Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 62

ตอนที่ 62 หรือว่าเข้าใจผิด

มือปราบสองคนนั้นไม่มีทีท่าอ่อนปวกเปียกขี้เกียจเหมือนอย่างตอนเช้าเลยสักนิด คุกเข่าลงด้วยใบหน้าบูดเบี้ยว ก่อนจะโขกศีรษะสองสามที จากนั้นเอ่ยขึ้นว่า

“ข้าน้อยมีตาหามีแววไม่ ตาบอดตาสุนัข ขอกงกงโปรดอภัย!!”

พอพูดจบก็ยกมือตบหน้าตนเองเสียงดังเพียะติดกันหลายที ไม่นานใบหน้าก็บวมแดงขึ้น โจวอี้ไม่สนใจแม้แต่น้อย หันไปกล่าวกับทางเจ้าหน้าที่สืบคดีหลี่ว์วั่นไฉผู้นั้นว่า

“ใต้เท้าหลี่ว์ เรื่องวันนี้มิใช่เรื่องของข้า แต่เป็นองครักษ์เสื้อแพรนายกองธงใหญ่หวังผู้นี้”

หลี่ว์วั่นไฉมองไปทางหวังทงแวบหนึ่ง ก็ประสานมือยิ้มกล่าวอย่างสุภาพ แม้ว่ามารยาทไม่บกพร่อง แต่ใครก็มองออกว่า เจ้าหน้าที่สืบคดีหลี่ว์ผู้นี้ไม่เห็นหวังทงอยู่ในสายตา

แต่ก็ยากจะตำหนิได้ โจวอี้กับหวังทงสถานะต่างกันราวฟ้ากับดิน เรื่องลานฝึกนี้ก็เป็นเรื่องที่รู้กันภายในวังกับบรรดาระดับสูงสุดเท่านั้น ศาลซุ่นเทียนไม่อาจจะรู้ได้ หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นก็อาจจะเห็นหวังทงเป็นผู้ติดตามโจวอี้ เป็นแค่ทหารปลายแถวคอยรับใช้เท่านั้น

โจวอี้ยิ้มเฉยชากล่าวว่า

“อย่าได้ยืนหนาวเหน็บอยู่ด้านนอกนี้เลย เข้าไปคุยกันข้างในเถอะ!”

หลี่ว์วั่นไฉรู้สึกผ่อนคลายลงเฮือกหนึ่ง เรียกมือปราบสองคนนั้นตามเข้าไปด้วยกัน โจวอี้ไม่สนใจอาการพินอบพิเทาของเจ้าหน้าที่สืบคดีหลี่ว์ผู้นี้เลยแม้แต่น้อย กลับกล่าวกับหวังทงว่า

“อย่าได้เห็นว่าแค่เจ้าหน้าที่สืบคดีศาลซุ่นเทียนอยู่ตำแหน่งระดับหก หากทุกปีมีบรรณาการไม่ต่ำกว่าสองพันสองร้อยตำลึงเงิน นี่ยังนับว่ามือสะอาดนะ เจ้าคิดดูหอคณิกาในเมือง บ่อนพนัน โรงสุรา ใครไม่อยากให้เงินค่าน้ำร้อนน้ำชาเหล่านี้ ขุนนางท้องถิ่นยังสู้ขุนนางผู้นี้ไม่ได้เลย!”

โอ้โห พอได้ยินตัวเลขนี้หวังทงถึงกับสะท้านไปวูบหนึ่ง นี่เป็นขุนนางอวบอ้วนที่สุดยอดมาก จะว่าไปสมัยปัจจุบันก็มีตำแหน่งหนึ่งที่เหมือนกับเจ้าหน้าที่สืบคดีนี้ แต่กะทันหันเช่นนี้ก็เลยนึกไม่ออก

“โจวกงกงล้อเล่นแล้ว ข้าน้อยทางนี้มีน้ำร้อนน้ำชาอยู่บ้างจริง แต่ใต้เท้าในศาลแต่ละท่าน พี่น้องใต้บังคับบัญชาแต่ละคนก็ล้วนแบ่งสรรกัน ตัวข้าน้อยเองก็ลำบากอยู่”

เจ้าหน้าที่สืบคดีหลี่ว์มองแล้วเป็นชายหน้าดำทะมึน แต่วาจากลับลื่นไหลยิ่ง นี่เป็นการแอบส่งสัญญาณว่าจะส่งมอบเงินทองของกำนัลกันแล้ว เข้ามาให้หอเลิศรส พอทั้งสองฝ่ายนั่งลงแล้ว หลี่ว์วั่นไฉก็ยังคงสนใจแต่โจวอี้ มือปราบสองคนนั้นก็นั่งก้มหน้านิ่งอยู่ไม่กล้าส่งเสียง

แต่หวังทงสังเกตเห็นหวังซื่อกับหลี่กุ้ยนั้นแอบเงยหน้าส่งสายตาอาฆาตมาดร้ายมองตนอยู่บ้าง พลันรู้สึกปวดหัวตุ้บๆ ขึ้นมาทันที การเรียกมาครั้งนี้กลับนำพาความอาฆาตมาดร้ายมาสู่ตน โจวอี้ทางนั้นกลับเอ่ยปากว่า

“ใต้เท้าหลี่ว์รู้หนังสือหรือไม่?”

