Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 593

ตอนที่ 593 สองด้าน

ทหารที่ถูกเซี่ยหยวนเฉิงใช้พลองทหารโบยจนตายไปไม่มีผู้ใดรู้จักชื่อ แต่รู้ว่าผู้นี้มีจมูกราวกับหัวกระเทียม ทั้งวันแดงก่ำ ดังนั้นทุกคนจึงเรียกเขาว่า ‘หัวกระเทียม’

หัวกระเทียมเป็นผีพนันร่ำสุรา ราวกับสัตว์ป่า สถานนะเช่นเขาต่ำต้อยราวเมล็ดงาในเมืองหลวง ไม่มีเงินค่าน้ำร้อนน้ำชาตกถึงมือ เบี้ยหวัดที่ได้ไม่เอาไปลงกับสุราก็เอาไปแพ้พนันหมด แม้แต่แดงเดียวครอบครัวไม่เคยได้ ภรรยาได้แต่เย็บปักหารายได้มาเลี้ยงดูลูกสองคน

หากแค่นี้ก็แล้วไป เจ้าหัวกระเทียมดื่มหนักเสร็จก็มักจะชอบกลับบ้านไปทุบตีด่าทอภรรยา เรื่องนี้ทำให้คนไม่พอใจกัน เพื่อนทหารด้วยกันก็ดูแคลนเขา หัวหน้าและลูกน้อยก็ไม่เห็นอยู่ในสายตา

ปีนี้ไม่รู้เกิดบ้าอันใด แปดเก้าส่วนคงเป็นเพราะดื่มจนเสียสติ ถึงกับกล้าไปด่ารองขุนพล ช่างน่าสมน้ำหน้า สมควรตายไหม?

เขาตายไปนับว่าดีแล้ว แต่ภรรยาม่ายและบุตรธิดากำพร้าที่บ้านจะทำเช่นไร มีคนใจบุญแวะไปดู พอเข้าไปในบ้านของเจ้าหัวกระเทียม ก็เห็นสภาพอเนจอนาถอย่างมาก ไม่มีคนเก็บกวาดทำความสะอาด ศพเจ้ากระเทียมเก็บเรียบร้อย มีโลงศพทำจากแผ่นหนังบางๆ ไว้ใส่ไปหาที่ฝังง่ายๆ

เห็นพวกแม่บ้านไปเยี่ยมมาบอกว่า ลูกสาวนั่งอยู่ในห้องเงียบๆ ดูแล้วไร้ชีวิต ช่างน่าสงสารยิ่ง

แต่ทุกคนก็กวาดหิมะเพียงแค่หน้าบ้านตนเท่านั้น ไหนเลยจะมีกำลังไปสนใจผู้อื่นได้มากนัก เห็นสภาพเช่นนี้ ทุกคนก็ได้แต่ให้เงินไปสองสามแดงก่อนจะถอนหายใจ เพียงแค่นี้เท่านั้น ทุกคนมีชีวิตที่ต้องดำเนินต่อไป อยากยุ่งก็ยุ่งได้ไม่มากเท่าไร ทำจนครอบครัวเป็นเช่นนี้ ตายไปไม่แน่ว่าเป็นเรื่องดีสำหรับภรรยาและลูก

แต่เพื่อนบ้านก็รู้สึกแปลกอยู่บ้าง เจ้าหัวกระเทียมมีลูกชายหนึ่งหญิงหนึ่ง กลับบ้านมาทุบตีภรรยาแต่ไม่เคยลงมือกับลูก บางครั้งได้เบี้ยหวัดมากหรือชนะพนันมา ก็มักจะซื้อขนมไปให้ลูกๆ วันนี้เหตุใดไม่เห็นลูกชาย

หญิงม่ายกับลูกสาวนั่งไว้ทุกข์อยู่สองวัน วันรุ่งขึ้นก็เก็บของที่บ้านใส่ห่อเรียบร้อย เดินทางไปทางตะวันตก มีคนถามก็บอกแค่ว่ากลับบ้านแม่

