ตอนที่ 609 คืนหลั่งโลหิต
อ๋องลู่บนเตียงหายใจเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เห็นว่าหลับสนิทแล้ว หลินซูลู่เอียงหน้ามองไปยังกระดาษบุหน้าต่างที่อาบแสงสีแดง เล่าต่อว่า
“น้องรองและน้องสามเติบโตแล้ว สามารถเป็นเพื่อนข้าออกไปขอข้าวกินได้แล้ว น้องสี่และน้องห้ายังเล็กนัก ได้แต่ให้อยู่ในเพิงไปก่อน แม้ว่าเขาสี่คนไม่ได้ตัดทิ้ง แต่ก็ไม่มีหนทางไป เราพี่น้องห้าคนได้แต่เบียดกันอยู่ในเพิง ผ่านไปเช่นนี้สามเดือน น้องห้ามักชอบกล่าวกับข้าว่า อยากกินซาลาเปา ข้ารู้ เขาเห็นเมื่อวานมีคนถือซาลาเปาเดินผ่านหน้าไป อยากกินมาก แต่แค่กินอิ่มยังยาก จะไปหามาได้อย่างไร……”
*************
เมืองหลวงเกิดเพลิงไหม้หลายแห่ง ในเมืองหลวงไม่รู้มีคนมากมายเท่าไรที่เคยเห็นไฟไหม้วังหลวง ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด ในวังป้องกันแน่นหนา ปกติแค่มีเพลิงลุกเล็กน้อยก็ดับได้ทันที
แต่วันนี้ แสงไฟในวังลุกมาเกือบหนึ่งชั่วยามแล้ว และยังเกิดหลายจุด เสียงตะโกนสังหารจากโรงฝึกตอนเหนือและเสียงเคลื่อนกำลังองครักษ์ในวังนอกวัง คนที่อยู่ใกล้ละแวกนั้นย่อมได้เห็นกันชัดเจน
ในวังเกิดเรื่องแล้วเป็นแน่ หากต้องให้ขันทีและนางกำนัลจัดการเอง เพราะไม่อาจให้องครักษ์เข้าร่วมมากไป เพื่อป้องกันคนฉวยโอกาสก่อการร้าย
แต่เสียงล่าสังหารทางโรงฝึกเหนือนั่นมันอะไรกัน องครักษ์นอกวังเคลื่อนกำลัง เกิดเหตุใดกัน คนที่อยู่ใกล้วังหลวงล้วนได้ยินเสียงตะโกนรบราฆ่าฟันกันด้านใน
ที่น่าอันตรายก็คือ ในวังหลวงถึงกับมีการฆ่าฟัน และยังมีหลายแห่งเกิดเพลิงไหม้ แท้จริงแล้วเกิดเหตุจลาจลใดกัน ขุนนางใหญ่คิดอย่างไรราษฎรไม่รู้ แต่สิบปีมานี้ ราษฎรล้วนรู้ว่ามหาอำมาตย์จางจวีเจิ้งเป็นเสาหลักยันฟ้าผ่นดินหมิง เป็นเสาหลักแห่งแผ่นดิน ท่านจางจากไป แม้ว่าทุกคนแอบวิจารณ์กัน แต่แท้จริงแล้วในใจนั้นหวาดหวั่นไม่น้อย นี่แค่วันที่สองเอง ในเมืองหลวง ในวังหลวงก็เกิดเหตุวุ่นวายแล้ว สถานการณ์เช่นนี้ ทำให้ทุกคนระส่ำระสายไร้หนทางกันไปหมด
หากเมื่อประสบเหตุจลาจล ย่อมมีหลายคนคิดฉวยโอกาส มักมีพวกจรจัดคิดจะวางเพลิงปล้นชิง พื้นที่จลาจลของพวกนิรนาม ทหารองครักษ์เสื้อแพรและเจ้าหน้าที่ศาลซุ่นเทียนเริ่มเข้าเคลียร์พื้นที่แล้ว แต่ก็มีพื้นที่ไม่อาจไปถึง พวกจรจัดบางคนก็รวมตัวกันก่อการร้ายแล้ว
หลี่ว์วั่นไฉแห่งศาลซุ่นเทียนยามนี้ไม่อยู่ในจวน หากอยู่ประจำการที่ศาลซุ่นเทียน หน้าประตูศาล มีเวทีสูงต่อซ้อนกันขึ้น มีคนอยู่ด้านบนมองไปรอบทิศ รายงานสถานการณ์ลงมาด้านล่าง
หลี่ว์วั่นไฉสีหน้าเคร่งเครียด มองไปยังวังหลวงเป็นระยะ แสงไฟทางนั้นเห็นชัด หลี่ว์วั่นไฉส่ายหน้า พัดในมือก็ตีเข้ากับฝ่ามืออย่างแรง กล่าวน้ำเสียงเข้มว่า
“เจ้าหน้าที่สำนักรักษาความสงบทุกหน่วยอยู่ทีนี่แล้วหรือยัง?”
