Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 618

ตอนที่ 618 วางไม่ลง

“เรื่องสำคัญ?”

แม้ว่าจะเจ็บปวดพระทัย แต่ไทเฮาฉือเซิ่งก็ยังคงดำรงพระสติกลับคืนมาได้อย่างรวดเร็ว มารดาตนเอง ตนเองย่อมรู้ดี เป็นหญิงชราใช้ชีวิตสุขสบาย เกรงว่า ‘เรื่องสำคัญ’ คงเป็นเรื่องที่คนอื่นไหว้วานมา

ครอบครัวราชนิกูล จะว่าไปก็มีแต่เรื่องพวกนี้ ไทเฮาฉือเซิ่งระงับความเจ็บปวดในพระทัยอย่างรวดเร็ว ใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาทันทีก่อนจะตรัสว่า

“ท่านแม่ มีเรื่องสำคัญอันใด ไม่ใช่คุยกันแล้วหรือ? เรื่องพวกนี้ให้บอกท่านพ่อว่า อย่าได้ไปตามกระแสผู้อื่นชักนำ ครอบครัวขุนนางบุ๋นพวกนั้นไม่ซื่อตรงเหมือนพวกเรากันเอง……”

ฮูหยินอู่ชิงโหวไม่สนใจโบกมือกล่าวว่า

“อยู่ท่ามกลางอำนาจบารมีมานาน ผ่านอะไรมาก็ไม่น้อย ……ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว แม่รู้ว่าไม่ควรเข้ายุ่งเกี่ยวกับงานพวกนี้ แต่เรื่องนี้ถามบิดาและพี่ชายเจ้าแล้ว ล้วนว่าให้มาพูดกับเจ้าดู”

ฮูหยินอู่ชิงโหวกล่าวเช่นนี้ ไทเฮาฉือเซิ่งก็ยิ่งเริ่มเคร่งเครียดขึ้น บิดาของพระองค์คืออู่ชิงโหว พี่ชายคือหลี่เหวินเฉวียน แม้ว่าไม่ได้มีความสามารถโดดเด่นอันใด แต่ก็ดีที่ทำการระมัดระวังรอบคอบ ทุกเรื่องล้วนคิดเผื่อพระองค์ พวกเขาทำเช่นนี้ คิดว่าน่าจะต้องเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดา

“หลายวันก่อน ฮูหยินจวนเสนาบดีกรมทหารจางซื่อเหวยมาที่จวนเรา เดิมว่ามีสินค้าทางใต้ที่เพิ่งส่งมาจากทางใต้มาถึง นำมามอบให้ แต่พอมาถึงจวนกลับว่ามีเรื่องสำคัญหารือ……”

“จางซื่อเหวย?”

“ใช่ เดาว่าน่าจะนำวาจาสามีนางมาบอกต่อ บอกว่าไทเฮาทรงเป็นไทเฮาที่ปรีชาที่สุดนับแต่มีราชวงศ์หมิงมา ได้รับพระฉายาว่า เปรียบดังเหยาซุ่น[1] แผ่นดินหมิงนี้มั่นคงราวกับเขาไท่ซานก็เพราะมีไทเฮา”

ฮูหยินอู่ชิงโหวกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงกระจ่าง ไทเฮาฉือเซิ่งย่อมไม่ถูกล่อลวงให้หลงใหลด้วยวาจาตามมารยาทเช่นนี้ได้แต่ขมวดคิ้วรอวาจาต่อมา

“ยังบอกว่าเหตุใดไทเฮาจึงทรงเป็นดังเหยาซุ่นได้ เรื่องพระปรีชาย่อมไม่ต้องพูดถึง ข้างนอกวังมีอำมาตย์จางจวีเจิ้ง ในวังมีเฝิงเป่าแห่งสำนักส่วนพระองค์ มีสองคนคอยประคองค้ำจุน จึงเป็นเหตุสำคัญที่ทำให้ทรงเปล่งบารมีทั่วหล้าได้ ตอนนี้ฝ่าบาทยังอายุน้อย หลายเรื่องตัดสินพระทัยเร็วไป หากไม่มีไทเฮาคอยคานไว้ ยากที่ไม่ประสบคลื่นลม”

“ฮูหยินจางซื่อเหวยถึงกับกล่าวเช่นนี้หรือ!!?”