หญิงม่ายพาลูกสาวออกจากเมืองไป เดินไปไม่กี่ลี้ ก็เห็นรถม้าจอดพักอยู่กลางทาง บนรถม้าตรงที่นั่งเหนือล้อมีชายผู้หนึ่งสวมหมวกฟางอำพรางใบหน้ำกำลังสัปหงก หญิงม่ายเห็นรถม้า ก็นิ่งไป ก่อนจะหยุดอย่างลังเล แล้วก็ลากลูกสาวเดินไป

นางเดินไปเบื้องหน้า ชายรถม้าก็ดีดตัวขึ้นนั่งตัวตรง หญิงม่ายตกใจกระโดดถอยหลัง ชายผู้นั้นเหลือบมองหญิงม่ายกับลูกสาวที่ซุกตัวอยู่ด้านหลังอย่างหวาดกลัว ส่ายหน้าหันไปในรถม้า คว้าเอาเด็กชายอายุราว 6-7 ขวบออกมา

เด็กชายมีผ้ายัดปากแน่น พอถูกคว้าตัวออกมาก็ดิ้นรนขัดขืน ถูกชายผู้นั้นถลึงตามใส่ ก็รีบนิ่งทันที ชายผู้นั้นหันไปกล่าวกับหญิงม่ายว่า

“เดี๋ยวเจ้าดึงผ้านี่ออกเอง”

กล่าวจบก็คว้าเอาห่อผ้าในรถม้าออกมา โยนลงพื้น ห่อผ้าตกพื้นพร้อมเสียงดังปุ น้ำหนักไม่เบาเลย หญิงม่ายรีบปลอบลูกชายและลูกสาว เอื้อมมือไปคว้าห่อผ้า เปิดออกด้วยสองมือที่สั่นเทา ข้างในมีก้อนเงินวาววับ ยังมีกระดาษขาวหนึ่งแผ่น

หญิงม่ายจ้องมองของห่อนี้ น้ำตาไหลออกมาอย่างไม่อาจระงับ พยายามกลืนเสียงสะอื้นไห้

“200 ตำลึง เดินไปอีก 2 ลี้ก็จะมีโรงบ้านเล็กๆ โฉนดที่ดินอยู่นี่ จ่ายครบแล้ว”

ชายผู้นั้นกล่าวน้ำเสียงเย็นชา หญิงม่ายสะอื้นไห้พยักหน้า ชายผู้นั้นกวาดตามองหญิงม่ายและลูกทั้งสอง เงียบไปครู่หนึ่ง ก็หันกลับไปนั่งที่เดิมกล่าวว่า

“เห็นลูกเจ้าสองคน ข้าก็นึกถึงเจ้าลูกหมาสองคนของข้าที่อดตายไปที่บ้านเกิด พวกเจ้ารีบขายที่ดินนี่ทิ้งแล้วเอาเงินออกเดินทางไปให้ไกลเถอะ”

ได้ยินเช่นนี้ หญิงม่ายเงยหน้าขึ้นมองด้วยความไม่เข้าใจ ชายผู้นั้นสะบัดแส้ เร่งรถม้าให้เคลื่อนไป กล่าวน้ำเสียงนิ่งว่า

“เดิมวันนี้ต้องสังหารเจ้าสามแม่ลูกปิดปาก แต่เห็นเจ้ากับลูกสองคนแล้ว ลงมือไม่ลง รีบไปเร็วเข้า!”

