Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 617

ตอนที่ 617 ในวังหลวง สุขทุกข์เศร้าครบรส

โจวอี้เล่าข่าวของอ๋องลู่จบ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็เงียบไปครู่หนี่ง บรรดาคนในห้องย่อมรู้ตัวไม่กล่าวอันใด ผ่านไปครู่หนึ่ง ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ตรัสขึ้นเบาๆ ว่า

“ตอนอ๋องลู่ยังเล็ก เราชอบพาไปเล่นที่สุด เขาก็ติดเราแจ หัวเราะเฮฮา เดินยังไม่มั่นคง ก็วิ่งตามเราอยู่ด้านหลัง……ตอนนั้นคงในวังก็กลัวจะถูกลงโทษที่ทำเขาล้ม……”

ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสไม่กี่คำ สุรเสียงก็เบาลง ต่อมาก็ส่ายหน้า ไม่ตรัสอันใดต่อ โจวอี้ทิ้งมือข้างกายยืนเงียบ

หวังทงกับหลี่หู่โถวสบตากัน ฮ่องเต้ว่านลี่นวดขมับ เปิดคำถามใหม่ ถามหวังทงว่า

“หวังทง ท่านจางจากไป หัวหน้าคณะเสนาบดีใหญ่ก็ว่างลง เจ้ามีข้อเสนออันใดหรือไม่ พอดีโจวอี้อยู่ด้วย สำนักรักษาความสงบเข้าใจสถานการณ์ในเมืองหลวงที่สุด เจ้าคิดเช่นไร?”

หวังทงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะทูลตอบว่า

“ในเมื่อฝ่าบาททรงถาม กระหม่อมขอบังอาจออกความเห็น เมื่อครู่ฝ่าบาทตรัสถึงสถานการณ์เมื่อคืนข้างนอก เซินสือหังชวนบรรดาชนชั้นสูงให้ร่วมปราบจลาจล จางซื่อเหวยออกไปนอกเมืองนำกำลังเข้ามาพร้อมผู้แทนพระองค์ ล้วนเป็นความดีความชอบใหญ่ จะว่าไป ตอนท่านจางอยู่ เขาสองคนก็นับเป็นอันดับสองอันดับสามในคณะเสนาบดีใหญ่แล้ว ตอนนี้มีความชอบใหญ่เช่นนี้อีก ตัวเลือกมหาอำมาตย์ ก็คงเป็นเขาสองคนนี้คนใดคนหนึ่งกระมัง!?”

ฮ่องเต้ว่านลี่พยักหน้า กล่าวว่า

“ไม่เพียงแต่ในเมืองหลวง หากไม่ว่าที่ใดก็ล้วนเป็นลูกศิษย์ท่านจาง จางซื่อเหวยกับเซินสือหังล้วนเป็นผู้นำคนเหล่านี้ เป็นที่พึ่งพาคนเหล่านี้ ไม่เลือกจากเขาสองคน ย่อมเกิดคลื่นใหญ่ในราชสำนัก เกิดเหตุวุ่นวายเช่นนี้ แต่ละแห่งล้วนต้องการสถานการณ์สงบสุข ไม่อาจให้เกิดต้นตอแห่งเหตุอีก”

“ฝ่าบาท จางซื่อเหวยยามอยู่ในคณะเสนาบดีใหญ่ ก็มีคำเรียกขานว่า ‘ท่านจางน้อย’ จัดการงานแผ่นดิน นับได้ว่าเป็นรองอำมาตย์ ทุกอย่างล้วนชำนาญ เซินสือหังกลับเก็บตัวสงบเสงี่ยม วาจาน้อย เป็นบัณฑิตที่ดี แต่ยามเกิดเหตุครานี้ เซินสือหังก็ได้แสดงความกล้าหาญของตน กระหม่อมไม่อยู่เมืองหลวงมานาน ก็รู้เพียงแต่นี้เท่านั้น”

หวังทงไม่ได้เอ่ยถึงคนที่ควรเลือก หากกล่าวเพียงสิ่งที่ตนรู้ออกมา พอหวังทงกล่าวจบ ฮ่องเต้ว่านลี่เงียบไปนานก่อนจะตรัสสุรเสียงนิ่งว่า

“ความหมายเจ้าคือ เราควรเลือกเซินสือหัง?”