ไทเฮาฉือเซิ่งสีพระพักตร์เคร่งเครียด สุรเสียงดังขึ้น ฮูหยินอู่ชิงโหวดื่มชาไปคำหนึ่งก่อนจะทูลต่อว่า

“สตรีตระกูลสูงพวกนี้ก็รู้มารยาทดังเช่นสามีนาง พูดจาก็อ้อมค้อมวกไปวนมา หากความหมายก็ราวนี้แล้ว ตอนนี้จางจวีเจิ้งจากไปแล้ว หากฝ่าบาทเลือกมหาอำมาตย์ที่ไว้พระทัยด้วยพระองค์เอง หากเกิดเหตุอันใด ไทเฮาอยากตักเตือนก็เกรงว่าไม่มีทาง……จางซื่อเหวยต้องการบอกว่า เขาจะมาแทนที่ตำแหน่งของจางจวีเจิ้ง ทุกอย่างก็จะเป็นไปดังเช่นเคยเป็นมา หากก็จะไม่เด็ดขาดผู้เดียวแบบที่จางจวีเจิ้งเป็น……”

กล่าวมาหลายประโยค ก็เห็นไทเฮาฉือเซิ่งตกอยู่ในภวังค์ความคิด จึงหยุดไม่กล่าวต่อ สักพักฮูหยินอู่ชิงโหวจึงทูลต่อว่า

“จางซื่อเหวยคิดจะเลื่อนตำแหน่งเอง แต่วาจานี้ก็นับว่ามีเหตุผล เหตุการณ์เมื่อคืนใหญ่โตเพียงนั้น อันตรายแทบไม่อาจจัดการได้ ไม่ใช่เป็นเพราะการตายของจางจวีเจิ้งทำให้คนจิตใจสับสนหรอกหรือ จึงเกิดเหตุเช่นนี้ได้ และก็เห็นได้ว่า ฝ่าบาทก็ยังเอาไม่อยู่ ขอให้ไทเฮาช่วยราชกิจอีกสักระยะ จางซื่อเหวยไม่แพ้จางจวีเจิ้ง หากเขาไม่เหมือนจางจวีเจิ้งที่จะไร้น้ำใจกับคนกันเอง”

“ตอนนี้ไม่เหมือนตอนที่ฝ่าบาทขึ้นครองราชย์ใหม่ๆ หากให้เราตัดสินใจเรื่องตัวเลือกมหาอำมาตย์ ฝ่าบาทจะ……”

เหตุผลที่ยังทรงพระเยาว์ไม่อาจนำมาใช้ได้อีก ตอนนี้ฮ่องเต้ว่านลี่มีพระธิดาถึงสามพระองค์แล้ว อายุขนาดนี้บนแผ่นดินหมิงนั้นนับว่าโตแล้ว จะเรียกว่ายังเยาว์ได้อย่างไร

หากรสชาติแห่งอำนาจทำให้คนไหลหลง ตั้งแต่ปีแรกในรัชสมัยว่านลี่ที่ไทเฮาฉือเซิ่งกุมอำนาจมา ได้เป็นเจ้านายแห่งใต้หล้าแท้จริง ฮ่องเต้ว่านลี่อายุน้อยยังดี หากเมื่อฮ่องเต้เริ่มเติบใหญ่ ไทเฮาฉือเซิ่งเองก็รู้ว่าสถานการณ์นี้คงอยู่อีกไม่นานแล้ว ทุกครั้งที่ยื่นมือเข้ายุ่งเรื่องในวัง เรื่องอำนาจ ก็มักรู้สึกไม่สบายใจ รู้สึกหวั่นพระทัยอยู่ไม่น้อย

