ตอนที่ 59 สุริยะสามดวง
ซุนต้าไห่และลูกน้องรู้สึกไม่เข้าใจ แต่ก็ยังคงรับคำสั่งแล้วออกไป หวังทงนวดขมับเบาๆ แม้ว่ามีความกระตือรือต้นจะทำการนี้ แต่เรื่องการทำคดีพวกนี้ยังคงต้องการบุคลากรเฉพาะทาง ตนเองเพิ่งออกคำสั่งลงไป แต่เป็นเพียงการเลียนแบบจากจากนิยายในหนังหรือในละครเท่านั้น
เดิมมีคนที่มุงดูอยู่ไม่น้อย แต่พอเห็นองครักษ์เสื้อแพรออกมาซักถาม ก็เซ็งแซ่กันครู่หนึ่งก่อนจะแยกย้ายสลายตัวกันไป มุงดูไม่ได้แล้ว ทุกคนก็ไม่อยากถูกโยงไปเกี่ยวด้วย
ยืนอยู่ในบ้านที่มีคนตายไปสองคน ไฟในเตาดับมอดลงแล้ว ห้องก็หนาวเหน็บถึงใจ แม้ว่าแสงแดดจะสาดส่องเข้ามา แต่ยังคงให้ความรู้สึกดำมืดเช่นเดิม
หวังทงไม่อยากอยู่ที่นี่นานนัก มองไปรอบๆ และกำลังจะออกไป พลันก็เห็นสิ่งที่รู้สึกไม่ถูกต้องนักอยู่เล็กน้อย ในบ้านว่างเปล่า ไม่มีการตกแต่งอะไร
เถ้าแก่เจ้ามีหุ้นส่วนในร้านขายของแดนใต้ รายได้ไม่น้อย ด้วยฐานะอย่างเขา แจกันเครื่องกระเบื้องในบ้าน พวกเครื่องชามลายคราม พวกเครื่องสัมฤทธิ์ย่อมควรมีไม่น้อย แต่ในห้องโถงนี้กลับว่างเปล่า ไม่ต้องเทียบกับใคร บ้านหวังทงก่อนไปมาเก๊าที่ยังไม่รวยเท่าเถ้าแก่เจ้า แต่ของที่จัดวางในบ้านหวังทงตอนนั้นยังมากมายกว่าของเถ้าแก่เจ้าในตอนนี้มากนัก
หวังทงขมวดคิ้วเดินเข้าไปในห้องนอนเถ้าแก่เจ้า เดินไปเปิดหีบเหล่านั้นออก ค้นหาไปรอบหนึ่ง ก็พบว่าในเสื้อผ้าข้างในนั้นไม่มีหนังสัตว์สักชิ้น และก็ไม่มีเสื้อผ้าใหม่ด้วย
คนมีฐานะเช่นนี้ เสื้อหนังสำหรับฤดูหนาวอย่างน้อยต้องมีสองสามชุด ไม่เพียงแต่ให้อบอุ่น แต่ยังถือเป็นหน้าเป็นตา เถ้าแก่เจ้าเป็นพ่อค้าระดับกลางๆ มีงานเลี้ยงต้อนรับบ่อยก็ย่อมเห็นแก่หน้าตาในส่วนนี้ แต่ทำไมหีบเสื้อผ้าถึงได้ข้นแค้นเพียงนี้
ตอนหันหลังจะออกจากประตูก็กลับเห็นว่ามุมห้องนอนมีโต๊ะบูชา บนโต๊ะมีพุทธรูปทองแดงองค์หนึ่ง กระถางธูปด้านหน้าองค์พระยังที่ยังมีควันอยู่
เชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธ์ ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร นางหม่าก็กราบไหว้โพธิสัตว์ แต่พุทธรูปทองแดงองค์นี้กลับไม่เหมือนกับพุทธรูปทั่วไป หวังทงกระพริบตาแล้วเพ่งมองอย่างละเอียดอีกหลายครั้ง
ด้านหลังพุทธรูปมีรัศมี นั่งขัดสมาธิบนดอกบัว ถือดอกไม้สวดมนต์ แต่พุทธรูปทองแดงองค์นี้ดูไม่ต่างกับพุทธรูปทั่วไป และก็นั่งขัดสมาธิบนดอกบัว แต่แขนสองข้างกลับชูสูง กลางหน้าอกยังมีดวงอาทิตย์เล็กๆ สองมือที่ยกสูงยังชูดวงอาทิตย์เล็กไว้ดวงหนึ่ง
