ตอนที่ 614 ไล่เรียงความชอบความผิดให้กระจ่าง
พระอาทิตย์ขึ้นสูงมากแล้ว เมืองหลวงยังเป็นพื้นที่ปิดกั้นแน่นหนา
เมื่อคืนเกิดจลาจล คนส่วนใหญ่ในเมืองหลวงแม้ไม่ได้เห็น แต่ก็ได้ยินเสียงสังหารด้านนอก แม้ว่าอยู่ในบ้านตนก็ย่อมได้เห็นแสงไฟด้านนอกแต่ละแห่ง
เดิมก่อนฟ้าสว่าง ใต้เท้าที่จะเข้าวังมาประชุมขุนนางก็ต้องไปรอกันที่ประตูอู่เหมินแล้ว หากเมื่อคืนและย่ำรุ่งมีเจ้าหน้าที่มาตะโกนบอกว่า ให้ทุกคนปิดประตูอยู่แต่ในบ้าน ให้ดูแลบ้านตนให้ดี ไม่ได้รับการแจ้งก็ห้ามออกมา
พอหลังจากเวลาอาหารเช้า ในวังก็มีขันทีนำราชโองการมาเรียกตัว คณะเสนาบดี เสนาบดีหกกรม หัวหน้าสำนักตรวจสอบ หัวหน้าหน่วยต่างๆ ……คนที่มีตำแหน่งพอจะเข้าร่วมประชุมทั้งหลายล้วนได้รับราชโองการให้เข้าวังไปประชุม ขุนนางพวกนี้ระหว่างทางก็ได้แต่มองขุนพลที่มาจากตระกูลชนชั้นสูงบนหลังม้า มีคนคิดนับดู ก็พบว่าเกือบจะเป็นขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งเมืองหลวง
เมืองหลวงที่เคยเป็นเมืองอู้ฟู่ยิ่งใหญ่ หากวันนี้กลับเหมือนป้อมชายแดน ด้านนอกมีทหารล้อมไว้ ยังมีแผงรั้วหนามกั้นเป็นแนว อาวุธในมือทหารเตรียมพร้อมป้องกันแน่นหนา
องครักษ์ในชุดเกราะด้านข้าง แม้องครักษ์ไม่มาก แต่ปกติสวมชุดไร้เกราะ ยามนี้ท่าทางจึงดูยิ่งน่าเกรงขาม วันนี้ล้วนอยู่ในชุดพร้อมรบ อาวุธสั้นยาวในมือ ลาดตระเวนเข้มงวด
บรรดาขุนนางเข้าวังก็ล้วนใจเต้นไม่เป็นจังหวะ เมื่อคืนเกิดเหตุจลาจล หรือว่าฝ่าบาทเกิดเรื่อง วันนี้จึงให้ทุกคนเข้าวังไปเพื่อเลือก……
พอถึงตำหนักเฉียนชิงกงเห็นสีพระพักตร์ว่านลี่บนบังลังก์มังกรแล้ว จึงได้วางใจลงได้ ฮ่องเต้ปลอดภัย ก็คงไม่มีการเปลี่ยนแปลงอันใดมากนัก ยังคงดำเนินทุกอย่างไปตามปกติ
เรียกประชุมขุนนาง ณ ตำหนักเฉียนชิงกงมักเป็นการประชุมใหญ่ ขุนนางถวายบังคมเข้าเฝ้าฮ่องเต้ที่ปกติเดือนละ 3 ครั้ง ปกติฮ่องเต้ก็จะออกประตูเฟิ่งเทียนเพื่อรับการถวายบังคมจากบรรดาขุนนางทั้งหลาย หากจะหารือราชกิจแผ่นดินกันที่หอประชุมเหวินเหยียนเก๋อ วันนี้เหมือนเป็นการทำลายธรรมเนียมที่มีมา แต่เพราะเกิดเรื่องไม่คาดฝัน ผู้ใดก็ไม่อาจสนใจอันใดอีก
“เมื่อคืนในวังมีโจรชั่วก่อการร้าย ในเมืองหลวงก็เกิดความไม่สงบ เราไม่เป็นไร ไทเฮาก็ไม่เป็นอันใด ในวังปลอดภัยดี!”