เมื่อวานเกิดเหตุใหญ่ หาร่องรอยได้จากอ๋องลู่เช่นนั้น ไทเฮาฉือเซิ่งก็ทรงตัดพระทัย ไม่คิดจะยุ่งเกี่ยวเรื่องราชกิจอีก

ปีนั้นที่ฮ่องเต้หลงชิ่งสวรรคต มหาอำมาตย์กาวก่งกุมอำนาจ กดเฝิงเป่าและจางจวีเจิ้งเอาไว้ ดังนั้นต่อมาจึงได้เกิดความเป็นไปได้ที่จะร่วมมือกันระหว่างข้างในและข้างนอกวัง จากนั้นก็พึ่งพาอาศัยคานอำนาจกัน กุมอำนาจบริหารแผ่นดิน

กำลังจะวางมือ ก็คิดไม่ถึงว่า จางซื่อเหวยถึงกับมาหาด้วยตนเอง อำนาจและตำแหน่งที่จะกุมใต้หล้า สั่งการฮ่องเต้ได้นั้นเป็นสิ่งล่อใจที่ยิ่งใหญ่ ไทเฮาฉือเซิ่งเกิดลังเลขึ้นมาแล้ว

กำลังลังเลอยู่นั้น ฮูหยินอู่ชิงโหวก็ยิ้มกล่าวว่า

“ลูกเป็นพระมารดาฝ่าบาท หรือว่ามารดาแท้ๆ ยังต้องกลัวว่าจะทำร้ายลูก นี่ก็เพราะหวังดีต่อฝ่าบาท หวังดีต่อแผ่นดินหมิงไม่ใช่หรือ?”

ไทเฮาฉือเซิ่งเงียบไปนาน ก่อนจะพยักหน้ารับ

*************

ในวังเกิดเหตุจลาจล สิ่งที่ต้องจัดการมีมากมาย จางเฉิงแห่งสำนักส่วนพระองค์แม้แต่อาหารกลางวันก็ยังไม่ได้กิน จนพระอาทิตย์ตกดิน จึงได้มานั่งพักอยู่ในห้องทำงานในสำนักส่วนพระองค์

บรรดาขันทีในสำนักส่วนพระองค์ต่างจากที่อื่น หลายสำนักขันทีฝ่ายในต่างก็อยากเอาใจ นั่งอยู่ไม่นาน น้ำชายังไม่ทันเย็น อาหารกับแกล้มหลายอย่าง พร้อมโจ๊กกับซาลาเปาก็มาอยู่ตรงหน้า ล้วนส่งควันร้อนกรุ่น เห็นอาหารหอมกรุ่นครบครันตรงหน้า จางเฉิงก็เริ่มหิวแล้ว พยักหน้าชมเชยขันทีห้องเครื่องไปสองสามคำก่อนจะนั่งลงกิน

ขันทีห้องเครื่องยิ้มร่าจากไป โจวอี้ก็เข้ามา พอปิดประตูลงก็คำนับอย่างนอบน้อม ยังไม่ทันได้เงยหน้า จางเฉิงก็ยิ้มโบกมือกล่าวว่า

“ตอนนี้เจ้าเป็นมหาขันทีสำนักอาชาหลวงแล้ว ไม่ต้องคำนับนอบน้อมเช่นนี้แล้ว รีบนั่งลงๆ เจ้ายุ่งมาทั้งวันแล้ว มากินด้วยกัน ให้ท้องอิ่มไว้ก่อน”

จางเฉิงกล่าวอย่างเกรงใจ โจวอี้ยังคงคำนับให้ครบตามมารยาทก่อนจะลุกขึ้น กล่าวจริงจังว่า

