ตอนที่ 599 ไม่ถึงสองเดือน
“หลักการคำสอนอันใดกัน!! การเป็นฮ่องเต้ทรงธรรมอันใดกัน!! ล้วนแต่ราวกับเรื่องผายลม!! สุนัขผายลม!! ตัวเขาเองทำไม่ได้ ขุนนางในราชสำนักก็ทำไม่ได้!! เหตุใดมาให้ข้าทำให้ได้ ข้าเป็นฮ่องเต้ ใต้หล้าเป็นของข้า เหตุใดข้าต้องลำบากเช่นนี้ ต้องวางกฎให้ตนเองเช่นนี้ด้วย พวกเขากลับทำอันใดก็ได้ที่อยากทำ!!”
ฮ่องเต้ว่านลี่เสด็จวนไปมาในห้องทรงอักษร ยกพระกรขึ้นวาดไปมาอย่างบ้าคลั่ง สุรเสียงคำรามลั่น จางเฉิงรู้จักฮ่องเต้ว่านลี่ดี ว่าหากเรียกพระองค์เองว่า เรา นับว่าพระอารมณ์ดี หากเรียกพระองค์เองว่า ข้า แปลว่าเริ่มไม่พอพระทัยอย่างมาก
ยามนี้ตรัสสุรเสียงตรัสอย่างไม่รักษาธรรมเนียมเช่นนี้ จางเฉิงได้ยินครั้งแรก ในใจรู้ว่าฮ่องเต้ว่านลี่เริ่มสะเทือนหนัก เกินจะทนรับไหว
จางเฉิงคุกเข่าลงพื้นอยู่ ก็รีบลุกอย่างผิดธรรมเนียม วิ่งออกไปนอกห้องทรงอักษร คนในห้องล้วนตกตะลึง แม้แต่ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็เงียบ เห็นจางเฉิงวิ่งออกไป ตะโกนเสียงแหลมว่า
“ไม่ว่าขันทีนางกำนัลหรือองครักษ์ ให้ถอยไปให้ไกล ฝ่าบาทต้องการความสงบ ออกไปไกลเกินร้อยก้าว ร้อยก้าว ผู้ใดเข้าใกล้ให้ข้ารู้ จะปลดออกจากหน้าที่ ตัดหัวทิ้ง!”
ฮ่องเต้สูญเสียการควบคุม ในวังหากแพร่ออกไป ย่อมสร้างความยุ่งยากตามมา จางเฉิงเป็นผู้มากประสบการณ์ เขาออกไปไล่คนด้านนอก ก่อนจะรีบวิ่งกลับเข้ามา พอเข้ามาก็คุกเข่าโขกศีรษะก่อนจะทูลขอรับโทษว่า
“กระหม่อมเมื่อครู่ร้อนใจไป จึงได้เสียธรรมเนียม ขอทรงโปรดอภัย”
การกระทำเมื่อครู่เหมือนขัดจังหวะอารมณ์ที่กำลังปะทุแรงของฮ่องเต้ว่านลี่ลง ฮ่องเต้ว่านลี่ผินพระพักตร์ไปก่อนจะผินพระพักตร์กลับมา ยกพระกรขึ้น หากไม่กล่าวอันใด ได้แต่ยกเท้าถีบกระถางดอกไม้ตกแตกกระจาย เดิมก็ขาไม่ดี ยกเท้าถีบหนักเช่นนี้ อดซวนเซไม่ได้ เกือบหกล้ม สุดท้ายจึงได้แต่กลับไปนั่งคอตกอยู่บนที่ประทับ ตรัสอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า
“จางปั้นปั้น ท่านจริงใจกับเราจริงๆ ไม่ต้องมากธรรมเนียม เราไม่โกรธท่าน!”
จางเฉิงกลับไม่ลุกขึ้น หากยังคุกเข่าทูลขอต่อว่า
“ฝ่าบาทสองสามวันนี้โปรดยับยั้งพระอารมณ์ด้วย เรื่องวันนี้ กระหม่อมคิดว่าควรจะปล่อยให้ผ่านไปเงียบๆ อย่าได้แพร่กระจายออกไป”
“จะไม่ให้แพร่กระจายได้อย่างไร!!”
