรงนี้ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ย่างพระบำทเข้าไป สุรเสียงสูงอีกสองส่วน ตรัสเสียงดังว่า
“ชายแดนเป็นกำบังของแผ่นดิน แห่งหนึ่งวุ่นวายก็เหมือนเปิดประตูกว้าง แห่งหนึ่งไม่สงบก็เหมือนแผ่นดินไม่สงบ หากเกี่ยวพันกับขุนพลชายแดนจะต้องกระทำการด้วยความรอบคอบอย่างมาก แม้ว่าเป็นข่าวลือแต่ก็ต้องสืบให้กระจ่าง หากไม่ใช่ดังข่าวลือ ย่อมคืนความบริสุทธิ์ให้ แต่หากไม่สืบความให้กระจ่าง ตระกูลอวี๋เป็นผู้บัญชาการเมืองต้าถง แต่ตั้งแต่อวี๋หยวนกังมาจนถึงอวี๋ซื่อเฉียงในตอนนี้ ตั้งฐานกำลังที่เมืองต้าถงในซานซีมานานหลายปี กับขุนพลแต่ละหน่วยแถบนั้นก็ย่อมสนิทสนมกันมานาน สัมพันธ์แน่นแฟ้น หากไม่มีเรื่องเช่นนี้ก็แล้วไป หากมี ตระกูลอวี๋มีทหารในมือ และยังสามารถเคลื่อนกำลังของเมืองต้าถงได้อีก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนเหนือเมืองต้าถงที่เป็นที่ตั้งใหญ่ของพวกเผ่าอันต๋า หากมีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้น ก็ย่อมเป็นภัยร้ายแรง เสด็จแม่ ลูกเป็นห่วงแผ่นดิน ลูกยังคงไม่ลืมสายสัมพันธ์พี่น้อง และแผ่นดินที่บรรพชนฝากฝังลูกไว้ ลูกยิ่งจำได้ไม่ลืม!”
ตรัสโยงใยมามากมาย พอตรัสจบ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็คุกเข่าลงกับพื้น เงยพระพักตร์จ้องมองไทเฮาฉือเซิ่ง จิ่นซิ่วและเฝิงเป่าข้างๆ ก็รีบถอยตัวออกห่าง เกรงว่าจะเป็นการล่วงเกินฮ่องเต้
ไทเฮาฉือเซิ่งพระพักตร์บึ้ง ทอดพระเนตรเห็นฮ่องเต้ว่านลี่แสดงท่าทียืนยันเช่นนี้ ไม่รู้ว่ายามใดที่ใบหน้าแห่งความไร้เดียงสาจางหายไปสิ้น ใบหน้านี้ ไทเฮาฉือเซิ่งค่อยๆ ได้เห็นเงาของฮ่องเต้หลงชิ่ง ไทเฮาฉือเซิ่งพระพักตร์บึ้งตึง ก่อนจะค่อยๆ คลายลง ตรัสสุรเสียงนุ่มนวลว่า
“ในเมื่อฝ่าบาทตัดสินพระทัยแล้ว เช่นนั้นก็ทรงจัดการไปตามนั้นละกัน!”
“เสด็จแม่!?”
ฮ่องเต้ว่านลี่ร้องขึ้นหนึ่งเสียง ไทเฮาฉือเซิ่งสุรเสียงอ่อนโยน แต่ความหมายนั้นอาจมิใช่ที่พระองค์คิดไว้ ไม่ถามให้กระจ่าง มีเพียงฟ้าเท่านั้นที่รู้ว่าจะมีอันใดตามมา ได้เห็นฮ่องเต้ว่านลี่ร้องขึ้นอย่างร้อนพระทัย ไทเฮาฉือเซิ่งแย้มพระสรวลเล็กน้อย ก่อนจะหุบทันที ตรัสขึ้นว่า
“ฝ่าบาทตรัสได้ถูกต้องเพียงแค่ตระกูลเดียวเทียบกับแผ่นดินแล้ว จะไปกระไรนักหนา แม้ว่าหมั้นหมายแล้วก็ยังมิได้สมรส อย่างมากก็ค่อยหาพระคู่หมั้นใหม่ให้อ๋องลู่ก็แล้วกัน!”
ฮ่องเต้ว่านลี่ตะลึงค้างอึ้งไป ก่อนจะทูลลาทันที
ปลายเดือนสาม ฮ่องเต้ว่านลี่มีราชโองการไปยังท้องที่ ว่าขุนพลเมืองต้าถงสมคบคิดพวกมองโกล ทำลายกองทัพตนเอง ก่อเกิดความสูญเสียใหญ่หลวง จึงได้ส่งผู้ตรวจการจากกรมทหารเป็นผู้แทนพระองค์มาสืบสวนหาความจริง
ราชโองการมีอยู่ว่า “เราได้ยินมา ตกใจไม่น้อย ชายแดนนอกเมืองต้าถงก็เป็นแผ่นดินหมิง” ตั้งแต่เปิดรัชศกว่านลี่มา ราชโองการนี้เป็นราชโองการที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่ง
ทุกคนรู้ว่าชายแดนเมืองต้าถงต้องเผชิญกับลมฝนกระหน่ำ ทุกคนไม่ปริปากกล่าวอันใด ได้แต่ปฏิบัติหน้าที่ตนเองไป ขุนนางบุ๋นย่อมไม่ได้รู้สึกดีกับขุนนางบู๊สักเท่าไร นับประสาอันใดกับในเมื่อมีราชโองการให้สืบคดีความ คณะเสนาบดีเห็นชอบ สำนักส่วนพระองค์กาชาดอนุมัติมา ก็ย่อมเป็นความเห็นที่ตรงกันของไทเฮา เฝิงเป่า จางจวีเจิ้งและฮ่องเต้ว่านลี่
ณ ห้องทำงานในสำนักอาชาหลวง หลินซูลู่ราวกับเพิ่งตื่นขึ้น หากยังเหมือนสติล่องลอย มองไปยังซวงสี่ข้างหน้าที่สีหน้าเต็มไปด้วยความห่วงใย ส่ายหน้าช้าๆ กล่าวว่า
“เมื่อครู่หลับดี ถึงกับฝันเห็นน้องชายสองคนของข้า……”
“ท่านรองและท่านสามก็คิดถึงนายท่าน”
หลินซูลู่ไม่ตอบ ได้แต่เหม่อลอย