“เรียนใต้เท้า เจ้าหน้าที่สำนักรักษาความสงบทั้งหมด 476 คน นอกจากคนแก่และคนอ่อนแอแล้ว ล้วนรอรับคำสั่งอยู่ที่นี่แล้ว!!”
ชายผู้หนึ่งประสานมือรายงาน หลี่ว์วั่นไฉพยักหน้า หันหน้าไปยังคนสิบกว่าคนอีกทางกล่าวว่า
“องครักษ์เสื้อแพรในเมือง และคนงานอารักขาจวนคหบดี คนศาลอาญา ล้วนมีกำลังคน แต่ข้าใช้งานได้มีเพียง 476 คนเท่านั้น สองกองร้อยองครักษ์เสื้อแพรถนนทักษิณและคนของศาลซุ่นเทียนกำลังปราบปรามพวกนิรนามอยู่ เมืองหลวงเกิดเหตุหลายจุด ขอให้ทุกท่านรีบนำคนไปปราบปราม ไม่เช่นนั้นคงไม่ทันการแล้ว!”
ข้างๆ เขานั้นเป็นถานปิงและทหารติดตามอีกสิบกว่านาย เขาทุกคนอยู่บนหลังม้า ได้ยินวาจานี้ ถานปิงก็คำนับกล่ววว่า
“ขอใต้เท้าหลี่ว์วางใจ พวกจรจัดในเมืองก็แค่หมูหมากาไก่ จัดการได้หมด!!”
“ฝากด้วย!”
หลี่ว์วั่นไฉคำนับอย่างนอบน้อม ถานปิงขึ้นม้าพยักหน้า ยกทวนยาวในมือขึ้น ตะโกนดังว่า
“ทุกท่าน ปฏิบัติการคืนนี้ ไม่อาจหนีเอาตัวรอด พวกหนีกลางคันมีความผิดดังผู้ก่อการ สังหารสิ้น เข้าใจไหม?”
เจ้าหน้าที่สำนักรักษาความสงบด้านหลังทุกคนเริ่มกระสับกระส่าย หากอยู่ใต้สายตาบังคับของทหารติดตามถานปิงสิบกว่านาย ก็จำต้องตะโกนดังไม่พร้อมเพรียงกันว่
“เข้าใจแล้ว!!”
ทวนยาวในมือถานปิงสะบัดขึ้น ขบวนกองกำลังใหญ่ก็เริ่มมุ่งไปยังเขตทักษิณ ทางนั้นเกิดเริ่มหนักมาก
*************
“ข้าน้อยมันหมูบดบังจิตใจ ถูกคนหลอกใช้จึงได้ก่อเรื่องไร้ศีลธรรมเพียงนี้ ขอใต้เท้าทุกท่านโปรดไว้ชีวิต ไว้ชีวิตด้วย!”
คนมารอบสองเป็นองครักษ์สี่นายและขันที 11 คน คิดว่าตำหนักพระสนมเอกเจิ้งไม่เตรียมการป้องกัน พอเข้ามาก็เห็นพวกหวังทงกำลังรออยู่
สังหารเรียบราวกับฟันแตงหั่นผัก เหลือองครักษ์คนสุดท้ายที่เริ่มลนลานแล้ว โยนดาบในมือทิ้งพยายามร้องขอชีวิต ดาบพัวเตาของหวังทงเต็มไปด้วยเลือด กำลังหยดติ๋ง หวังทงสลัดทิ้ง ถามว่า
“ยังมีอีกกี่คนที่ก่อการ ในวังมีคนเท่าไรที่จะมาที่นี่อีก!!”
“ข้าน้อย ข้าน้อยไม่ทราบ รับแต่เงิน คนที่นำข้าน้อยมาก็ตายไปแล้วด้วย!!”
องครักษ์โขกศีรษะไปร้องขอชีวิตไป หวังทงไม่สนใจ เข้าไปเงื้อดาบสังหารทิ้งทันที สู้ไปสองระลอก ทุกคนไม่รู้สึกใช้แรงไปมากเท่าไร กำลังเก็บกวาดจัดการเตรียมพร้อมต่อ
“พี่หวัง เสียงต่อสู้ด้านนอกเบาลงแล้ว!”