“เรื่องนี้ขอให้ฝ่าบาททรงตัดสิน กระหม่อมมิบังอาจ!”

นายบ่าวสนทนา หลี่หู่โถวข้างๆ รู้สึกเบื่อมาก ในใจคิดว่า เห็นๆ อยู่ว่าหวังทงชมทั้งสอง เหตุใดจึงบอกว่าแนะนำเซินสือหัง โจวอี้ส่งสายตาชื่นชมไปทางหวังทง

ฮ่องเต้ว่านลี่ประทับนั่งลง พลางครุ่นคิด หวังทงนิ่งไปพักหนึ่งก่อนทูลว่า

“ฝ่าบาท ให้พวกกระหม่อมเข้าวังมา มีราชโองการให้สำนักรักษาความสงบด้วยพะยะค่ะ ขอทรงมีราชโองการประทับตรา”

ฮ่องเต้ว่านลี่ตบหน้าผาก หลุดหัวเราะออกมาว่า

“หากเจ้าไม่เตือน เราก็ลืมไปแล้วจริงๆ ลำบากพวกเจ้าแล้ว เห็นๆ ว่าพวกเจ้าเสี่ยงภัยเข้าวังมาอารักขาเรา กลับกลายเป็นเรามีราชโองการลับเรียกพวกเจ้าเข้าวัง ความดีกลับเป็นเราได้ไป ……โจวอี้ เอาพู่กันกับหมึกมา พระราชโองการลับนี่ ใช้ตราประทับส่วนตัวเราก็พอกระมัง!”

หวังทงพยักหน้า ในเมืองนอกเมือง ในวังนอกวังระยะนี้หวังทงจัดการเรียบร้อย แม้ว่าเรื่องราวเร่งด่วน แต่ก็อาจถูกคนใส่ร้ายว่าคิดการไม่ซื่อได้ง่าย ในวังอาจมีคนเริ่มระแวง อาจมีบัณฑิตเคร่งตำราเอากฎออกมาใช้เคร่งครัด การกระทำนี้ใช่ว่าจะเป็นความชอบใหญ่ได้ หากกลับยังอาจนำมาซึ่งภัยใหญ่แทน

แต่ทุกอย่างก็บอกไปว่าเป็นพระปรีชามองการณ์ไกลของฮ่องเต้ว่านลี่ จึงได้ไม่มีความยุ่งยากตามมา เรื่องพวกนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่รู้ ในใจรู้กันย่อมสำคัญที่สุด

ราชโองการลับเขียนได้เร็ว ฮ่องเต้ว่านลี่เขียนขึ้นสองแผ่น เจ้าจินเลี่ยงที่ไปสืบข่าวด้านนอกกลับมาถึง เมื่อครู่โจวอี้ได้กล่าวสิ่งที่ควรกล่าวไปหมดแล้ว เจ้าจินเลี่ยงเองก็ไม่ได้มีข่าวใหม่อันใด แต่มีเรื่องหนึ่งเพิ่งเกิดเมื่อครู่ โจวอี้ย่อมไม่รู้

“……ฮูหยินอู่ชิงโหวเข้าเฝ้าไทเฮา ณ ตำหนักฉือหนิงกง ได้ยินนางกำนัลเล่าว่า อีกสักครู่จะมาเข้าเฝ้าฝ่าบาท……”

“…ท่านยายจะมา…”

คนในห้องอยู่ๆ พบว่า เรื่องที่คุยกันเมื่อครู่เกี่ยวพันกับอู่ชิงโหวไม่น้อย กองกำลังเมืองหลวงตอนนี้อยู่ใต้การควบคุมของหลี่เหวินเฉวียน เมื่อครู่ถามถึงตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร หวังทงเสนออู่ชิงโหว ตอนนี้ฮูหยินอู่ชิงโหวเข้าวังมาเข้าเฝ้าไทเฮา

