ตอนที่ 600 รู้ว่าคับขัน รู้ผลดีผลร้าย
“ท่านน้าจิ่นซิ่ว จางกงกงมอบให้ท่าน”
เจ้าจินเลี่ยงส่งจิ่นซิ่วออกจากห้องทรงอักษร พร้อมหยิบหยกสลักรูปนกเป็ดน้ำประณีตชิ้นหนึ่งมอบให้ หยกประดับนี้แลดูแวววาวฉ่ำน้ำเนื้อดี คนมองออกย่อมรู้ดี ของสิ่งนี้หากไปขายในร้านข้างนอกวัง เปิดราคามาพันตำลึงทองย่อมมีคนแย่งกันจับจอง
จิ่นซิ่วรับใช้ข้างพระวรกายไทเฮาฉือเซิ่ง ย่อมมองเห็นอะไรมามาก รู้ว่าเป็นของดี ยิ้มและรับไว้ พลางเอื้อมมือไปลูบท้ายทอยเจ้าจินเลี่ยง กล่าวว่า
“เรียกท่านน้าอันใด เรียก พี่!”
ในห้อง จางเฉิงสีหน้าเคร่งเครียด ฮ่องเต้ว่านลี่ท่าทางกริ้วตรัสว่า
“ในวังจะมีการเคลื่อนไหวอันใดผิดปกติกัน หรือว่าเราจะถือดาบขึ้นก่อการ?”
จางเฉิงนิ่งเงียบไม่รับคำ ฮ่องเต้ว่านลี่ผินพระพักตร์ไปมองด้านข้าง ส่ายพระพักตร์ตรัสขึ้น
“จางปั้นปั้น เสด็จแม่ทางนั้นทรงคิดอันใดอยู่เป็นแน่ เสด็จแม่ไม่ทำร้ายเรา แต่ในวังนี้ ตำหนักฉือหนิงกงกุมอำนาจมาไม่ใช่แค่ปีสองปี ไม่มีอันใดไม่อาจวางใจ”
ตอนส่งคนไปทำคดีที่ซานซี ท่าทีไทเฮาฉือเซิ่งสะเทือนพระทัยฮ่องเต้ว่านลี่อย่างมาก ที่กล่าวว่าไว้วางใจ เพราะมีบางเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ได้แต่คล้อยตามไป
ได้ยินฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสเช่นนี้ จางเฉิงก็ถอนหายใจ คำนับทูลว่า
“ฝ่าบาท ไทเฮากุมอำนาจทหาร ก็ย่อมมั่นพระทัยได้ แต่ที่กระหม่อมกังวลมิใช่เรื่องนี้……”
“เฝิงต้าปั้นหรือ? ต้าปั้นแม้ว่ากุมอำนาจ แต่หากว่าคิดจะ……เรารู้สึกว่าต้าปั้นไม่น่าทำเช่นนั้น”
พูดถึงเฝิงเป่า ฮ่องเต้ว่านลี่นิ่งไปครู่หนึ่ง แต่ก็ยังคงให้คำรับรอง จางเฉิงส่ายหน้ากล่าวน้ำเสียงจริงจังว่า
“ทางเฝิงกงกงนั้น กระหม่อมคิดว่าไม่มีเรื่องบังอาจเหิมเกริมอันใด แต่กระหม่อมกังวลผู้อื่น……”
“ผู้ใด?”
ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสถาม จางเฉิงเลิกคิ้วคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ถอนหายใจทูลว่า
“กระหม่อมเองก็ไม่รู้ แต่รู้สึกไม่สบายใจ รู้สึกว่าต้องป้องกันให้แน่นหนาขึ้นอีก ต้องตั้งใจป้องกันจึงจะรู้สึกสบายใจได้”
ฮ่องเต้ว่านลี่ส่ายพระพักตร์ หยิบฎีกาบนโต๊ะขึ้นมาตรัสว่า
“เรื่องราวมากมายเช่นนี้ ในใจจางปั้นปั้นย่อมไม่สงบ ดังนั้นอาจคิดไปไกลเกินไป จางจวีเจิ้ง……อ่อ……ท่านจางป่วยหนัก ที่ไม่ปลอดภัยมั่นคงก็คงเป็นข้างนอกนั่น ในวังมีต้าปั้นและเสด็จแม่กุมอยู่ หากจะคิดว่าไม่สงบก็คงต้องมีสาเหตุแห่งความไม่สงบบ้าง องครักษ์ด้านนอกก็ติดตามมานาน ไม่จำเป็นต้องกังวลมากนัก”
กล่าวถึงตรงนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็โยนฎีกาลงบนโต๊ะ แค่นยิ้มตรัสว่า
“ท่านจางป่วยหนัก ใต้หล้าระส่ำระสาย ในวังไม่สงบสุข ก็ไม่รู้ว่าเราเป็นผู้ครองแผ่นดินนี้ หรือว่าท่านจางกันแน่”
************
แม้กล่าวว่าเรื่องเปลี่ยนองครักษ์ทางฮ่องเต้นั้นจะเงียบไป แต่หน่วยอารักขาในวังก็เห็นได้ชัดว่าเริ่มเคร่งเครียดกันขึ้น ตำหนักฉือหนิงกงนั้นไม่ต้องพูดถึง ฮ่องเต้ ฮองเฮา พระสนมเอก ยังมีพระสนมอื่นๆ และบรรดาชนชั้นสูงอื่นในวังหลังก็เพิ่มกำลังอารักขากันมากขึ้น
ขบวนลาดตระเวนในวันทุกวันก็เพิ่มกะมากขึ้น วังหลวงหลายประตูทางเข้าก็ตรวจเข้ม ขันทีและนางกำนัลที่มีระดับค่อนข้างสูง ไม่ว่าตนเองหรือได้รับคำสั่งมา ก็ล้วนเพิ่มการระวังตัวมากขึ้น
แต่ขันทีและนางกำนัลทำงานในวังหลวงทุกวัน คุ้นเคยเส้นทางเป็นอย่างดี การตรวจสอบเข้มสำหรับพวกเขาแล้วก็ไม่เท่าไร ขันทีบางคนยังสามารถหลบเลี่ยงด่านตรวจออกนอกวังไปได้
เรือนเงียบเหงาด้านตะวันตกเฉียงใต้ของวังหลวง มีคนรวมตัวกัน อากาศใกล้เดือนหกก็เริ่มร้อน ในห้องปิดหน้าต่างมิด ข้างในยังจุดธูปเทียน ทุกคนเหงื่อออกเต็มหน้าไปหมด
“กราบไหว้ไตรสุริยัน ศรัทธาไตรสุริยัน ไตรสุริยันมาจุติคืนพลังหยางแห่งความเป็นชายให้เรา……”
คนเจ็ดคนพนมมือคุกเข่าอยู่ที่พื้น ท่องขึ้นเบาๆ ด้านหน้าพวกเขามีพุทธไตรสุริยันอยู่บนโต๊ะบูชา ท่องเช่นนี้กลับไปกลับมา ทุกคนจึงค่อยลุกขึ้น
คนที่อยู่ด้านหน้าสุดหันมากล่าวเสียงแหลมเล็กว่า
“พุทธะได้ถ่ายทอดธรรมแล้วว่า เดือนหกเดือนเจ็ดนี้ หากเชื่อในพระองค์ก็จะมีวาสนาใหญ่ สร้างความดีความชอบใหญ่ได้จริง ความเป็นพลังหยางแห่งความเป็นชายก็จะงอกใหม่ได้”
ได้ยินกล่าวเช่นนี้ หกคนที่เหลือสีหน้าก็เผยแววยินดีอย่างที่สุด คนผู้นั้นกล่าวต่อว่า
“เมืองหลวงนี้มีมารร้ายใช้วิชามาร มีกลิ่นไอดำปกคลุมอยู่ เพราะว่ามีไอดำ พุทธะจึงไม่อาจมาจุติได้ ตอนนี้ทรงแผ่อานุภาพ ไอดำกำลังถูกทำลาย พอไอดำถูกทำลายก็จะเป็นวันที่โลกนี้พบกับความสุขแท้จริง”
กล่าวได้ซาบซึ้ง น้ำเสียงเบา ทุกคนท่องบ่นตาม คนผู้นั้นกล่าวต่อว่า
“พี่น้องทุกคนปกติตั้งใจบำเพ็ญ ตอนนี้เห็นว่าใกล้ได้เวลาแล้ว ทุกท่านต้องเตรียมพร้อมตลอดเวลา อย่าได้พลาดโอกาสสำคัญนี้ไป!!”
