Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 63

ตอนที่ 63 พรรคไตรสุริยันฟ้าดิน

ในเมื่อทั้งสองท่านได้ตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว เมื่อเห็นว่าเป็นการฆ่าตัวตายเลยขี้เกียจจะสนใจต่อ จึงได้เป็นที่มาของเรื่องราวที่เกิดขึ้น ยามนี้หวังทงพลันรู้สึกกระอักกระอ่วน การสำแดงอำนาจนี้สูญเปล่าหรือ ทำให้ผู้คนเห็นแล้วรู้สึกน่าขำเสียจริง

พอสงบใจลงได้ครู่หนึ่ง หวังทงกลับคิดถึงเรื่องหนึ่งได้ สองสามีภรรยาตระกูลเจ้าในคืนวันสิ้นปีและวันปีใหม่ฆ่าตัวตายทั้งคู่ แท้จริงแล้วมีเรื่องบีบคั้นใดกัน ถึงบีบให้ต้องเดินบนเส้นทางแห่งความตายนี้ อดไม่ได้ถามขึ้นว่า

“ทำไมฆ่าตัวตาย พี่ชายทั้งสองได้พบเห็นประเด็นใดหรือไม่?”

คำถามนี้ถามเพียงเพื่อให้จบเรื่องเท่านั้น หวังทงไม่ได้คาดหวังอะไรมากนักแล้ว คิดไม่ถึงว่าคำถามนี้พอถามออกไป หวังซื่อและหลี่กุ้ยสีหน้าพลันเปลี่ยนไป ก่อนจะปรับคืนสู่ปกติ

แต่ความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในสีหน้า หวังทงกลับเห็นทัน เพียงแวบเดียวก็จับสังเกตได้ อดไม่ได้รุกตามต่อว่า

“ทำไมหรือ เห็นสีหน้าพี่ชายทั้งสอง รู้เงื่อนงำอะไรหรือ?”

การรุกถามเช่นนี้ กลับทำให้หวังซื่อและหลี่กุ้ยคิดว่าหวังทงรู้อะไรมา สถานการณ์ในหอเลิศรสเดิมก็กดดันอยู่แล้ว พอลนลานขึ้นมาก็ยิ่งเผยพิรุธ

มือปราบสองคนมองหน้ากันไปมา แล้วก็มองไปที่หลี่ว์วั่นไฉ จากนั้นก็มองไปที่โจวอี้ ดูว่าโจวกงกกงทำอะไร ยามนี้แม้แต่โจวอี้ก็ยังสนใจเช่นกัน

เจ้าหน้าที่สืบคดีศาลซุ่นเทียนหลี่ว์วั่นไฉกำลังปาดเหงื่อเย็นที่ซึมออกมา ในใจคิดว่าเจ้าของหอเลิศรสอายุยังน้อย กลับมีสายสัมพันธ์กับมหาขันทีเฝิงเป่าแห่งสำนักส่วนพระองค์ เฝิงกงกงเป็นคนระดับไหน เพียงขยับนิ้วเบาๆ ก็สามารถบี้ใต้เท้าศาลซุ่นเทียนทั้งบนล่างให้แหลกลงได้ ไปล่วงเกินอย่างไม่ทันรู้ตัวเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!

กลับไปต้องรายงานใต้เท้าเจ้ากรมใหญ่และใต้เท้ารองเจ้ากรมให้กระจ่าง ใกล้พระเนตรพระกรรณเช่นนี้ซ่อนผู้มากบารมีไว้มากมาย จะต้องกำชับเจ้าหน้าที่มือปราบทั้งหลายให้รอบคอบมากขึ้น มีแต่ผีถึงจะรู้ว่าหากไม่ระวังก็จะล่วงเกินใครเข้าได้

“พี่ทั้งสอง ไม่ต้องกังวลสิ่งใด เรื่องสืบคดีข้าจะทำเอง ไม่ต้องกังวลว่าจะพลอยเดือดร้อนไปด้วย”

คำพูดนี้เรียกสติหลี่ว์วั่นไฉให้กลับคืนกลับมา พอเห็นมือปราบสองคนมองซ้ายทีขวาที ขมวดคิ้วลำบากใจ ก็อดระเบิดโทสะใส่ไม่ได้ ยกปลายชุดยาวขึ้นพร้อมกับก้าวอย่างรวดเร็วเข้าถีบสองคนนั้นคนละที ตวาดเสียงดังว่า

“เจ้าพวกบัดซบ ใต้เท้าหวังถามเจ้าก็ตอบ ยังจะปิดบังอะไรอีก จะรอให้สับพวกเจ้าเป็นหมื่นชิ้นถึงจะยอมเปิดปากหรือไง!”