ชายขับรถม้ากล่าวจบก็เร่งรถม้าจากไปอย่างรวดเร็ว สีหน้าหญิงม่ายซีดเผือด นิ่งอึ้งอย่างไม่รู้จะทำเช่นไรต่อ จนกระทั่งเด็กหญิงดึงผ้าที่ยัดปากเด็กชายออก เด็กชายแผดเสียงร้องไห้ลั่นจึงได้สติ หญิงม่ายคุกเข่าบงโขกศีรษะไปยังทิศทางที่รถม้าจากไป เก็บเงินให้เรียบร้อยก่อนจะรีบลากลูกเดินจากไป

แม่ม่ายลูกสองครอบครัวเจ้าหัวกระเทียมไม่ได้ไปที่โรงบ้านนั่น และก็ไม่มีคนเมืองหลวงได้เห็นพวกเขาอีกเลย

การตายของทหารนายหนึ่ง ในเมืองหลวงไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่อันใด ตอนนี้ขุนนางระดับสูงในเมืองหลวงล้วนจับจ้องข่าวการป่วยของจางจวีเจิ้ง

ข่าวลือต่างๆ นานา ก็ไม่รู้ว่าอันใดจริงอันใดเท็จ แต่ล้วนบอกว่าท่านจางมีพิษร้อนกระจายทั่วร่างกายไม่ยอมลด ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น ข่าวแต่ละข่าวล้วนมีเพียงข่าวนี้ที่ดูเหมือนจะจริงที่สุด

รองแม่ทัพเมืองหลวงเซี่ยหยวนเฉิงเป็นคนที่จางจวีเจิ้งส่งเสริมขึ้นมา ก่อนหน้าเพื่อปกป้องเซี่ยหยวนเฉิงขึ้นสู่ตำแหน่งนี้ ยังกันไม่ให้หลี่เหวินเฉวียน พี่ชายไทเฮาฉือเซิ่งได้ตำแหน่งนี้ไป

จางจวีเจิ้งพักรักษาตัวที่จวน เซี่ยหยวนเฉิงอย่างไรก็ต้องไปเยี่ยมเยือนถึงจวน ท่านจางศีรษะพันผ้าขาวออกมารับแขก นอกจากสีหน้าแดงดูไม่ปกติแล้ว ที่อื่นๆ ก็ดูยังปกติดีอยู่

แต่พอเซี่ยหยวนเฉิงกลับไป ก็รู้สึกร้อนใจ ไม่อาจสงบจิตใจลงได้ นายทหารนั่นยังมารายงานตัวสายแล้วเกิดบ้าคลั่งด่าทอกลางโรงฝึกทหาร แม้ว่าทุกคนที่นั่นจะตะโกนให้ตีให้ตาย แต่กลับทำให้เซี่ยหยวนเฉิงยิ่งร้อนใจ

เรื่องผ่านไปสองวัน จางจวีเจิ้งสุขภาพฟื้นคืน เข้าประชุมได้ตามปกติ แต่กลับมีคนส่งจดหมายมาให้เซี่ยหยวนเฉิงฉบับหนึ่ง หน้าซองไม่มีข้อความใด มีเพียงใช้คลั่งผนึกซองไว้

แกะออกดู จดหมายมีเพียงข้อความว่า “จางจวีเจิ้งอยู่ เจ้าก็เป็นรองแม่ทัพเมืองหลวง หากจางจวีเจิ้งไม่อยู่ เจ้าจะเป็นเช่นไร จะอยู่ต่อได้อย่างไร?”

อ่านจดหมายจบ เซี่ยหยวนเฉิงก็นั่งอึ้งอยู่กับที่ เอาจดหมายในมือโยนเข้าเตาไฟเผาทันที จากนั้นก็ไปตามทหารที่นำจดหมายมา ว่ามาจากที่ใด บอกเพียงว่ามีคนยัดเสียบไว้ ไม่รู้ว่าผู้ใดนำมาส่ง

เซี่ยหยวนเฉิงถามเพียงครั้งเดียว ก็ไม่ได้ถามอีก แต่ตะเกียงในห้องกว่าจะดับก็ดึกมาก

เมืองหลวงเกิดเรื่องมากมายเช่นนี้ หากสำนักรักษาความสงบกับที่อื่นๆ ล้วนรู้ว่าควรเรียบเรียงเป็นรายงาน ส่งไปยังเทียนจิน