ยังไม่ทันรอให้ขันทีประกาศ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ตรัสน้ำเสียงเยียบเย็นขึ้นก่อน พอตรัสจบ บรรดาขุนนางต่างก็พากันโล่งใจ ถวายบังคมสรรเสริญกันพร้อมเพรียง
“เหตุจลาจลเมื่อคืน จางซื่อเหวยนำผู้แทนพระองค์ถือราชโองการออกไปเคลื่อนกำลังเข้าเมือง เป็นความดีความชอบใหญ่ เซินสือหังก็ออกไปรวบรวมชนชั้นสูงในเมืองหลวงให้ร่วมกันส่งคนออกมาปราบจลาจล มีความกล้าและวิธีการดี ก็เป็นความชอบใหญ่”
“กระหม่อมหวั่นมีภัย โชคดีที่ฝ่าบาททรงปลอดภัย มิบังอาจรับความดีความชอบพะยะค่ะ!”
จางซื่อเหวยและเซินสือหังต่างก้าวออกมาคุกเข่าลง บรรดาขุนนางที่เอาแต่จ้องมองฮ่องเต้ว่านลี่ก็หันไปมองจางซื่อเหวยและเซินสือหังที่ดูอิดโรย แม้ว่าอยู่ในชุดขุนนาง หากล้วนเปรอะเปื้อนฝุ่น
มีคนก้มหน้าลง มีคนสบตากัน เดิมคิดว่าทั้งสองล้วนเป็นศิษย์มหาอำมาตย์จางจวีเจิ้ง จางจวีเจิ้งจากไป พวกเขาสองคนย่อมเสื่อมอำนาจ คิดไม่ถึงว่ากลับสร้างความชอบใหญ่ ดูท่าสถานะเขาสองคนคงไม่มีผู้ใดแตะต้องได้ มหาอำมาตย์และรองอำมาตย์ก็คงไม่ต้องคิดแล้วว่าจะเป็นผู้ใด
ฮ่องเต้ว่านลี่สีพระพักตร์เยียบเย็นพยักหน้า ตรัสว่า
“มีความชอบก็มีความชอบ เราย่อมพระราชทานรางวัล ท่านสองคนลุกขึ้นได้!”
ทั้งสองคนลุกขึ้น เขาสองคนอยู่ในราชสำนักมานานปี การแสดงธรรมเนียมย่อมไม่มีผิดพลาด แต่พอลุกขึ้น จางซื่อเหวยก็ยังอดแอบมองไปยังเซินสือหังไม่ได้ เซินสือหังกลับก้มหน้านิ่ง
“ท่านจางไปแล้ว เรายังคงเศร้าเสียใจ ในวังก็เกิดการเหตุใหญ่เช่นนี้ ในเมืองหลวงก็เกิดเหตุใหญ่เช่นกัน หวงเซิน เจ้าเป็นเจ้ากรมใหญ่ศาลซุ่นเทียนอย่างไรกัน?”
เจ้ากรมใหญ่ศาลซุ่นเทียนก็แค่ระดับสาม หากเมืองหลวงเกิดเหตุใหญ่เช่นนี้ย่อมเป็นความรับผิดชอบของเจ้ากรมใหญ่ศาลซุ่นเทียน หวงเซินยืนอยู่ในแถวขุนนางสีหน้าซีดเผือด ได้ยินพระดำรัส ก็ตัวโงนเงน แต่ก็ยังคงรีบคุกเข่าลงอย่างเร็ว โขกศีรษะรับผิดว่า
“เหตุการณ์จลาจลเมื่อคืน กระหม่อมมีความผิดที่ตรวจพบล้าช้า ขอทรงลงอาญา!”