ได้ยินจางเฉิงทูลจบ สีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ก็เริ่มแดง ตวาดสุรเสียงดังลั่น จางเฉิงโขกศีรษะรีบทูลว่า
“ฝ่าบาท จางจวีเจิ้งคุมราชสำนักฝ่ายนอก เป็นมหาอำมาตย์ เฝิงเป่าอยู่ฝ่ายใน เป็นหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์ ยังมีไทเฮาอยู่ตรงกลางอำนาจนี้ สามประสานเป็นหนึ่ง จางจวีเจิ้งป่วยวิกฤต เฝิงเป่าเริ่มใจไม่ดี ไทเฮาก็ย่อมไม่ดีนัก หากยามนี้ฝ่าบาทมีการเคลื่อนไหวอันใด เกรงว่าคงถูกคนอื่นหาว่าเคลื่อนไหวยามวิกฤต จางจวีเจิ้งและเฝิงเป่าคุมอำนาจมาเกือบ 20 ปี ตำแหน่งสำคัญในเมืองหลวงอยู่ในมือคนสนิทของเขาสองคน หากฝ่าบาทไปบีบคั้น เกรงว่าจงไม่อาจต้านกระแสภัยได้!!”
ฮ่องเต้ว่านลี่ผุดลุกจากที่ประทับ ยกพระหัตถ์ชี้จางเฉิง ทั้งพระวรกายสั่นเทิ้ม อ้าปากคิดจะตวาด หากโจวอี้และเจ้าจินเลี่ยงไม่สนใจนายหรือบ่าว เงยหน้าขึ้นมองจางเฉิงกับฮ่องเต้ว่านลี่อย่างตกใจ จางเฉิงช่างเหิมเกริม ถึงกับกล้ากล่าวเรื่องผิดจารีตธรรมเนียมเลวร้ายเช่นนี้ออกมาต่อเบื้องพระพักตร์ได้
จางเฉิงได้แต่โขกศีรษะ ฮ่องเต้ว่านลี่ที่พระวรกายสั่นเทิ้มเริ่มนิ่งลง ผงะถอยไปสองก้าว ก่อนจะล้มลงบนที่ประทับ ตรัสว่า
“เรายังเป็นโอรสสวรรค์หรือไม่ เรายังเป็นฮ่องเต้หรือไม่ ใต้หล้านี้แท้จริงแล้วเป็นของ……”
สุรเสียงยิ่งเบาลง เจือเสียงสะอื้นเล็กน้อย จางเฉิงเงยหน้าขึ้นมอง หน้าผากเริ่มม่วงช้ำเป็นแถบ ใช้น้ำเสียงแน่วแน่ทูลว่า
“แน่นอนใต้หล้านี้เป็นของฝ่าบาท ฝ่าบาทย่อมเป็นนายปกครองแผ่นดินหมิง แต่ยามนี้เป็นช่วงเวลาพิเศษ ไม่อาจกระทำการโดยพลการ ฝ่าบาท ต้องรอพะยะค่ะ!!”
“หวังทงบอกว่าให้รอ เจ้าบอกว่าให้รอ ยังต้องรออีกนานเท่าไร?”
ฮ่องเต้ว่านลี่ถามกลับอย่างไร้ความหวัง จางเฉิงทูลขึ้นเบายิ่งกว่าเดิมว่า
“วันที่หมอหลวงอวี๋บอกแล้วว่า อีก 60 วัน หรืออาจไม่ถึง……”
พอทูลเช่นนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็อึ้งไป เข้าพระทัยในทันที พยักพระพักตร์ช้าๆ สีพระพักตร์เย็นเยียบ ถึงกับมีรอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้น กัดพระทนต์ยิ้มกล่าวว่า
“ก็จริง ไม่ต้องรอนานนัก!!”
ในห้องเงียบไปครู่หนึ่ง ฮ่องเต้ว่านลี่สงบพระสติลง มองเห็นสามคนยังคงคุกเข่าอยู่ที่พื้น จึงทรงลุกไปประคองจางเฉิงขึ้นมาก่อน ถอนพระปัสสาสะตรัสว่า
“หลายปีมานี้ลำบากจางปั้นปั้นแล้ว……โจวอี้ เสี่ยวเลี่ยง พวกเจ้าลุกขึ้นได้ พวกเจ้าจงรักภักดี เราล้วนจดจำไว้ในใจ”
โจวอี้สีหน้ามีแววยินดีเล็กน้อย ตอนเงยหน้าขึ้นก็กลับปรับสีหน้าให้เคร่งครัดปกติ ทูลว่า
“เป็นหน้าที่กระหม่อมพะยะค่ะ”
เจ้าจินเลี่ยงกลับไม่กล่าวอันใด ได้แต่ลุกขึ้นเก็บกวาดสภาพดูไม่ได้ในห้อง จางเฉิงที่ถูกประคองให้ลุกขึ้นยังคงรู้สึกตื่นตระหนก แต่ด้วยประสบการณ์ ย่อมได้สติไว้ เห็นสภาพในห้องแล้วก็กล่าวว่า
“สิ่งที่เกิดในวันนี้แม้ว่าไม่เข้ามาดูในห้อง ด้านนอกก็ย่อมมีเสียงเล็ดรอดออกไป จำเป็นต้องหากเหตุมาอ้างให้เหตุการณ์นี้ผ่านไป!”