“ท่านพ่อบุญธรรมก็ยังเป็นท่านพ่อบุญธรรม ลูกมีตำแหน่งเช่นในวันนี้ได้ ไหนเลยจะไม่ใช่เพราะความเมตตาของท่านพ่อบุญธรรม มาครั้งนี้ ก็มีเรื่องมารายงานท่านพ่อบุญธรรม”

การได้ดำรงตำแหน่งมหาขันทีแห่งสำนักอาชาหลวง หากไม่รู้สึกใหญ่อันใด จางเฉิงยิ้มพยักหน้า เห็นสายตาโจวอี้เต็มไปด้วยความชื่นชมและพอใจ ก็กล่าวเนิบๆ ว่า

“เจ้าทำงานมานานมากประสบการณ์แล้ว มีเรื่องอันใดนั่งลงคุยกัน!”

โจวอี้ไม่ได้นั่งลง หากยืนกล่าวขึ้นเบาๆ ว่า

“เมื่อครู่คนของเราในวังมีข่าวมาว่า ตอนเฝิงกงกงไปปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่ตำหนักอ๋องลู่ มีหัวหน้าจากหอกลองไปขอพบ”

จางเฉิงได้ยิน หากยังยกชามข้าวขึ้นมา หัวหน้าหอกลองมาพบเฝิงเป่า ก็เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นทั่วไปในวัง ไม่เห็นมีอันใด โจวอี้กล่าวต่อว่า

“หัวหน้าหอกลองนี้จากข่าวของสำนักรักษาความสงบ เป็นคนของจางซื่อเหวย”

“หืม?”

จางเฉิงขมวดคิ้ว วางชามข้าวลง

***************

ตำหนักอ๋องลู่มีนับร้อยชีวิตที่จบสิ้นลง ผู้ดำเนินการเรื่องนี้ก็คือเฝิงเป่า นอกจากเหน็ดเหนื่อยแล้ว ยังมองไม่เห็นว่ามีเรื่องผิดปกติใด

เถียนอี้ผู้ดูแลห้องเอกสารในสำนักส่วนพระองค์ยืนอยู่ข้างๆ เฝิงเป่าดื่มชาไปกล่าวว่า

“ทางข้านี้ไม่มีอันใดไม่ได้ หากทางไทเฮานั้น ให้เขาไปพูดเอาเอง”

เถียนอี้ขมวดคิ้ว ก้มตัวลงคำนับกล่าวว่า

“เฝิงกงกง จางซื่อเหวยจิตใจไม่ซื่อตรง ตำแหน่งมหาอำมาตย์ควรให้ฝ่าบาทตัดสิน เขามาหาพวกเช่นนี้ ช่างไม่รู้จักไว้ท่าทีตนเองเสียบ้าง เดิมคิดว่าคนผู้นี้มีขุนนางสามารถผู้ซื่อสัตย์ คิดไม่ถึงว่าเป็นเช่นนี้ เฝิงกงกงห่างไกลคนผู้นี้ไว้หน่อยก็ดีขอรับ”

“เจ้าอะไรก็ดี เสียที่ตรงไป ซึมซับนิสัยพวกบัณฑิตข้างนอกนั่นมาเยอะไปแล้ว!!”

เฝิงเป่ายื่นมือไปแตะเถียนอี้ แต่อีกฝ่ายสามารถกล่าวเช่นนี้ได้ ก็เพราะเป็นคนกันเอง เฝิงเป่าถอนหายใจกล่าวว่า

“ตำแหน่งมหาอำมาตย์ตอนนี้ก็มีตัวเลือกสองคน ไม่จางซื่อเหวยก็เซินสือหัง เรื่องเมื่อคืน เซินสือหังไม่กลัวอันตราย ไปเกลี้ยกล่อมชนชั้นสูงให้ออกมาปราบจลาจล ความกล้าหาญเช่นนี้ ความชอบเช่นนี้ เทียบกับจางซื่อเหวยที่นำผู้แทนพระองค์ออกไปนำกำลังเข้าเมืองหลวงแล้ว ก็ไม่ด้อยกว่า มิน่าเขาจึงร้อนใจ”