หวังทงจ้องมองพุทธรูปทองแดงอยู่นาน ไล่รำลึกความทรงจำในชาติก่อน ก็นึกไม่ออกว่านี่เป็นรูปเทพเจ้าพุทธะองค์ใดกัน
ตอนนี้ในเมืองมีพวกลามะนิกายแดงนิกายเหลืองไม่น้อย หรือจะเป็นลัทธิลับตั้งบูชากัน? หวังทงสะบัดศีรษะ ไม่อยากคิดต่อ
จากการตรวจสอบของหวังทงที่เป็นคนนอกสายสืบคดี สามารถเห็นสิ่งที่ผิดปกติได้ถึงเพียงนี้นับว่ามีความสามารถเกินปกติแล้ว มองไปรอบๆ อยู่หลายรอบ ก็ยิ่งรู้สึกว่าที่นี่มีกระแสดำมืดอยู่ไปทั่ว แปลกยิ่งนัก จึงรีบเดินออกไปทันที
เมื่อครู่มีคนนอกชุมชนที่มามุงดูอยู่อย่างแออัดยัดเยียด แต่พอองครักษ์เสื้อแพรออกมาซักถาม ครู่เดียวก็หายไปหมด แม้แต่ผู้คนบนท้องถนนก็พากันถอยห่างจากสถานที่นี้ไปไกล เพราะเกรงว่าจะหาเรื่องใส่ตัว
ภาพการณ์เช่นนี้ไม่ว่าอดีตหรือปัจจุบันล้วนเหมือนกัน คิดถึงตอนนั้นที่หวังทงวางตัวอยู่ในสถานะคนที่ไม่เกี่ยวข้องแล้ว ก็ได้แต่แค่นยิ้มให้กับเรื่องนี้ และจัดการได้เพียงเท่านี้
ในใจหวังทงเต็มไปด้วยความรู้สึกล้มเหลว เดิมคิดว่าจะให้มือปราบศาลซุ่นเทียนร่วมมือด้วย ตนเองจะได้ปิดคดีนี้ได้อย่างราบรื่น คิดไม่ถึงว่ากลับกลายเป็นเช่นนี้ไปได้
เวลาใกล้เที่ยงแล้ว เห็นพวกซุนต้าไห่ยังทำงานกันไม่หยุดอยู่บนท้องถนน หวังทงก็กลับไปเรียกนางหม่าและหม่าซานเปียวมาช่วยกันเอาวัตถุดิบที่เหลืออยู่ในหอเลิศรสออกมาทำอาหารกัน
นางหม่ากับลูกลงมือทำกันวุ่นวาย หวังทงนั่งอยู่ในห้องฟังแต่ละคนที่กลับมารายงาน สอบถามไม่ได้ข่าวคราวอันใดจากผู้คนบนท้องถนน แต่เพื่อนบ้านด้านซ้ายและขวากลับถามได้อะไรมาบ้าง ดูเหมือนเถ้าแก่เจ้าตั้งแต่เดือนสิบสองก็แปลกไป ท่าทางไม่อยู่กระร่องกระรอย
ยังมีคนเห็นภรรยาเถ้าแก่เจ้าแอบหยิบของในบ้านออกไปจำนำ และบางทียังมีคนแปลกๆ เข้าออกภายในบ้าน
เมื่อวานวันที่ 30 ก่อนปีใหม่ ก็มีคนเห็นเถ้าแก่เจ้าสองสามีภรรยา หากเป็นเช่นนี้ คดีอนาถตระกูลก็เกิดขึ้นราวๆ ช่วงค่ำ
หากตำแหน่งของบ้านเถ้าแก่เจ้ามีความพิเศษ ตรงที่ถูกคลังสินค้าและหน้าร้านของร้านปิดไว้พอดี แม้มีความเคลื่อนไหวอันใด เพื่อนบ้านรอบๆ ก็ไม่อาจได้ยิน
คนที่กลับมาก็ไปช่วยนางหม่าทำอาหาร นางหม่ารีบกลับเข้าไปในบ้านของตน ที่นั้นยังมีเจ้าจินเลี่ยงที่ต้องดูแล