ทุกคนคำนับรับคำ ทุกคนพร้อมใจกันท่อง ‘บทสรรเสริญพระนาม’
พิธีทุกอย่างจบลง แต่ละคนก็ก้าวออกจากห้อง ทุกคนก้มหน้าเดิน เกรงว่าสีหน้ายินดีจะมีผู้ใดพบเห็น หลี่เฉวียนในฝูงชนเดินไปได้สองก้าว ก็ตบท้ายทอย กล่าวกับคนข้างๆ ว่า
“เหล่าหลิวเดี๋ยวช่วยไปแจ้งให้ข้าหน่อย ข้าจะออกไปซื้อขนมสักหน่อย กลับมาให้พวกขันทีน้องๆ ได้กินกันให้อร่อย”
เหล่าหลิวอึ้งไปก่อนจะพยักหน้า หลี่เฉวียนยิ้มเดินไปข้างหน้า เดินออกไปได้ไม่กี่ก้าว ทุกคนก็แยกกันไปคนละทาง กลับไปยังที่ทำงานของตน
หลี่เฉวียนเดินไปครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงฝีเท้าด้านหลังดังมา เหล่าหลิววิ่งเหยาะๆ มา หลี่เฉวียนรีบหยุดเดิน เหล่าหลิววิ่งมาหยุดตรงหน้าก่อนจะมองซ้ายมองขวา กระซิบว่า
“เสี่ยวหลี่ ท่านหัวหน้าแอบกำชับมาว่า หลังการถ่ายทอดพลังครั้งนี้ ผู้ใดออกจากวังหลวง จะต้องรายงานท่านหัวหน้าก่อน……ข้าแอบได้ยินว่าอาจถูกลงโทษด้วย อย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องดี เจ้าอย่าออกไปดีกว่า”
ได้ยินคำพูดเหล่าหลิว หลี่เฉวียนอึ้งไปก่อนจะรีบยิ้มกล่าวว่า
“โชคดีที่พี่หลิวตักเตือน ไม่เช่นนี้น้องคงเสียการงานเพราะความอยากกิน เช่นนั้นน้องขอกลับไปทำงานก่อน ไม่คุยต่อแล้ว วันหน้าค่อยมาดื่มกับพี่หลิว”
“ไยต้องเกรงใจเช่นนี้ ครั้งก่อนเกิดเรื่องไม้ไผ่เจ้าช่วยข้าเอาไว้ ไม่เช่นนั้นตอนนี้ข้าคงได้ไปอยู่หน่วยซักล้างแล้ว เราพี่น้องกัน เป็นเรื่องสมควร”
เหล่าหลิวผู้นี้เป็นคนของสำนักพระราชฐาน เรื่องเอาไม้ไผ่ในวังออกไปขายข้างนอกเอาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง หลี่เฉวียนรู้เรื่องนี้ระแคะระคายมาจากนอกวัง หลี่เฉวียนมิได้เอาเรื่อง หากให้คนไปหาซื้อมาจากข้างนอกเพิ่มเอง ขันทีหลิวรับน้ำใจนี้ พอได้เข้าร่วมบูชาพุทธะในอีกสองวันต่อมา พบกว่าสองคนล้วนเป็นชาวลัทธิไตรสุริยัน ความสัมพันธ์จึงยิ่งแนบแน่น
สองฝ่ายกล่าววาจากันตามมารยาท ก่อนจะแยกจากกัน พอหันหลัง สีหน้าหลี่เฉวียนก็เคร่งเครียดทันที ไม่อาจออกจากวังได้ ไม่อาจไปร้านขนมได้ เขาไม่มีช่องทางส่งข่าวออกนอกวังได้
แต่ได้ยินหัวหน้าสั่งการเช่นนั้น ระยะนี้ดีไม่ดีน่าจะเกิดเรื่องใหญ่ หลี่เฉวียนรู้สึกลำบากใจมาก แต่กลับไม่มีหนทางจะทำอันใดได้
************
“เจ้าบัดซบเอ๊ย เรื่องเล็กแค่นี้ก็ทำไม่ได้ เลี้ยงเจ้าไว้เสียข้าวสุกไหมเนี่ย? ลากตัวออกไป โบย 20 ที!!”
ในห้องรองแม่ทัพเมืองหลวงเซี่ยหยวนเฉิง เสียงคนจอกแจกจอแจ นายท่านเซี่ยอารมณ์ไม่ดี เมื่อครู่คนงานที่ไว้ใจที่สุดส่งน้ำชาเข้าไป ทำหกรดเล็กน้อยก็ถูกตบบ้องหูสองที ยังให้ทหารลากออกไปโบย
คนในจวนเซี่ยล้วนรู้ว่าเป็นเรื่องอันใด ตั้งแต่ท่านจางป่วยหนัก นายท่านก็ร้อนใจยิ่ง ทุกครั้งไปเยี่ยมท่านจางกลับมาก็จะระเบิดอารมณ์ ครั้งนี้ผู้ติดตามถูกลงโทษ ทุกคนก็ล้วนกังวลว่าตนเองจะโดนเช่นกัน