จางเฉิงกวาดตามองโจวอี้และเจ้าจินเลี่ยง ก่อนจะกล่าวว่า
“โจวอี้ ลำบากเจ้าแล้ว”
ลำบากวันนี้ก็เท่ากับวาสนาใหญ่ในวันหน้า โจวอี้ย่อมยินดี ได้ยินจางเฉิงกล่าวเช่นนี้ ก็รีบคุกเข่าลง กล่าวว่า
“ได้ทำงานรับใช้ฝ่าบาท จะลำบากได้อย่างไร”
*************
โจวอี้แห่งสำนักส่วนพระองค์แอบยักยอก ถูกลดให้ไปดูแลงานที่ถนนทักษิณ นี่เป็นข่าวใหญ่ในวัง โจวอี้เป็นบุตรบุญธรรมจางเฉิง ย่อมเป็นคนสนิทฮ่องเต้ว่านลี่ ตอนอยู่สำนักอาชาหลวงเพราะแอบขายม้า กินส่วนต่าง จึงถูกหลินซูลู่ตรวจพบจับได้ โดนลงโทษอย่างหนักไปครั้งหนึ่ง
ว่ากันว่าคนผู้นี้คงจบสิ้นอนาคตในวังแล้ว แต่โจวอี้ดวงดี มีสายสัมพันธ์กับหวังทงนอกวัง ถึงกับฟื้นคืนชีพมาได้อีกครา ได้ไปดำรงตำแหน่งในสำนักส่วนพระองค์
ขันทีสำนักอาชาหลวงย้ายไปดูแลงานสำนักส่วนพระองค์ ก็เท่ากับขุนนางนอกพื้นที่ได้เข้ามาประจำกรมกอง ถือว่าเป็นเลื่อนตำแหน่ง
บรรดาคนในวังล้วนอิจฉาอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าโจวอี้จะเกิดเรื่องอีก ถึงกับกล้ายักยอกเข้ากระเป๋า ทุกคนได้แต่ดูแคลน ช่างเป็นเศษสวะไร้อนาคตเสียจริง
สำนักส่วนพระองค์นอกจากจางเฉิง คนอื่นไม่ใช่คนไทเฮา ก็เป็นคนเฝิงเป่า กว่าจะจับโจวอี้แทรกเข้าไปได้ไม่ง่ายเลย กลับเพราะทำเรื่องพวกนี้ ก็ไม่อาจโทษฮ่องเต้ว่านลี่ที่จะทรงกริ้วหนักถึงเพียงนั้น ว่ากันว่าให้คว่ำโต๊ะเลยทีเดียว
ขันทีในวังยังคงต้องทึ่ง จางเฉิงจางกงกงช่างเป็นคนใกล้ชิดฝ่าบาท ไล่ไปประจำที่ถนนทักษิณ แม้ว่าไม่มีอำนาจ แต่ก็มีอิสระ งานโจวอี้ในสำนักรักษาความสงบก็ยังคงอยู่ เท่ากับว่าปล่อยออกไปปฏิบัติหน้าที่นอกวัง ไม่มีโอกาสได้ก้าวขึ้นสูง แต่ก็มีอิสรเสรี
***************
อาการป่วยของมหาอำมาตย์จางจวีเจิ้งรู้กันทั่วในเมืองหลวง วันที่ 20 เดือนห้า ในวังพระราชทานสมุนไพรราคาแพงหายากไปให้ ยังส่งหมอหลวงครึ่งหนึ่งในวังไปยังจวนจางจวีเจิ้งและยังมีประกาศให้แต่ละพื้นที่ส่งหมอดังมาเมืองหลวง มารักษาท่านจาง
จางจิ้งซิว บุตรชายคนโตจางจวีเจิ้งเป็นหัวหน้ากองอยู่ที่กรมพิธีการ เป็นขุนนางระดับหก ฮ่องเต้ว่านลี่มีราชโองการเลื่อนตำแหน่งให้ สูงขึ้นทีเดียวหลายขั้น
ว่ากันว่า ตอนประชุมในหอประชุมเหวินเหยียนเก๋อ ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงเอ่ยเรื่องนี้ขึ้น เสนาบดีกรมปกครองเหลียงเมิ่งหลงที่เพิ่งได้เข้ามาร่วมในคณะเสนาบดีใหญ่นี้คัดค้าน เสนาบดีกรมทหารจางซื่อเหวยก็กล่าวว่าอาจผิดธรรมเนียมที่มีมา ฮ่องเต้ว่านลี่กลับทรงยืนยัน