“เช่นนั้น เฝิงกงกงยัง……”

“เซินสือหังกับจางเฉิงใกล้ชิดกันมากไปหน่อย หลายปีก่อนที่กาวก่งก่อเหตุเช่นนั้น เราไม่อยากให้เกิดขึ้นอีก จางซื่อเหวยก็มีความสามารถในการทำงาน ไม่เช่นนั้นจางจวีเจิ้งก็คงไม่วางใจเขาเช่นนั้น”

สมัยฮ่องเต้หลงชิ่ง มหาอำมาตย์สวีเจี้ยกำลังจะอำลาตำแหน่งกลับบ้านเกิด มหาอำมาตย์คนต่อมาเช่นกาวก่งกลับระวังเฝิงเป่า ตัวเลือกหัวหน้าสำนักส่วนพระองคนั้น มหาอำมาตย์มีอำนาจในการตัดสินอย่างมาก หลายครั้งที่ตำแหน่งควรเป็นของเฝิงเป่า แต่กาวก่งก็ยังเลือกคนข้างตัวไปหลายครั้ง หากสุดท้ายถึงกับเสนอหัวหน้าสำนักห้องเครื่องมาเป็น เป็นเหตุให้ หลังจากในสมัยว่านลี่ขึ้นครองราชย์ เฝิงเป่าก็รีบร่วมมือกับจางจวีเจิ้งล้มกาวก่ง

ได้ยินเฝิงเป่ากล่าวเช่นนี้ เถียนอี้ก็เงียบลง สองฝ่ายเงียบไปสักพัก ด้านนอกก็มีคนตะโกนดังมา เถียนอี้ออกไปสักครู่ก็เข้ามารายงานว่า

“เฝิงกงกง รถม้าสองสามคันนั้นออกนอกวังไปแล้ว น่าจะเป็นพวกหวังทง”

เฝิงเป่าส่ายหน้า ถอนหายใจกล่าวว่า

“เจ้าเด็กหวังทงช่างรู้จักรุกรู้จักถอย จบเรื่องครานี้ไป เขาย่อมมีอำนาจวาสนาใหญ่!”

***************

เหตุเมื่อคืนในเมืองหลวง ทั้งจวนเสนาบดีกรมทหารจางซื่อเหวยต่างหวาดกลัว คนงานหลายคนที่ปกติไม่ทำงานอันใดเริ่มมีประโยชน์ ยามนี้พวกเขาถืออาวุธออกมารักษาการณ์หน้าประตู

พอย่ำรุ่ง จางซื่อเหวยออกนอกเมืองไปกับผู้แทนพระองค์เพื่อเคลื่อนกำลังทหาร ในจวนจึงสงบลง พอย่ำรุ่งจางซื่อเหวยกลับมาเปลี่ยนชุดขุนนางเข้าวัง ก็มีคนมาเรียกตัวเข้าวัง พอประชุมกลับมาก็รีบส่งคนที่ไว้ใจออกนอกจวนไปหลายคน

แต่จากที่คนสนิทแต่ละคนที่กลับมารายงาน สีหน้าจางซื่อเหวยที่ดำคล้ำก็เริ่มเคร่งเครียด

“เมื่อคืนที่อารักขาในวังเป็นหวังทง!!? ข่าวนี้แม่นยำ?”

“แน่นอนที่สุด นอกวังแม้ไม่รู้ แต่คนในวังล้วนรู้กันทั่วแล้ว!!!”

………………..

[1] พระเจ้าเหยาและพระเจ้าซุ่นเป็นผู้ปกครองจีนในสมัยโบราณที่มีความสามารถและคุณธรรม

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!