อวี๋ซื่อเฉียงหนีไปสวามิภักดิ์มองโกล อวี๋หยวนกังดื่มยาพิษปลิดชีพตัวเอง ที่เหลือถูกลดเป็นราษฎรทั่วไป ผลเช่นนี้ทำให้หวังทงรู้สึกตกใจ

นอกเมืองเซวียนฝู่ถูกทหารมองโกลลอบโจมตีเกี่ยวพันกับตระกูลอวี๋ เรื่องนี้เป็นไปตามคาดหวังทง แต่ที่เขาตกใจและแปลกใจก็คือ ถึงกับสืบได้ความจริงกระจ่างในเวลาเพียงไม่นานเช่นนี้

เทียบกับความตกใจของเขาแล้ว คนที่รู้ข่าวคดีนี้ในเทียนจินกลับด่าทอกันยกใหญ่ หรือไม่ก็ตะโกนร้องสะใจ ทหารหลายพันต่อสู้บนทุ่งหญ้า ครั้งนั้นกองกำลังหู่เวยยังไม่เป็นรูปเป็นร่างดี หากไม่ใช่ค่ายรถศึกรับมือได้ดี เป็นไปได้ว่าทั้งหมดคงได้ฝากชื่อไว้บนทุ่งหญ้าแล้ว

ตระกูลอวี๋จิตใจช่างโหดเหี้ยม เสียแรงที่เป็นถึงชนชั้นสูงแผ่นดินหมิง ยังมีหลานได้หมั้นหมายกับเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง หากหวังทงกลับไม่ได้มีความรู้สึกสะใจอันใด

มีคนนำจดหมายมาส่งผู้ตรวจการกลางดึก เปิดโปงตระกูลอวี๋ว่าคิดการไม่ซื่อ เห็นชัดว่ามีคนสละรถเพื่อรักษาแม่ทัพไว้ เช่นนี้ก็เหมือนการตัดแขนทิ้งได้ทันการ ทำให้หวังทงรู้สึกระแวงอยู่หลายส่วน

ทุกอย่างในเทียนจินเป็นไปอย่างปกติ เทียบกับปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 9 แล้ว ก็รุ่งเรืองกว่าหลายเท่า แต่ก็เหนือความคาดหมาย เงินก้อนโตจากเมืองหลวงส่งมาลงทุน มาซื้อที่ในเทียนจินเปิดร้าน ทำการค้าต่างๆ ยังมีการใช้เงินต่างๆ นานาที่เทียนจิน ทำให้เทียนจินยิ่งรุ่งเรือง

ขุนนางและชนชั้นสูงในเมืองหลวงเริ่มวางใจเทียนจิน แม้ว่าหวังทงจะทำให้รุ่งได้ แต่ไม่มีคนเชื่อว่าจะยั่งยืน ล้วนรู้สึกว่าเป็นแค่การชั่วคราวดังเช่นจันทร์กลางน้ำที่ไม่อาจจับต้อง ไม่นานก็ต้องสลายไปราวกับเมฆหมอก คิดไม่ถึงว่าหวังทงจะต่อสู้กับทุกฝ่ายได้อย่างมีปัญญาและกล้าหาญเช่นนี้ จึงดำเนินการต่อมาได้ถึงทุกวันนี้ ยังคงรักษาสภาพการณ์นี้ได้มาจนถึงวันนี้

ขุนนางและชนชั้นสูงล้วนมีเงินก้อนโตในมือไม่รู้จะใช้จ่ายอย่างไร เปิดกิจการในเมืองหลวงก็จะเตะตาเกินไป จะไปซื้อที่นาที่บ้านเกิดก็มีจำกัด ปล่อยดอกก็มีความเสี่ยง แต่เงินทองในมืออย่างไรก็ไม่อาจเก็บไว้เฉยๆ อย่างไรก็ไม่สู้เอาไปเคลื่อนไหวหาเงินที่อื่นน่าจะดีกว่า