เห็นจ้ากรมใหญ่ศาลซุ่นเทียนหวงเซินคุกเข่าลง ฮ่องเต้ว่านลี่แค่นเสียงฮึ ไม่สนใจต่อ หันไปตรัสเสียงเย็นเยียบต่อว่า
“องครักษ์เสื้อแพรเป็นหูเป็นตาแทนฮ่องเต้ ตรวจตรารอบทิศ เมื่อคืนเกิดเหตุวุ่นวายขนาดนั้น องครักษ์เสื้อแพรมีนายกองพันมากมาย ทหารก็มากมาย ไปไหนกันหมด เมื่อคืนปราบจลาจล ในเมืองก็เป็นเจ้าหน้าที่ศาลซุ่นเทียนและนายกองร้อยสองนายจากถนนทักษิณ ยังมีเซี่ยงเฉิงป๋อตระกูลเฉินกับคนจากตระกูลถัง หลิวโสวโหย่ว!!”
ชื่อสุดท้ายที่เอ่ยขึ้น ฮ่องเต้ว่านลี่ตวาดสุรเสียงดัง ผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรยามเข้าประชุมถือเป็นหัวหน้าขุนนางกำลังฝ่ายบู๊ สีหน้าหลิวโสวโหย่วเผือดลง ได้ยินรับสั่งตวาดถาม แม้แต่แรงกำลังจะก้าวออกมาก็ไม่มี ได้แต่คุกเข่าลง น่าจะเรียกว่าอ่อนยวบทั้งตัวจะถูกกว่า
เป็นถึงขุนนางบู๊ หากไม่มีความกล้าแม้เพียงนิด สายพระเนตรฮ่องเต้ว่านลี่ไม่พอพระทัย คนอื่นๆ ในที่ประชุมก็ล้วนมองมาด้วยสายตาดูแคลน
หลิวโสวโหย่วเกิดเหตุเช่นนี้ ทุกคนก็รู้สึกสมควร ตอนที่จางจวีเจิ้งยังอยู่ รายงานลับองครักษ์เสื้อแพรล้วนรายงานแก่จางจวีเจิ้งก่อนจะส่งเข้าวัง จางจวีเจิ้งกุมอำนาจสำนักองครักษ์เสื้อแพร รู้ข่าวทุกเรื่อง เรื่องลับทั้งหมดของบรรดาขุนนาง ย่อมได้เปรียบในการคุมอำนาจราชสำนัก
คนเช่นนี้โชคร้าย ทุกคนย่อมยินดี คนที่ยินดีกับความโชคร้ายของเขาล้วนไม่น้อย ฮ่องเต้ว่านลี่กวาดสายพระเนตรมองมา ตรัสสุรเสียงเยียบเย็น
“ไม่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยไร้สามารถ มีเจ้าอารักขา เราไม่อาจวางใจได้ เกรงว่ากังวลไปก็คงไม่ทันการแล้ว เห็นแก่ที่เจ้าเป็นลูกหลานขุนนางสร้างความชอบมา ก็จะปลดจากตำแหน่ง ให้กลับบ้านไปปิดประตูสำนึกผิดละกัน!!”
ตำแหน่งที่สำคัญระดับนี้ ล้วนต้องให้คณะเสนาบดีลงความเห็นคัดเลือก สำนักส่วนพระองค์ลงชาดอนุมัติ แต่ยามนี้ผู้ใดจะมาคิดเรื่องพวกนี้ จางซื่อเหวยก้าวออกมาถวายคำนับรับพระบัญชาก่อนจะทูลว่า
“กระหม่อมน้อมรับพระบัญชา!!”