ฮูหยินอู่ชิงโหวแซ่หวัง ก่อนบุตรสาวเข้าวังก็เป็นเพียงหญิงสามัญที่อยู่ในกรอบประเพณี พอบุตรสาวแต่งเข้าจวนอ๋องอวี้ ได้เป็นพระชายา ต่อมาได้เป็นฮองเฮา และไทเฮา ฮูหยินอู่ชิงโหวก็ย่อมขึ้นตามน้ำเช่นกัน ตอนนี้ฮูหยินอู่ชิงโหวนับเป็นบุคคลอันดับหนึ่งในบรรดาสตรีตระกูลสูงเมืองหลวง เป็นถึงพระอัยยิกาฝ่าบาทองค์ปัจจุบัน ผู้ใดกล้าล่วงเกิน

ไทเฮาฉือเซิ่งยังใกล้ชิดกับพระมารดา มักจะเชิญให้เข้าวังมาพูดคุย พระเมตตาเช่นนี้ยิ่งทำให้คนทั่วไปรู้ถึงบารมีของฮูหยินอู่ชิงโหว

****************

“……เสด็จแม่……”

ณ ตำหนักฉือหนิงกง ยังคงได้ยินเสียงสะอื้นไห้ร้องเรียกของอ๋องลู่ ไทเฮาฉือเซิ่งทำเหมือนไม่ได้ยิน ตรัสกับคนข้างๆ ว่า

“ที่พักฮูหยินอู่ชิงโหวจัดเรียบร้อยแล้วหรือยัง? โจ๊กตุ๋นเม็ดบัวที่นางชอบเล่า จิ่นซิ่วเจ้าไปกำชับห้องเครื่อง เม็ดบัวต้องตุ๋นให้เปื่อย ฟันนางไม่ดีนัก……”

ไทเฮาไล่เรียงคำถามออกมาเป็นชุด นางกำนัลบ้างก็ตอบ บ้างก็รีบออกไปจัดการ ในช่วงเวลาเว้นว่างนี้ ก็ได้ยินเสียงร้องไห้ตะโกนเรียกของอ๋องลู่ดังเข้ามาแทรก

ไทเฮาฉือเซิ่งหยุดชะงัก พวกนางกำนัลเองก็พลอยชะงักไปด้วย นางกำนัลหลายคนหันไปมองไทเฮา ไทเฮาฉือเซิ่งนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะขมวดคิ้วตรัสสุรเสียงเยียบเย็น

“ยามนี้อากาศร้อนเพียงนี้ อ๋องลู่อยู่ข้างนอกต้องความร้อนเป็นไรไปจะทำอย่างไร รีบประคองอ๋องลู่กลับไปพัก!”

นางกำนัลผู้หนึ่งรีบรับคำถอยออกไป ไทเฮาฉือเซิ่งยังตรัสสำทับมาว่า

“อ๋องลู่เมื่อคืนตกใจหนัก ให้อยู่ในห้องสักสองสามวัน รอให้ใจสบายก่อนก็ดี!”

นางกำนัลนิ่งไป ก่อนจะเข้าใจในความหมายนั้น รีบออกไป

อ๋องลู่หน้าประตูหน้าตำหนักฉือหนิงกง ส่งเสียงร้องไห้ พระอาทิตย์ไปทางตะวันตกแล้ว หากก็เป็นเวลาที่ร้อนที่สุดในหนึ่งวัน อ๋องลู่เหงื่อท่วมใบหน้า

หากเป็นยามปกติ อ๋องลู่เป็นเช่นนี้ คนในวังทูลไทเฮา ก็ย่อมมีคนประคองเขาเข้าไปแล้ว แต่วันนี้ร้องไห้ด้านนอกนานหนึ่งชั่วยามกว่า ด้านในก็ยังคงไม่มีปฏิกิริยา