เมื่อก่อนคิดเช่นนี้ แต่ก็ได้แค่ร่วมกับทำการค้ากับพวกมองโกลหรือทางใต้หรือทางทะเลเท่านั้น อันแรกต้องมีสายสัมพันธ์กับชายแดน และต้องเสี่ยงภัยกับการถูกคนจับผิดเอาได้ตลอดเวลา อันหลังก็ไกลเกินไป ไม่วางใจดูแลไม่ถึง และการถูกกล่าวหาว่าสบคบโจรสลัดก็มิใช่เรื่องล้อเล่น

การแย่งชิงทางการเมือง แม้เป็นเรื่องที่ทุกคนรู้ดีแก่ใจ ขอเพียงไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ก็อาจถูกเปิดโปงเอามาเป็นหลักฐานได้ ทุกคนจึงต้องทำการระมัดระวังทุกย่างก้าว

แต่เทียนจินนั่นไม่เหมือนกัน ขอเพียงเปิดร้านร่วมการค้า โอกาสหาเงินมาได้แปดส่วนแน่นอน รวบรวมสินค้าผ่านเทียนจินจากทั้งทางบกและทางน้ำ จากนั้นค่อยแบ่งไปขายนอกด่าน เมืองเหลียวโจว ออกทะเลและไปยังที่ต่างๆ ในแผ่นดินหมิง การค้านี้กำไรอื้อ ไม่มีเหตุผลที่จะไม่กำไร

ไม่อยากยุ่งยากใจ เกรงเสี่ยงภัย ก็เอาเงินไปไว้ที่ร้านเงินสามธารา ร้านเงินนี้ทุกปีรับรองได้ดอกเบี้ย และยังรับทำการค้าแทน ไม่ต้องมาคอยกังวลใจ ยังสามารถนั่งรอเก็บเงินเฉยๆ แม้กำไรได้ไม่เท่ากับทำการค้า แต่ก็มั่นคง อย่างไรก็เป็นการร่วมทุนระหว่างชนชั้นสูงเมืองหลวงกับหวังทง ก็ทำให้ทุกคนวางใจได้

ตามสายแม่น้ำทะเลรายงานมา เดือนหนึ่งเสิ่นหวั่งมาแล้วก็ไป เดือนสี่มาอีก ครั้งนี้อยู่นานถึงตอนนี้ก็ยังไม่จากไป ถึงกับนำคนสนิทติดตามมาซื้อบ้านในละแวกใกล้ๆ กันด้วย ดูเหมือนกะอยู่ยาว

ได้ยินจางซื่อเฉียงรายงานเช่นนี้ หวังทงก็ได้แต่นิ่งไปก่อนจะกล่าวว่า

“เขาต้องการอยู่ก็ให้เขาอยู่ไปตามสบาย อย่าให้เขาพาคนออกไปได้ก็แล้วกัน……ตระกูลหลี่ทางนั้นจัดการหาที่พักให้เรียบร้อยแล้วหรือยัง?”

“เรียนใต้เท้า เข้าพักแล้ว สาวใช้คนงานก็พร้อม เรื่องแต่งภรรยายก็หาคนไปทาบทามแล้ว บุตรคนเล็กก็ส่งไปสอบขุนนางแล้ว ระดับจวี่เหรินไม่แน่ใจ แต่ระดับซิ่วไฉก็ยังคงพอมีหวังอยู่”

ได้ยินจางซื่อเฉียงกล่าวเช่นนี้ หวังทงพยักหน้า แม้ว่าในห้องไม่มีใคร แต่ก็ยังเอ่ยถามน้ำเสียงเบายิ่งว่า

“เมืองหลวงทางนั้นติดต่อได้หรือยัง?”

“เรียนใต้เท้า เมื่อวานมีจดหมายส่งมา หากไม่มีคนมาขอพบที่จวน ใต้เท้า หรือว่าให้ทางโจวกงกงทางนั้น……”

“ไม่ต้อง! เจ้ารู้ข้ารู้ คนรู้ยิ่งน้อยยิ่งดี!!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!