อาหารกลางวันนี้แม้จะรีบร้อน แต่ก็มีปลามีเนื้อ หวังทงเรียกให้ทุกคนนั่งลงกินด้วยกัน ซุนต้าไห่และคนอื่นๆ ก็ก้มหน้าก้มตากินอย่างเกรงใจ ซุนต้าไห่กินไปสองสามคำก็เงยหน้าพูดน้ำเสียงไม่ดีนัก
“บ้านเรือนบนถนนทักษิณนี้มีคนมีเงินมากกว่าทางถนนหนิวหลันมาก แต่พูดจาทำตัวไม่ค่อยตรงไปตรงมา อ้ำๆ อึ้งๆ”
คนรอบๆ ก็ตอบรับเห็นด้วยกัน หวังทงก็ยิ้มส่ายหน้าอธิบายว่า
“ประชาชนเห็นชุดที่พวกเราใส่ก็หวาดกลัวกันแล้ว ไหนเลยจะกล้ากล่าวอะไรตรงๆ …”
พอกล่าวจบ ม่านประตูร้านก็แหวกออก เป็นโจวอี้เดินเข้ามา พอเห็นคนเต็มห้องก็ไม่เกรงใจอันใด กล่าวขึ้นตรงๆ ว่า
“อาหารเช้ากินที่เจ้าแล้ว บ่ายก็จัดไปด้วยเลยละกัน กลับวังตอนนี้ พวกห้องเครื่องก็สนใจกันแต่ฮ่องเต้และเจ้านายอื่นๆ แต่ละตำหนัก ย่อมเอาอาหารเย็นชืดให้ข้ากิน สู้อาหารร้อนๆ ของเจ้าที่นี่ไม่ได้”
มีคนสนิทมาร่วมทานด้วย ย่อมไม่มีเหตุผลใดต้องปฏิเสธ หวังทงยิ้มให้หม่าซานเปียวจัดอาหารให้โจวอี้และผู้ติดตามอีกสองคน
พอเห็นผู้นี้เป็นกงกงจากในวัง ยังพูดจาสนิทกับหวังทง ซุนต้าไห่และคนอื่นๆ ต่างพากันระมัดระวังเป็นอย่างมาก ก้มหน้ากินข้าวกันไปเงียบๆ เป็นโจวอี้ที่กลับกินอย่างสบายอารมณ์ เอ่ยคุยเรื่องทั่วไปเป็นระยะ
คนฉลาดอย่างโจวอี้ พูดไม่กี่คำก็มองออกว่าหวังทงมีอะไรในใจ จึงอดไม่ได้ถามออกไป โจวอี้เป็นคนเข้าใจอะไรได้เร็ว หวังทงพอเล่าจบก็อยากจะฟังความเห็นของอีกฝ่าย
พอได้ยินว่าหวังทงถูกตอกหน้าจากมือปราบศาลซุ่นเทียน โจวอี้ก็หัวเราะเสียงดัง ตะเกียบร่วงหล่นลงบนโต๊ะ หวังทงถูกหัวเราะใส่หน้าอย่างไมรู้สาเหตุ ซุนต้าไห่ หม่าซานเปียวและคนอื่นๆ ต่างก็แอบเบิกตาจ้องมอง ในใจรู้สึกอยากรู้ไปด้วย
หัวเราะไปครู่หนึ่ง โจวอี้ก็หยิบตะเกียบขึ้นมาใหม่ ชี้ไปทางหวังทงพลางหยอกว่า
“ใต้เท้าหวัง จิตใจที่อยากทำหน้าที่ของท่านให้ดีนั้นไม่ผิด แต่วิธีการทำงานก็โง่เง่าเกินไปหน่อย จะว่าอย่างไรดี ก็เหมือนกับบ้านคนรวยที่มีภูเขาเงินภูเขาทอง แต่กลับกังวลว่าไม่มีเงินเหรียญใช้”
หวังทงนอกจากไม่เข้าใจแล้ว ก็ไม่ได้รู้สึกโกรธอะไร อีกฝ่ายกล่าวเช่นนี้ น่าจะคิดช่วยชี้แนะแล้ว จึงรีบถามออกไปว่า
“โจวกงกงมีวิธีการใดหรือ?”
ต่อหน้าคนนอกย่อมไม่อาจเรียกขานกันเป็นพี่เป็นน้อง โจวอี้เก็บท่าที พยักหน้าน้อยๆ นึกชมอีกฝ่ายที่ไม่รีบไม่ร้อน ยิ้มกล่าวว่า
“ใต้เท้าหวังตอนนี้ท่านมีสถานะใด ยังต้องมาปวดหัวกับเจ้าหน้าที่ศาลซุ่นเทียนตัวเล็กๆ งานการไม่ได้ทำกันเช่นนี้”