Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 630

ตอนที่ 630 ตรวจสอบวิเคราะห์ สองทางล้วนยากลำบาก

“……หัวหน้าโจรสลัดซาต้าเฉิงนำกำลังโจรมารวมพลกันอยู่ที่ด่านเถี่ยเหมิน คิดว่าน่าจะจู่โจมเรือการค้าเทียนจิน……”

เสิ่นหวั่งคุกเข่าตอบอย่างนอบน้อม ได้ยินชื่อนี้ หวังทงก็ขมวดคิ้ว ชื่อสถานที่ก็แปลก เสิ่นหวั่งเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะรีบอธิบายเพิ่มเติมว่า

“เป็นหมู่บ้านประมงทางตะวันออกของอำเภอลี่จิน เมืองจี่หนาน”

“มีคนเท่าไร เรือเท่าไร?”

“ราว 120 ลำ คนราว 4,000”

เสิ่นหวั่งตอบจบ ก็ลอบมองสีหน้าหวังทง กลับพบว่าหวังทงสีหน้าเรียบเฉย จึงรีบก้มหน้าลง ได้ยินหวังทงกล่าวว่า

“ที่ข้าเคยได้ยินมาก่อนหน้านี้ ท้องทะเลล้วนเป็นคนของเถ้าแก่เสิ่น อย่างไรกัน ซาต้าเฉิง เถ้าแก่เสิ่นเอาไม่อยู่หรือ?”

วาจาเหมือนมีความนัย แต่ก็ตั้งใจเช่นนั้น เสิ่นหวั่งตอบอย่างนอบน้อมราวกับไม่รู้เรื่องว่า

“ต่อหน้าใต้เท้าไม่กล้ากล่าววาจาใหญ่โต ข้าน้อยมาทำการค้าที่เทียนจิน ลูกน้องออกทะเลขนสินค้า ด้วยบารมีใต้เท้า ร่ำรวยมาโดยตลอด กำไรไม่น้อย แต่ข้าน้อยทำกำไรได้มาก คนอื่นๆ ใช่ว่ามีหนทางเช่นนี้ คิดจะลงมือแย่งชิงทางนี้ก็ถูกข้อจำกัดไว้ มีพวกคิดการไม่ซื่ออยู่บ้าง คิดว่าคงไม่พอใจข้าน้อย”

เสิ่นหวั่งเล่ามาได้เป็นฉาก ๆ หวังทงมุมปากหวังทงยกยิ้ม ฟังเสิ่นหวั่งเล่าต่อว่า

“ซาต้าเฉิงต้องการปล้นชิงเทียนจิน ข้าน้อยไม่สะดวกใช้อาวุธเข้าต่อสู้ หากทำให้ท้องทะเลลุกเป็นไฟ ทำลายความสงบระหว่างกันแล้ว ทุกคนอยู่กันหลากพื้นที่ ท้องทะเลย่อมวุ่นวาย เกรงว่าเป็นผลร้ายต่อการค้าเทียนจิน ดังนั้นจึงมารายงาน ขอใต้เท้านำกำลังออกปราบรังโจร!!”

ได้ยินคำว่า ‘รังโจร’ หวังทงยิ้มออกกล่าวว่า

“เถ้าแก่เสิ่นดูท่าคงคิดได้แล้ว!”

เสิ่นหวั่งโขกศีรษะกล่าวว่า

“ข้าน้อยทำกำไรที่เทียนจินนี่ได้สมบัติมากินกี่ชาติก็ไม่หมดแล้ว ตอนนี้คิดให้ลูกหลานรุ่นต่อมาได้มีความมั่นคง เชิดชูบรรพชน ในเมื่อใต้เท้ายอมรับข้าน้อย ข้าน้อยก็ย่อมคิดได้แล้ว”