หวังซื่อกับหลี่กุ้ยครั้งนี้ไม่หันกลับไปมองหลี่ว์วั่นไฉอีก แต่กลับมองไปทางโจวอี้อย่างไม่รู้ด้วยเหตุใด ครานี้จึงพูดอย่างลังเลว่า

“เรียนใต้เท้าทุกท่าน พวกข้าน้อยเห็นในห้องนอนของตระกูลเจ้ามีพุทธรูปไตรสุริยันสำนักฮุ่นหยวน ผู้คนในเมืองหลวงบูชากันไม่น้อย…”

คำพูดอึกอัก ยามเอ่ยถึงพุทธรูปไตรสุริยันสำนักฮุ่นหยวน จากนั้นยังหันหน้าไปมองทางโจวอี้อีก

“พุทธรูปไตรสุริยันสำนักฮุ่นหยวนคืออะไร?”

หวังทงรู้สึกงุนงง แต่ก็มองตามสายตานั้นไป ขันทีโจวอี้กับผู้ติดตามสองคนนั้นก็มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก โจวอี้โบกมืออย่างหงุดหงิด เอ่ยด่าไปว่า

“มองข้าทำไม กราบไหว้พระก็มีอยู่ กราบไหว้นักพรตคูชู่กี[1] ก็มีไม่น้อย แต่ข้าไม่นับถืออะไร อย่ามามองข้า มีอะไรก็พูดไป”

ได้ยินโจวอี้กล่าวเช่นนี้ หวังซื่อกับหลี่กุ้ยจึงได้เปิดปากเล่าให้หวังทงที่กำลังงุนงงฟังว่า

“ใต้เท้า พุทธรูปไตรสุริยันสำนักฮุ่นหยวนคือเทพที่เคารพบูชาของสำนักไตรสุริยันฟ้าดิน หลายปีมานี้ ในเมืองหลวงและในเขตตอนเหนือ มีผู้คนไม่น้อยนักถือพุทธไตรสุริยัน…”

เห็นปฏิกิริยาของโจวอี้ หวังทงก็ไม่เร่งรีบสอบถามต่อ ด้วยเกรงว่าจะกล่าวถึงเรื่องที่ไม่ควรกล่าวถึง ล่วงเกินคนในวังหลวง แต่สำนักไตรสุริยันฟ้าดิน ทำไมฟังแล้วเหมือนลัทธิมาร หวังทงเอ่ยถามตามไปว่า

“นับถือพุทธรูปไตรสุริยันแล้วอย่างไร?”

“เรียนใต้เท้า นับถือพุทธรูปไตรสุริยัน บ้างก็ร่ำรวย บ้างก็ครอบครัวพัง บ้างก็ได้เปิดร้านในเมือง มีที่ทางนอกเมืองกัน บ้างต้องขายลูกเมีย และบ้างก็บ้านแตกสาแหรกขาด”

“ความร่ำรวยมากกว่าหรือว่าครอบครัวพังมากกว่า?”

“อันนี้…พวกข้าน้อยตอนปฏิบัติภารกิจบนท้องถนน ก็แค่ได้ยินเรื่องพวกนี้แบบไม่ตั้งใจ จึงได้นำมาเล่าให้ใต้เท้าฟังดูเท่านั้น สำหรับความจริงเป็นอย่างไรก็ไม่ทราบขอรับ!”

ระหว่างพูดก็โขกศีรษะกับพื้นไปอีกทีหนึ่ง เห็นท่าทีลำบากใจของหวังซื่อกับหลี่กุ้ยแล้ว หวังทงก็รู้ว่าถามอะไรไปคงไม่ได้ความต่อ จึงได้หันไปมองหลี่ว์วั่นไฉ

พวกมือปราบล้วนเป็นพวกหยาบกระด้าง แต่ได้พูดสิ่งที่ปิดบังไว้ออกมาบ้างแล้ว หากหลี่ว์วั่นไฉทำงานมาหลายปี ย่อมเข้าใจดีว่าเรื่องใดควรพูด เรื่องใดไม่ควร เมื่อเห็นหวังทงมองมา ก็ก้มหน้าก้มตาลงกล่าวว่า

“ตามที่ข้าน้อยทราบมา สองสามปีนี้ศาลซุ่นเทียนได้รับคดีความเกี่ยวกับสำนักไตรสุริยันไม่น้อย หากเรื่องลงโทษอะไรก็ล้วนเป็นบรรดาใต้เท้าตัดสินความทั้งหลายดำเนินการ มีทั้งเจ้ากรมใหญ่ รองเจ้ากรม ใต้เท้าเหล่านั้นตัดสิน หากความโดยละเอียด ข้าน้อยก็ไม่ทราบขอรับ?”