ลี่เทาอยู่ๆ เอ่ยขึ้น หวังทงขมวดคิ้วตั้งใจฟัง เสียงด้านนอกเริ่มเบาลงแล้วจริงๆ หลี่หู่โถวข้างๆ ถอนหายใจยาว กล่าขึ้นอย่างเหนื่อยหน่ายว่า
“ยังคิดว่าจะเหน็ดเหนื่อยอันใด ก็แค่ยืดเส้นยืดสายนิดเดียวเอง!!”
หวังทงเริ่มได้คิด ส่ายหน้าอย่างแรงกล่าวว่า
“ไม่สิ ในวังกองอารักขากระจัดกระจาย การจะรวมตัวกันมาปราบจลาจลต้องใช้เวลา จุดหมายของพวกโจรคือฝ่าบาท ก่อจลาจลวางเพลิง ทำให้คนวุ่นวาย ควรจะถูกปราบไปได้พอควรแล้ว โจรที่เหลือก็น่าจะมารวมตัวกันทางนี้แล้ว! เดี๋ยวการต่อสู้แท้จริงคงได้เริ่มต้นแล้ว……”
ยังกล่าวไม่ทันจบ เสียงฝีเท้ามากมายๆ รอบๆ ก็เริ่มพิสูจน์สิ่งที่หวังทงกล่าวมา 10 กว่าคนรอบๆ ก็เริ่มสีหน้าแปรเปลี่ยน หลายคนมองไปทางหวังทงอย่างไม่นัดหมาย สีหน้าหวังทงนิ่งดังเดิม ขยับเกราะให้แน่น กล่าวขึ้นน้ำเสียงเข้มว่า
“มองข้าทำไม พวกเราไม่ใช่ว่ามาจับโจรหรือ?”
“ต้าเหอ ไม่ต้องยิงธนู ปล่อยพวกมันปีนเข้ามา!!”
หวังทงตะโกนสั่ง ก็ได้ยินเสียงประตูดัง ‘ตึง’ สนั่น คนด้านนอกเริ่มพังประตู แต่หากคิดจะชนพังย่อมต้องเป็นเรื่องยุ่งยาก ไม่เพียงแต่ใช้ไม้ยันไว้แน่นหนา ยังมีโต๊ะตัวใหญ่และเครื่องเรือนหลายชิ้นกันไว้อีก ไม่มีไม้ท่อนใหญ่แหลมคม ย่อมไม่อาจชนพังได้ ประตูด้านหลังก็เช่นกัน ที่นั่นก็ยันไว้แน่นหนาเช่นกัน เมื่อครู่นำคนของพระสนมเอกเจิ้งไปรวมตัวกัน ให้ขันทีร่างใหญ่ขนเครื่องเรือนไปยันประตูไว้แล้ว
เครื่องเรือนพวกนี้ทำจากไม้จันทร์หอมชั้นดีและไม้พะยูง ยังได้ช่างฝีมือดีจากสำนักเครื่องเรือนหลวงทำขึ้น วางไว้ด้านนอกไม่รู้ว่าจะขายได้เงินเท่าไร แต่ตอนนี้คงได้แต่เอามาเป็นของยันประตูแทนแล้ว
“ปีนขึ้นไป ๆ ไปด้านหลัง ไปทางซ้าย ทางขวา ปีนเข้าไปด้านใน!!”
หลังชนประตูหลายรอบ คนด้านนอกก็ล้มเลิกความตั้งใจ เริ่มตะโกนสั่งใหม่ พวกเขารู้ว่าเวลาไม่อาจรอช้าได้ จำต้องเร่งให้เร็วที่สุด
กำแพงกลายเป็นบันไดปีนแทน ทุกคนปีนข้ามไปได้ พอถึงพื้นก็ยังต้องใช้เวลาตั้งตัว ยามนี้รอคนหวังทงมาถึงก็สามารถสังหารได้โดยง่าย
ด้านล่างสวมเกราะเหล็ก ถือทวนยาว ยังฝึกมาอย่างโชกโชน พออีกฝ่ายลงถึงพื้นย่อมถูกสังหารทิ้งทันที แต่บรรดาขันทีก็ยังร้องเสียงแหลมปีนข้ามมาไม่หยุด
“ไม่สิ ด้านหน้ามีแต่พวกขันที ไม่มีองครักษ์!”
หวังทงได้สติขึ้นมาทันที ได้ยินเสียงร้องด้านหลัง มีคนปีนกำแพงสี่ด้านบุกเข้ามาด้านในแล้ว เสียง ‘โครม’ ดังขึ้นไม่หยุดจากในห้อง เป็นคนที่บุกเข้ามาพังประตูหน้าต่าง ไม่นานก็ได้ยินเสียงคนตะโกนดังว่า
“ไม่อยู่ทางนี้!!” “ไม่อยู่ทางนี้เหมือนกัน!!!”