หากเป็นพ่อบ้านที่รู้งาน ไปบอกให้ทหารโบยเบาๆ ยังไปเชิญท่านหวังมา ท่านหวังผู้นี้เป็นบัณฑิตจวี่เหรินจากเมืองเป่าติ้ง เส้นทางการงานไม่เท่าไร เคยเป็นที่ปรึกษานายอำเภอ แต่ชอบอ่านตำราพิชัยสงคราม ก็พอมีกลยุทธ์อยู่บ้าง
9 ปีก่อน เซี่ยหยวนเฉิงยังเป็นนายกองเรืออยู่เมืองเป่าติ้ง ก็เป็นคนของเซี่ยหยวนเฉิงแล้ว เป็นคนที่เซี่ยหยวนเฉิงไว้ใจ เป็นคนวางแผนให้ และด้วยการวางแผนของท่านหวังนี้ ทำให้เซี่ยหยวนเฉิงค่อยๆ ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งรองแม่ทัพเมืองหลวงตำแหน่งยิ่งใหญ่นี้
เห็นท่านหวังมาถึง ทุกคนก็รู้สึกผ่อนคลายลง พ่อบ้านรีบเข้าไปรายงาน เซี่ยหยวนเฉิงรีบบอกให้รีบเชิญติดๆ กัน
ท่านหวังผิวดำคล้ำ รูปร่างสูง ไม่เหมือนพวกบัณฑิตจวี่เหรินอันใด หากเหมือนเป็นทหารในสังกัดเซี่ยหยวนเฉิงมากกว่า ว่ากันว่าหลังสอบได้ เพราะว่าหน้ำตาไม่เป็นที่สบายตา จึงได้ไม่ก้าวหน้าในวงการขุนนาง
พอเข้ามาถึง ก็เห็นเซี่ยหยวนเฉิงในชุดสามัญ กระดุมไม่ได้ติดครบทุกเม็ด สีหน้าร้อนใจนั่งอยู่บนเก้อี้ พอเห็นท่านหวังมาถึง ก็รีบอ้าปากจะพูด หากท่านหวังพูดขึ้นก่อนว่า
“ใต้เท้า ท่านจางตอนนี้ไม่อาจออกพบแขกได้แล้ว ใช้เงิน 600 ตำลึงซื้อข่าวจากสำนักหมอหลวง บอกว่าทนอีกได้ไม่เกินหนึ่งเดือนแล้ว”
ท่านจางกล่าวจบ เซี่ยหยวนเฉิงก็ราวกับหมดแรงล้มลงพิงเก้าอี้ ท่านหวังสีหน้าร้อนใจ เห็นเซี่ยหยวนเฉิงเช่นนี้ก็เข้าไปใกล้กล่าวว่า
“ใต้เท้า นี่ไม่ใช่เวลามาหมดแรง ข้ามีเรื่องบอกกล่าว!!”
ถูกท่านหวังเอ็ดเช่นนี้ เซี่ยหยวนเฉิงก็สะดุ้ง รีบตั้งตัวตรง ท่านหวังจ้องมองเซี่ยหยวนเฉิงกล่าวว่า
“ใต้เท้ายังจำหลายวันก่อนนายกองพันที่ถูกตีจนตายได้หรือไม่ใ”
“เจ้าหัวกระเทียมนั่น……”
“ใต้เท้า นายกองพันนั่นกล่าวไม่ผิด หากท่านจางไม่อยู่แล้ว ผู้ใดจะหนุนหลังใต้เท้า ใต้เท้าขัดกับอนุชาไทเฮา ไม่ว่าวันหน้าใครขึ้นแทนตำแหน่งท่านจาง หรือว่าจะมาช่วยใต้เท้าที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดกันแล้วล่วงเกินไทเฮากัน?”
“ใช่ว่าข้าคิด แต่เป็นท่านจาง……”
“ผู้ใดใส่ใจกันเล่า ใต้เท้า ผู้ใดจะกล้าเอาเรื่องพวกนี้มาใส่ตัวกัน?”
เซี่ยหยวนเฉิงอ่อนแรงยวบราวไร้กระดูก สิ้นหวังอย่างที่สุด ท่านหวังมองซ้ายมองขวา เข้าไปใกล้กระซิบว่า
“ใต้เท้า หากท่านจางจากไป อาจถูกปลด หรืออาจถึงตายได้ ใครจะรู้กัน ใต้เท้าอาจไม่กลัวตาย แต่ฮูหยินกับคุณชายจะทำเช่นไร?”
“ทำอย่างไรดี?”
รองแม่ทัพเซี่ยถามขึ้นอย่างหมดแรง ท่านหวังกล่าวน้ำเสียงยิ่งเบาราวกระซิบว่า
“ใต้เท้า หากมีคนรับประกันวาสนาใต้เท้าได้!”
ก่อนหน้าที่ท่านหวังกล่าวแต่สิ่งที่ทำให้เซี่ยหยวนเฉิงหมดแรงราวตกลงสู่เหวลึก อยู่ๆ กลับกล่าวเช่นนี้ เซี่ยหยวนเฉิงราวกับคว้าได้ฟางเส้นสุดท้าย ถลึงตาโตจ้องมอง ท่านหวังแทบกระซิบข้างหู เสียงเบายิ่งสองพยางค์
“อ๋องลู่……”