อ๋องลู่เหมือนหน้ามืด ร่างกายโงนเงน ชุดชั้นเดียวที่สวมอยู่ล้วนเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ แต่เขายังคงรู้สึกหนาวยะเยือกไปทั้งตัว เสด็จแม่ไม่ให้เข้าเฝ้า สถานการณ์ทำให้เขาเหมือนยืนอยู่บนที่สูงกำลังจะร่วงลงไป หากนอกจากร้องไห้แล้ว ไม่รู้ทำอันใดได้อีก แม้ว่าเกิดเรื่องเช่นนั้น แต่อ๋องลู่ก็มักคิดถึงแต่หลินซูลู่ หากหลินซูลู่ยังอยู่ เขาย่อมบอกพระองค์ได้ว่าควรรับมือสถานการณ์นี้อย่างไร

ขณะกำลังหน้ามืดอยู่นั้น ก็เห็นนางกำนัลนำขันทีสองสามคนเข้ามา อ๋องลู่พลันยินดี หากสีหน้ายังคงรักษาท่าทีแสดงอาการเจ็บปวดใจ

“ท่านอ๋อง ข้างนอกร้อน ท่านอย่าได้ล้มป่วยไปเพคะ กลับตำหนักนะเพคะ!”

ได้ยินเช่นนี้ อ๋องลู่ก็ถึงกับเป็นใบ้ค้าง เดิมสีหน้าแดงก่ำด้วยพิษร้อน บัดนี้ซีดเผือดลงทันที ครั้งนี้เข้าเหมือนตกเหวจริงๆ แล้ว เขาตะลึงค้างอยู่กับที่ นางกำนัลผู้นั้นรออยู่ครู่หนึ่งก็กล่าวอย่างอ่อนโยนว่า

“ท่านอ๋อง เสด็จกลับเถอะพะคะ!!”

“ข้าจะเข้าเฝ้าเสด็จแม่ เสด็จแม่รักข้ามากที่สุด เหตุใดจึงไม่ยอมพบข้า ต้องเป็นเพราะพวกบ่าวบัดซบเช่นพวกเจ้าเป็นแน่!!”

อ๋องลู่พลันยืนขึ้น เสียงคำรามดังก้อง นางกำนัลก้มหน้านอบน้อมทูลว่า

“ท่านอ๋อง อากาศร้อน พระวรกายสูงค่า หากร้อนล้มป่วยไป พวกบ่าวไม่รู้จะทำเช่นไร……”

‘ผัวะ’ ดังขึ้น นางกำนัลผู้นั้นกุมหน้าเงยขึ้น อ๋องลู่ที่น่ำรักน่าเอ็นดูมาแต่ไหนแต่ไรยามนี้สองตาแดงก่ำ ตบหน้าไปอย่างแรงหนึ่งที อ๋องลู่ไม่สนใจอันใด หากเข้าผลักนางกำนัลเบื้องหน้า มุ่งเข้าไปในตำหนักฉือหนิงกง ตะโกนดังว่า

“ให้ข้าเข้าไป ล้วนเป็นบ่าวสมควรตายเช่นพวกเจ้าแน่ๆ ……”

บุกเข้าไปได้สองก้าว ก็ถูกขันทีร่างใหญ่เจ้ามาอุ้มไว้ อ๋องลู่แผดเสียงร้องลั่นหน้าตำหนักฉือหนิงกง นางกำนัลที่ถูกตบหน้าไปยังคงนอบน้อม กล่าวอย่างอ่อนโยนว่า

“ท่านอ๋องลู่น่าจะไม่สบายแล้ว รีบพากลับไปตำหนัก เชิญหมอหลวงมาจ่ายยาจำพวกสงบพระสติให้ด้วย!!”