บรรดาขันทีนางกำนัลในตำหนักที่รวมตัวกันอยู่ในสองห้องก็ยันไว้สุดฤทธิ์ ขันทีร่างใหญ่ด้านในดึงเอาโต๊ะเก้าอี้มาเป็นอาวุธ ในห้องเตรียมป้องกันตนเอง การจะเปิดประตูหน้าต่างออกนั้นต้องใช้เวลาและแรงกำลังไปไม่น้อย แม้ว่าเปิดทางได้ พอบุกเข้าไปจะถูกดันออกมา คิดจะเข้าไปก็ยากยิ่ง
“ทางนี้เปิดไม่ออก ทางนี้มีคน!!”
ได้ยินเสียงคนตะโกนดัง คิดว่าน่าจะพบห้องที่คนในตำหนักซ่อนตัวอยู่ แต่พวกหวังทงกลับไม่ขยับ แสดงให้เห็นว่าสละคนพวกนี้ไปก็ไปเป็นไร ขอเพียงโอรสสวรรค์ปลอดภัย
ไม่มีคนปีนเข้ามาจากลานด้านหน้าได้ เสียงเคลื่อนไหวในวังเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ยังมีเสียงพังประตูหน้าต่างไม่หยุด ในเวลาอันสั้นนี้ ทุกคนเหมือนลืมการคงอยู่ของลานด้านหน้า ทุกคนล้วนเร่งค้นหาในตำหนัก
“ไม่สิ!! ด้านหน้ามีทหารชุดเกราะ เจ้าว่านลี่ต้องอยู่ที่นั่น ทุกคนไปหาทางนั้น!”
ในที่สุดก็มีคนได้สติ ทุกคนที่ตามมาก็กรูกันไปตามคำสั่ง หวังทงตวาดดัง
“พลทวนยาวยืนแถวหน้ากระดาน ดาบสั้นรอรับมือ พลธนูคอยเสริมช่องว่าง ประตูห้องเป็นเขตแดน ลุย!!”
ลี่เทา หลี่หู่โถวกับอีกสามคนในมือมีทวนยาวยืนเคียงบ่ากันเป็นแถว มีคนโยนธนูขึ้นไปด้านบนคาน แล้วปีนขึ้นไปอย่างเร็ว หวังทงกับซุนซิงถือดาบและขวานยืนอยู่สองข้าง ยังมีอีกคนถือทวนขวานพัดยืนอยู่บนขั้นบันได
“สังหารมังกร ฟื้นคืนพลังหยางเรา ฟื้นคืนพลังหยางเรา!!”
เสียงตะโกนเอะอะค่อยๆ พร้อมเพรียง มีคนตะโกนดังว่า
“ผู้ใดได้ต้องโลหิตมังกรคนแรกย่อมมีวาสนาอันยิ่งใหญ่ที่สุด!!”
ได้ยินเสียงตะโกนพร้อมเพรียง คนก็กรูกันออกมา เป็นดังที่หวังทงคิดไว้ กรูออกมานั้นหน้าสุดเป็นขันที หน้าสุดพวกนั้นไม่สนใจว่าจะเสียแรงไปมากเท่าไร วิ่งกันมาอย่างบ้าคลั่ง ยกดาบยกไม้เงื้อขึ้น สีหน้าบิดเบี้ยว ตะโกนบ้าคลั่งบุกเข้ามาในลานด้านหน้า
กระถางไฟในลางเริ่มมอดลงบ้างแล้ว แต่ก็พอเห็นศัตรูได้ชัด เสียงลูกธนูแหวกอากาศดังมา หากถูกเสียงตะโกนบ้าคลั่งของบรรดาขันทีกลบลง คนที่บุกออกมาคนแรก มีสองคนเหมือนว่าถูกค้อนฟาดอย่างแรง หงายหลังกระเด็นไปทันที หน้าผากมีธนูปักอยู่
เพื่อนกันตายไปไม่ได้ทำให้เสียงฝีเท้าช้าลงแม้แต่น้อย พวกเขาเอาแต่บุกขึ้นหน้า ไม่บุกขึ้นหน้าก็จะถูกคนด้านหลังผลัก หรืออาจถูกฟันแทน!
“ฆ่ามัน!!”
หวังทงตวาดลั่น ไม่รู้ว่าคนอื่นได้ยินหรือไม่ เงื้อดาบฟันไปข้างหน้า อีกฝ่ายมีไม้ไผ่ปลายแหลม ถึงกับความยาวไม่พอ ถูกหวังทงฟันลงกลางลำตัว พวกลี่เทาก็เข้ามาด้านหน้าพร้อมกัน ทวนยาวในมือแทงออกไป แทงเดียวถึงตาย!!
ทีเดียว ตายไปเก้า แต่ต่อมานั้นก็ยิ่งมากกว่านั้น!!!