หลี่ว์วั่นไฉมีท่าทางลำบากใจอย่างที่สุด หวังทงกำลังจะถามต่อ โจวอี้ก็แทรกขึ้นว่า

“ไม่รู้ก็พอได้แล้ว รอให้รู้อะไรค่อยมาเรียนใต้เทียนก็ได้ หลี่ว์วั่นไฉวันนี้เจ้ามาถึงร้านนี่ เราได้รู้จักกัน วันหน้าใต้เท้าหวังต้องการทำอะไร หรือต้องการสืบคดีอะไร พวกเจ้าต้องให้ความช่วยเหลือให้มาก!”

หลี่ว์วั่นไฉรีบรับคำเสียงดัง ยิ้มกล่าวว่า

“เรื่องนั่นแน่นอนขอรับ …”

กล่าวถึงตรงนี้ก็ลังเลไปครู่หนึ่ง แอบลองถามหวังทงว่า

“ใต้เท้าหวัง หากสะดวกขอให้ข้าน้อยได้พบกับเจ้าทุกข์ที่เหลือผู้นั้นได้หรือไม่ อาจจะถามได้อะไรบ้าง!”

“พรุ่งนี้เข้ามาละกัน”

ผ่านหวังทงได้แล้ว หลี่ว์เหวินไฉก็ลอบถอนใจ ในที่สุดก็มีโอกาสได้ปาดเหงื่อบนหน้าผาก กล่าววาจาตามมารยาทต่อไม่นานก็พาหวังซื่อและหลี่กุ้ยกล่าวอำลาอย่างนอบน้อมจากไป

รอจนคนของศาลซุ่นเทียนออกไปจนหมด โจวอี้ก็โบกมือให้กับผู้ติดตามสองคนให้ออกไป สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้น กล่าวเสียงนิ่งเรียบว่า

“น้องหวัง ข้าเล่าให้เจ้าฟังก่อนว่าสำนักไตรสุริยันคืออะไร เจ้าค่อยบอกข้าว่าจะยุ่งเรื่องนี้ต่อไปหรือไม่?”

หวังทงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะพยักหน้ารับ โจวอี้นั่งลงที่โต๊ะเดียวกับหวังทง เริ่มเล่า

ขันทีในวังก็มีพวกที่นับถือพระนับถือเจ้า ส่วนใหญ่เป็นเทพเจ้าลิทธิเต๋า และก็ล้วนเป็นพวกนับถือนักพรตคูชู่กีจากนิกายฉวนเจิน สาเหตุเพราะคูชู่กีตอนตนเองเพื่อบำเพ็ญตบะ ถือเป็นจุดร่วมกันกับรรดาขันที ดังนั้นอารามฉางชุนในเขตบูรพาจึงได้มีผู้กราบไหว้มาตั้งแต่รัชสมัยเสวียนเต๋อ[2]

หากแต่หลายปีมานี้ สำนักไตรสุริยันเริ่มรุ่งเรืองขึ้น นิกายนี้ไม่รู้มาจากที่ใด และก็ไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้านิกาย แต่ในวังนอกวังมีผู้คนนับถือไม่น้อย

“ข้ากล่าวตามตรง ตัดส่วนนั้นแล้ว จะร่ำรวยเงินทองอย่างไร ก็เป็นพวกร่างกายพิการไม่สมประกอบ สำนักไตรสุริยันให้ความสำคัญกับเรื่องหลังการบำเพ็ญจะทำให้เกิดพลังหยาง[3]ถึงขีดสุด คนปกติฝึกแล้วร่างกายแข็งแรง โรคร้ายไม่กล้ำกราย คนทำงานในวังสามารถฟื้นคืนพลังหยางได้ และได้คืนความเป็นชายอีกครั้ง”

เป็นไปได้อย่างไร เหลวไหลสิ้นดี หวังทงคิดกำลังจะพูดออกมา โจวอี้ก็แค่นยิ้มกล่าวเหมือนกันว่า

“เหลวไหลสิ้นดี ตัดก็ตัดไปแล้ว จะงอกออกมาอีกได้อย่างไรกัน แต่ในวัง 12 สำนักขันทีมีขันทีมีตำแหน่งไม่น้อยแอบกราบไหว้พุทธไตรสุริยัน นอกวังก็มีพวกชั้นสูงมีเงินไม่น้อยที่แอบนับถือ พลังหยางเข้มแข็งนี่นา คนมีเงินใครบ้างที่จะไม่ชอบ…”

…………………………

[1] นักพรตคูชู่กี เป็นนักพรตเต๋า ฉายาทางเต๋าว่า ฉางชุนจื่อ มีชีวิตจริงอยู่ในช่วงปี ค.ศ. 1691-1770

[2] รัชสมัยเสวียนเต๋อแห่งราชวงศ์หมิงอยู่ในช่วงปี ค.ศ. 1426-1435

[3] ตามความเชื่อโบราณของจีน สรรพสิ่งล้วนแบ่งออกเป็นพลังหยางหรือพลังบวก และพลังหยินหรือพลังลบ เช่น เพศชายถือเป็นพลังหยาง เพศหญิงถือเป็นพลังลบ เป็นต้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!