ขันทีหลายคนรุมเข้าอุ้มหัวอุ้มขา แบกอ๋องลู่กลับไปตำหนัก อ๋องลู่ปกติอ่านตำราเสมอ ไยจึงมีแรงเช่นนี้ เกือบเอาไม่อยู่ เสียงร้องแหบพร่า แต่ก็ห่างออกจากตำหนักฉือหนิงกงไกลขึ้นเรื่อยๆ

************

ไทเฮาฉือเซิ่งประทับอยู่ตรงกลาง ฮูหยินอู่ชิงโหวนั่งอยู่ทางด้านซ้าย แม้ว่าเป็นแม่ลูก หากสถานะยังต้องรักษาไว้ ไม่อาจล่วงเกินเบื้องสูง

นางกำนัลและขันทีในห้องล้วนถอยออกไปอย่างรู้งาน คนด้านนอกปิดประตูลง ไทเฮาฉือเซิ่งขอบตาแดงก่ำ น้ำตาไหลอาบ สะอื้นตรัสว่า

“ท่านแม่ ลูกไร้วาสนา……อ๋องลู่ถึงกับ……”

ฮูหยินอู่ชิงโหวย่อมเป็นคนใกล้ชิดไทเฮาฉือเซิ่ง ความรู้สึกที่กดทับในใจย่อมไม่อาจคุมไว้ได้ เห็นไทเฮาฉือเซิ่งซับน้ำตา ฮูหยินอู่ชิงโหวเป็นหญิงชรากำลังวังชาดีมาก โบกมือกล่าวว่า

“ไทเฮาทรงคิดมากไปแล้วเพคะ เมื่อคืนเห็นในวังเกิดเรื่อง อู่ชิงโหวและข้าตกใจจนไม่ได้นอนทั้งคืน พอเช้าได้สารแจ้งว่าวางใจได้แล้ว ไทเฮาไม่เป็นอันใด ฝ่าบาทไม่เป็นอันใด อ๋องลู่ไม่เป็นอันใด ไม่ใช่เรื่องดีหรอกหรือ ยังต้องร้องไห้ทำไม!?”

อย่างไรก็แม่ลูก แม้ยกย่องว่าเป็น ไทเฮา แต่วาจาก็มิได้ระวังนัก วาจาไม่ได้ปลอบใจอันใด ไทเฮาฉือเซิ่งใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา ตรัสว่า

“อ๋องลู่ เจ้าเด็กนั่น ทำเรื่องที่ไม่อาจให้อภัยได้ ในใจข้านั้นช่าง……”

“เจ้านี่นะ แต่เล็กก็มีนิสัยชอบเอาชนะ แต่ก็รักลูก ตอนนี้สถานะเช่นนี้ ข้าก็ไม่อาจพูดอันใดได้ แต่การรักลูกมากไปก็เหมือนทำร้ายลูก ตอนนี้อ๋องลู่โตแล้ว ออกนอกวังไปครองบรรดาศักดิ์อ๋องได้แล้ว หาหญิงที่ดีให้แต่งด้วย ไม่ใช่ว่าเป็นการลงหลักปักฐานให้แล้วหรือ? ลูกโตแล้ว เป็นแม่อย่างไรก็ไม่ต้องเป็นห่วงมากมายเพียงนั้นแล้ว!”

ฮูหยินอู่ชิงโหวได้อำนาจวาสนาในตอนวัยกลางคน แม้ว่าเป็นที่เคารพสูงมานานหลายปี แต่ยังคงรักษาท่าทีแบบสามัญชนเอาไว้ได้

ได้รับการปลอบใจเช่นนี้ ความเศร้าในพระทัยไทเฮาฉือเซิ่งสลายไปไม่น้อย ตรัสว่า

“ท่านแม่มาครานี้ อยู่ในวังสักพัก เป็นเพื่อนลูกด้วย”

ฮูหยินอู่ชิงโหวพยักหน้า ทูลว่า

“ย่อมเป็นเช่นนั้น แม่มาครานี้ มีเรื่องสำคัญมาทูลไทเฮาด้วย……”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!