โชคชะตาหลิวโส่วโหย่วนับว่าได้ถูกตัดสินแล้ว หลิวโสวโหย่วอ่อนแรงราวกับไร้กระดูก ล้มพับลงกับพื้นทันที
เสนาบดีกรมปกครองคนใหม่เหลียงเมิ่งหลงสบตากับเซินสือหัง ก่อนจะสบตาจางซื่อเหวย จากนั้นก็ก้มหน้าลง ทุกคนในที่ประชุมล้วนมีท่าทีเช่นเดียวกัน
จางซื่อเหวยเป็นเพียงแค่รองอำมาตย์ในนามที่ยังไม่แต่งตั้ง วันนี้ออกหน้าออกตาไปหมด หรือตำแหน่งมหาอำมาตย์นี้จะเป็นเขาแล้ว? ในใจทุกคนสงสัยก็ส่วนสงสัย แต่ก็ไม่มีผู้ใดโง่พอที่จะเอ่ยแสดงความสงสัยออกมา
ฮ่องเต้ว่านลี่ประทับนั่งกวาดสายพระเนตรมอง ก็ไม่เห็นมีผู้ใดสงสัยอันใด จึงตรัสว่า
“องครักษ์หน้าพระที่นั่งเฉาอี้เมื่อคืนอารักขาเรามีความชอบ นับว่ามีความชอบต่อแผ่นดิน มีความชอบต่อบรรพชนแห่งราชวงศ์หมิงเรา แต่งตั้งบรรดาศักดิ์ให้เป็นอี้หย่งป๋อ คณะเสนาบดีใหญ่หารือแล้วก็รีบนำเสนอขึ้นมาโปรดเกล้าก็แล้วกัน!!”
ทุกคนในที่ประชุมล้วนน้อมรับพระบัญชา ทุกคนรู้สึกแปลกไปจากปกติ เมื่อครู่คำสั่งทั้งหมดตัดสินพระทัยรวดเร็ว ไม่ให้ผู้แสดงความเห็น แต่พอคำสั่งแต่งตั้งเฉาอี้ กลับให้หารือกันก่อน หากนำมากล่าวในที่นี้ ก็น่าจะเป็นความเห็นชอบจากไทเฮาและเฝิงเป่า ท่าทีเช่นนี้ควรค่าแก่การใคร่ครวญ
“เจ้าหย่วนเต๋อแห่งกรมอาญา! อู๋สุยแห่งศาลอาญาใหญ่!”
ได้ยินเสียงเรียกขานจากฮ่องเต้ว่านลี่สุรเสียงเยียบเย็น สองคนที่อยู่ในหมู่ขุนนางก็พากันตัวสั่น รีบออกมาคุกเข่าเบื้องหน้า เจ้าหย่วนเต๋อเป็นเสนาบดีกรมอาญา อู๋สุยเป็นเจ้ากรมฝ่ายซ้ายศาลอาญาใหญ่ ล้วนเป็นขุนนางระดับสูงที่ทำหน้าที่ตัดสินลงโทษอาญา ฮ่องเต้ว่านลี่กวาดตามองก่อนตรัสว่า
“ในและนอกเมืองหลวงเมื่อคืนเกิดเหตุพวกนักเลงหัวไม้อาศัยจังหวะชุลมุนก่อเหตุปล้นฆ่า พวกโจรก่อการเสียหายได้ไม่เท่าไร หากพวกเขากลับก่อการได้ไม่น้อย อย่าได้ปล่อยให้หนีไปได้แม้แต่คนเดียว อย่าได้สังหารขาดตกไปแม้แต่คนเดียว!!”
พระดำรัสรุนแรงกลิ่นอายสังหาร หากเป็นเมื่อก่อน ย่อมมีขุนนางใหญ่ออกมาทัดทาน บอกว่าให้เมตตาเป็นอันดับแรก ยามนี้กลับไม่ผู้ใดอยากออกมารนหาความโชคร้าย ทุกคนได้แต่รับพระบัญชา
ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสรีบร้อนมามากมาย คอเริ่มแห้ง ยกพระหัตถ์ไปด้านข้าง ขันทีน้อยรับถวายพระสุธารส ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงจิบไปคำหนึ่ง ก็ขมวดคิ้วมุ่น โยนถ้วยพระสุธารสลงบนหน้าที่ประทับ เสียงดังแตกกระจาย ขันทีน้อยที่ส่งพระสุธารสถวายตกใจรีบคุกเข่าลงโขกศีรษะทันที ไม่รู้ว่าทำผิดอันใด ตอนส่งให้นั้นก็อุ่นกำลังดี เหตุใดจึงทรงโยนลงพื้นกัน
ตอนนี้หากทำให้โอรสสวรรค์กริ้วหนัก ก็เท่ากับรนหาที่ตาย น้ำชาและถ้วยกระเบื้องแตกกระจายอยู่หน้าบรรดาขุนนาง ทุกคนได้แต่ก้มหน้าทำเป็นไม่เห็น
“เลิกประชุม!!”
ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ได้ทำอันใดต่อ หากลุกขึ้นหันหน้าเข้าวังไปทันที ขันทีร้องส่งเสด็จยังอึ้งอยู่ รอจนฮ่องเต้ออกไป จึงได้ตะโกนดังร้องส่งว่า ‘เลิกประชุม’ บรรดาขุนนางใหญ่สบตากัน ล้วนรักษาท่าทีนิ่งเงียบ ไม่มีผู้ใดแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ล้วนเงียบก่อนจะสลายตัวกลับ
ฮ่องเต้ว่านลี่ที่ต้องออกประชุมขุนนาง เมื่อคืนไม่ได้บรรทมทั้งคืน ยังต้องตกใจตลอดคืน ยามต้องแสงตะวันแยงตาก็ย่อมต้องยกมือขึ้นบัง ความวุ่นวายเมื่อคืนมากระจุกกันอยู่ ณ ตำหนักพระสนมเอกเจิ้ง ตำหนักเฉียนชิงกงกลับสงบเงียบ แม้ว่าข้างนอกมองมาแล้วก็ปกติดี แต่กลิ่นควันดินปืนและกลิ่นคาวเลือดผสมผสานกันแสบจมูกยิ่งยังคงอยู่ เตือนให้ฮ่องเต้ว่านลี่รำลึกถึงเหตุการณ์เมื่อวานที่ทรงอยู่ในระหว่างความเป็นความตายมา
ทรงหยุดเดิน ขันทีด้านหลังก็หยุดตาม จางเฉิงตามเสด็จ หากเจ้าจินเลี่ยงอยู่จัดการลานด้านหน้า หลายปีนี้ขันทีคนสนิทฮ่องเต้ว่านลี่ก็มีเพียงเขาสองคน คนที่ตามเจ้ามาใหม่มาคิดจะก้าวออกมาเอาพระทัยก็เกรงว่าจะเกินหน้า ได้แต่หลบอยู่ด้านหลัง
รอจนฮ่องเต้ว่านลี่โบกพระหัตถ์ จึงมีคนรีบเตรียมเกี้ยวมา มีคนเข้ามาทูลถามว่า
“ฝ่าบาท เสด็จห้องทรงอักษรหรือ?”
“กลับตำหนักพระสนมเอกเจิ้ง……”
**************
“……หลินซูลู่ตายในห้องบรรทมอ๋องลู่ ซวงสี่ขันทีคนสนิทหลินซูลู่ที่สวมเกราะพร้อมอาวุธตายอยู่หน้าที่ประทับของฝ่าบาทเมื่อคืน ……จากคนรอดชีวิตเมื่อคืนเล่าว่า หลินซูลู่ก็คือหัวหน้าลัทธิไตรสุริยัน คนในและคนนอกเรียกเขาว่า นายท่าน……”
ในตำหนักฉือหนิงกง เฝิงเป่าก้มหน้าเล่าเรื่องเมื่อคืน กล่าวถึงตรงนี้ก็อดไม่ได้ยกมือเคาะหว่างคิ้ว ในห้องมีเพียงไทเฮาฉือเซิ่ง เฝิงเป่า จางเฉิงและจางจิงสี่คน สีหน้าไม่สู้ดีนัก ไทเฮาฉือเซิ่งสีหน้าบึ้งตึง เฝิงเป่ามองทุกคนในห้อง กระแอมไอ กล่าวต่อว่า
“มีคนบอกว่า ขอเพียงฝ่าบาท……อ๋องลู่ก็จะได้ขึ้นตำแหน่ง ทุกคนจะได้มีวาสนา……”
ไทเฮาฉือเซิ่งตรงกลางห้องส่งเสียงแค่นฮึ เฝิงเป่ารีบก้มหน้าไม่กล่าวอันใดต่อ ตามปกติ ไทเฮาฉือเซิ่งต้องกริ้วหนัก แต่สักครู่หนึ่ง ก็ได้ยินเสียงถอนหายใจยาว