นี่เป็นเรื่องที่ควรตามนี้ ในเมื่อโอรสสวรรค์มีท่าทีเช่นนี้ ทุกคนก็ย่อมไม่มีอันใดจะกล่าวต่อ จึงได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
เรื่องนี้สร้างแรงกระเพื่อมใหญ่ในเมืองหลวง พวกขุนนางบัณฑิตและหกกรมกองต่างก็วิพากษ์วิจารณ์กัน บอกว่าไม่เป็นธรรม
จางจวีเจิ้งป่วยหนัก เสียงวิพากษ์วิจารณ์ในเมืองหลวงก็ไม่เกรงกลัวมากขึ้น เริ่มมีคนบอกว่าจางจวีเจิ้งคุมอำนาจขุนนาง มีคนบอกว่าบุตรชายจางจวีเจิ้งสอบได้จิ้นซื่อในปีนั้น ล้วนเป็นเพราะจางจวีเจิ้ง การกระทำทุจริตนี้ ราชสำนักไม่ควรปล่อยปละ
เรื่องวิพากษ์วิจารณ์พวกนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ย่อมไม่รับฟัง และยังให้คนศาลซุ่นเทียนกับสำนักรักษาความสงบไปสืบสวน ท่าทีเช่นนี้ ทำให้เมืองหลวงเงียบกริบลงอย่างรวดเร็ว
แต่ละอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ทุกคนย่อมเห็นว่าฮ่องเต้ว่านลี่ให้ความไว้วางพระทัยในจางจวีเจิ้ง คนในวังก็ย่อมยิ่งเห็นชัดเจน แต่ทุกคนก็มิได้แปลกใจอันใด ฮ่องเต้ก็ควรทำเช่นนี้อยู่แล้ว
***********
ในวังนอกวังเกิดเรื่องมากมาย คนในวงเรื่องราวทั้งหมดก็รู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็ว โจวอี้ “ถูกลด” ออกจากวังไปได้สามวัน จางเฉิงก็รีบไปยังห้องทรงอักษร
ข่าวจากสำนักหมอหลวงมาว่า ขาจางจวีเจิ้งเน่าแล้ว ตอนนี้ใช้ยากดอาการไว้ นอนไม่ได้สติทั้งวัน สถานการณ์ยิ่งไม่สู้ดีนัก ฮ่องเต้ว่านลี่ต้องการว่าหากมีข่าวอาการป่วยจางจวีเจิ้งให้รีบรายงาน จางเฉิงมาด้วยเรื่องนี้
พอมาถึงหน้าประตูห้องทรงอักษร จางเฉิงหยุดจัดเสื้อผ้าก่อนจะมองซ้ายมองขวา แล้วก็ต้องตะลึงไป รีบถามขึ้นว่า
“ข้าไม่ใช่ว่าเปลี่ยนองครักษ์ที่นี่แล้วหรือ? ทำไมยังเป็นพวกเจ้า?”
องครักษ์ผู้หนึ่งรีบเข้ามาก้มกายคำนับกล่าวว่า
“จางกงกง ข้าน้อยยังไม่ได้รับคำสั่งจากเบื้องบน ดังนั้นจึงต้องประจำอยู่ที่เดิมไม่กล้าทิ้งไป”
จางเฉิงกระทืบเท้า โมโหกล่าวว่า
“หัวหน้าพวกเจ้าเลอะเลือนหรือไร คำสั่งข้ายังกล้าทำหูทวนลม เจ้ารีบไปบอกตอนนี้เลย ให้ส่งคนที่ข้าเลือกไว้มา ไม่เช่นนี้เห็นดีกัน!!”
สถานะเช่นจางเฉิง องครักษ์ย่อมไม่กล้าตอบโต้ รีบวิ่งออกไปจัดการตามคำสั่ง จางเฉิงจึงได้เข้าไปรายงาน
ในห้องทรงอักษรคุยกันได้ไม่กี่คำ นางกำนัลจิ่นซิ่วจากตำหนักไทเฮาฉือเซิ่งก็มา นับว่าเป็นแขกที่ไม่ค่อยได้มา พอเข้ามาถวายคำนับเสร็จ ก็ทูลอย่างนอบน้อมว่า
“ฝ่าบาท จางกงกง ไทเฮาตรัสว่า ตอนนี้เรื่องราวมากมาย ในวังควรนิ่งไว้ ไม่ให้เคลื่อนไหวใดๆ องครักษ์ฝ่าบาทแต่ไรมาก็ไว้ใจได้ ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยน……”