คำถามนี้ทำเอาหลี่ว์เหวินไฉตกใจ รีบยิ้มตอบว่า

“กงกงล้อข้าเล่นแล้ว สถานะบัณฑิตของข้าน้อยแม้ว่าจ่ายเงินมานิดหน่อย แต่ตำแหน่งซิ่วไฉ[1]ก็สอบมาจริงขอรับ ทำไมจะไม่รู้หนังสือ”

“โอ้โห บัณฑิตสามารถดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่สืบคดีได้ ดูท่าแล้วเจ้าหน้าที่สืบคดีหลี่ว์ที่บ้านน่าจะมีความรู้ไม่น้อย มาๆ ๆ ตรงนั้นมีภาพอักษรเล็กๆ แขวนอยู่ ข้าอ่านไม่ชัด วานใต้เท้าหลี่ว์ไปดูหน่อย?”

คำพูดดุด่ายิ้มแย้มทำเอาเจ้าพนักงานหลี่ว์สับสนงงงวยไปหมด พอได้ยินคำนี้ ก็รีบลุกไปมองภาพอักษรที่แขวนอยู่ตรงประตูหลังของร้าน

หวังทงมองไม่เห็นสีหน้าของเขาชัดเจน แต่กลับเห็นได้ชัดว่าร่างกายของเจ้าหน้าที่สืบคดีหลี่ว์สั่นเทิ้มไปทั้งตัว อักษรเล็กๆ ไม่ถึง 20 ตัว เขาถึงกับมองไปนานเกือบครึ่งก้านธูป

ตอนหันหน้ากลับมา หวังทงตกใจมากที่พบว่าใบหน้าดำของหลี่ว์วั่นไฉถึงกับซีดลงไปเล็กน้อย สักพักก็ได้สติ นี่เป็นใบหน้าที่ซีดขาวผิดปกติ

โจวอี้พึงใจในผลลัพท์นี้มาก ชี้ไปทางหวังทงกล่าวว่า

“นายกองธงใหญ่หวังทงผู้นี้คือเจ้าของร้านนี้”

พอพูดถึงตรงนี้ แม้ว่าเป็นคนปัญญาอ่อนก็ย่อมเข้าใจได้แล้ว นายกองธงใหญ่เล็กๆ ผู้นี้ไม่ใช่ทหารปลายแถวของรองหัวหน้าขันทีผู้นี้ สถานะอย่างน้อยก็น่าจะพอกัน

นี่เป็นเรื่องกลับตาลปัตรมาก เจ้าหน้าที่สืบคดีหลี่ว์ผู้ลื่นไหลยืนอึ้งตรงนั้นอยู่เป็นนาน สายตากวาดมองไปซ้ายทีขวาที มองจบก็กระพริบตาแรงๆ ทีหนึ่ง กล่าวอย่างเสียใจสุดซึ้งว่า

“น่าละอายแล้ว น่าละอายจริง!”

ทุกคนมองไปที่เขา ใบหน้าเจ้าพนักงานหลี่ว์เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด กล่าวอย่างเสียใจอยู่ตรงนั้นว่า

“ศาลซุ่นเทียนเราทำงานกวาดล้างจับกุม รักษาความสงบในเมืองหลวง ให้ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข ผู้ใต้บังคับบัญชากลับทำงานละเลย ทำให้ใต้เท้าหวังพลอยหนักใจไปด้วย ข้าน้อยละอายใจยิ่งนัก ใต้เท้าหวัง โปรดรับการคำนับจากข้าน้อยด้วย!!”

พูดจบก็คำนับหนักๆ หนึ่งครา โจวอี้ที่อยู่ข้างๆ พลันหัวเราะกล่าวว่า

“ใต้เท้าหลี่ว์ทำเช่นนี้เหมือนกับร้องงิ้วเลย”

หลี่ว์วั่นไฉทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดนี้ รีบก้าวเข้ามาตะโกนด่ามือปราบสองคนนั้นว่า

“เจ้าบัดซบสองคนนี่ ยังไม่รีบโขกศีรษะขอรับโทษจากใต้เท้าหวังอีก หรือจะให้ข้ากลับไปศาลลอกหนังพวกเจ้าออกก่อน”

เห็นท่าทางเช่นนี้ของหัวหน้าตน หวังซื่อกับหลี่กุ้ยสองคนก็เข้าใจได้แล้วว่าเจอกับของจริงเข้าแล้ว รีบพุ่งตัวลงจากเก้าอี้หัวซุกหัวซุนมาคุกเข่าที่พื้น โขกศีรษะเสียงดังปักๆ ๆ

พื้นปูด้วยหินดาด มีความแข็งมาก ได้ยินเสียงโขกทำเอาหวังทงต้องขมวดคิ้ว แต่รู้สึกปวดหัวจึงรีบกล่าวว่า

“พอๆ ไม่ต้องโขกแล้ว ข้ามีคำถามจะถาม!”

เจ้าหน้าที่สืบคดีหลี่ว์จากศาลซุ่นเทียนจึงรีบสำทับกล่าวว่า

“ใต้เท้ามีคำถามก็ถามมาได้เลยขอรับ วันหน้าไม่ว่าเรื่องอะไร ศาลซุ่นเทียนจะคอยรับใช้ ไม่รีรอชักช้าอย่างเด็ดขาด เจ้าบัดซบสองคนนี่ ยังไม่รีบพูดอีก!”

พอเห็นหลี่ว์วั่นไฉและมือปราบเบื้องหน้าสองคนที่เปลี่ยนไปราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ ปฏิบัติต่อตนเองอย่างนอบน้อมเช่นนี้ ในใจหวังทงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกพอใจเล็กน้อย นี่นับว่าเป็นความหอมหวานของอำนาจ

“คดีเลือดที่ร้านสินค้าแดนใต้ของเถ้าแก่เจ้า พี่ชายสองท่านตรวจพบอะไรบ้างหรือไม่!”

ในเมื่อขอร้องผู้อื่นก็ต้องสุภาพหน่อย หวังทงกลับไม่ถือโอกาสกดขี่ผู้อื่น การกระทำของเขาทำให้หวังซื่อและหลี่กุ้ยที่คุกเข่าอยู่รู้สึกซึ้งใจ

แต่คำพูดนี้กลับทำให้สองมือปราบลังเล มองหน้ากันไปมา แล้วก็มองไปทางเจ้าหน้าที่สืบคดีหลี่ว์ ไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรดี หลี่ว์วั่นไฉโกรธมาก ในใจตอนนี้คิดว่าอย่าได้หาเรื่องให้ข้าอีกเลย มีอะไรพวกเจ้าพูดไปก็พอแล้ว จะมัวลังเลอะไรกัน

สุดท้ายยังคงเป็นหวังซื่อกัดฟันกล่าวว่า

“ในเมื่อใต้เท้าถาม ข้าน้อยก็จะพูดแล้ว คดีเถ้าแก่เจ้าไม่ใช่ถูกฆ่า แต่เถ้าแก่เจ้าสองสามีภรรยาแขวนคอตายเอง”

ฆ่าตัวตายจริงๆ ด้วย! หวังทงอึ้งไป พอได้สติก็หันไปทางโจวอี้ ใบหน้าที่ยังคงรอยยิ้มของโจวอี้กลับเรียบเฉย หวังทงใช้มือตบโต๊ะเบาๆ เดิมคิดว่าเป็นคดีใหญ่ ทำไมกลับเป็นการฆ่าตัวตายเอง การฆ่าตัวตายเป็นเรื่องในครอบครัว เรื่องแบบนี้ไม่ว่าศาลซุ่นเทียนหรือองครักษ์เสื้อแพรก็ไม่มีหน้าที่เข้าไปยุ่งเกี่ยว

แต่ฆ่าตัวตายในคืนวันสิ้นปี ทอดทิ้งลูกเล็ก คนปกติจะทำถึงขั้นนี้ได้อย่างไรกัน หวังทงไม่กล้ายอมรับ ถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า

“เป็นการฆ่าตัวตายจริงหรือ?”

“ไม่ว่าประตูหน้าบ้านหรือประตูเรือนด้านในก็ล้วนไม่มีร่องรอยคนนอกเข้าไป กำแพงก็เช่นกัน ศพทั้งสองเหยียดตรง ที่มือไม่มีร่องรอยอันใด ไม่มีการดิ้นรน คำถามเดียวคือฝ่ายชายแขวนคอตายตอนกลางคืน ข้าน้อยคาดเดาว่า นางผู้นั้นตื่นเช้ามาเห็นฝ่ายชายแขวนคอตาย ก็เลยแขวนคอตายตามไปด้วย…”

…………………………

[1] การสอบคัดเลือกเข้ารับราชการในสมัยราชวงศ์หมิง รอบแรกจะสอบระดับท้องถิ่น ผู้สอบผ่านจะได้คุณวุฒิที่เรียกว่า ซิ่วไฉ รอบสองระดับมณฑล ผู้สอบผ่านจะได้คุณวุฒิที่เรียกว่า จวี่เหริน รอบสุดท้าย ผู้สอบผ่านจะได้คุณวุฒิที่เรียกว่า จิ้นซื่อ ในรอบนี้ผู้ได้อันดับแรกจะเรียกว่า จอหงวน อันดับสอง เรียกว่าปั้งเหยี่ยน อันดับสามเรียกว่าทั่นฮวา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!