หวังทงหัวเราะดังลั่น ดึงเสิ่นหวั่งให้ลุกขึ้นกล่าวว่า

“เถ้าแก่เสิ่นในเมื่อคิดได้แล้ว ก็ย่อมเป็นมิตรสนิทเทียนจิน ทำการค้าใดที่นี่ก็ย่อมสะดวก เราเป็นมิตรสหายกัน”

“ใต้เท้าชี้แนะ ทำให้ข้าน้อยกลับตัวทัน มิบังอาจรับความเมตตาเช่นนี้จากใต้เท้า”

สีหน้าเสิ่นหวั่งนอบน้อมคล้อยตาม แม้ว่าถูกประคองให้ขึ้นนั่ง หากก็นั่งเพียงแค่เอียงๆ ไม่เต็มเก้าอี้ ท่าทางนอบน้อม หวังทงยิ้มถามว่า

“ด่านเถี่ยเหมินนี่ ทางข้าไม่คุ้นเคย ไม่ทราบว่าเถ้าแก่เสิ่นนำทางไปก่อนได้หรือ?”

“ข้าน้อยจะอยู่กับเรือรบใต้เท้า ดูทิศทางลมนำทาง!”

หวังทงอึ้งไป รีบยิ้มกล่าวว่า

“เถ้าแก่เสิ่นตอนนี้ก็คนกันเอง มีวาจาใดก็ให้กล่าวมาได้เลย ในเมื่อพวกโจรสลัดเป็นภัยแก่ท้องทะเล ข้าย่อมไม่อาจไม่แยแส แต่ต้องเตรียมตัวสักสองสามวัน ขอให้เถ้าแก่เสิ่นรอก่อน ถึงเวลาก็จะรบกวนเถ้าแก่เสิ่นนำทาง”

************

“อู๋เอ้อร์ ด่านเถี่ยเหมินจอดเรือได้เป็นร้อยกว่าลำ คน 4,000 เลยหรือ?”

พอเสิ่นหวั่งกลับไป หวังทงก็ให้คนไปตามอู๋เอ้อร์มา อู๋เอ้อร์นับว่าเป็นระดับหัวหน้าในสังคมฝ่ายมืด ยังเคยคบหาโจรสลัด เรื่องพวกนี้ย่อมคุ้นเคยอยู่

เห็นอนาคตเทียนจินแล้ว อู๋เอ้อร์ก็ย่อมคิดจะแสดงความสามารถให้เต็มที่ นับประสาอันใดกับการที่ไม่มีที่ไหนที่จะเปิดโอกาสได้เช่นนี้อีก หวังทงเรียกพบ ก็ย่อมแสดงความสามารถให้เต็มกำลัง

“ใต้เท้าถึงกับรู้จักด่านเถี่ยเหมิน?”

ได้ยินคำถามหวังทง อู๋เอ้อร์ถึงกับเสียมารยาทถามกลับ ตามมาด้วยการตบหน้าตนเองทีหนึ่ง ขออภัยกล่าวว่า

“ด่านเถี่ยเหมินนี่คนรู้กันน้อยมาก ข้าน้อยตกใจจึงได้เสียมารยาท!”

หวังทงโบกมือ แสดงให้เห็นว่าไม่เป็นไร วงการนักเลงย่อมมีประโยชน์ในเรื่องพวกนี้ที่สุด เขาย่อมคุ้นเคยกับทุกเรื่องทางนี้ เรื่องที่ไม่อาจเปิดเผย เรื่องที่ต้องหลบมุมมืด ก็ล้วนมาสอบถามจากพวกเขา

“เรียนใต้เท้า ด่านเถี่ยเหมินจอดเรือได้มากสุด 300 กว่าลำได้ คนก็เกือบหมื่น……”

“ในเมื่อเป็นท่าเรือชั้นดีเช่นนี้ เหตุใดจึงไม่มีคนใช้งาน?”

หวังทงตกใจกับคำตอบของอู๋เอ้อร์ ซานตงนอกจากเมืองเติงโจวและไหลโจวที่มีท่าเรือใหญ่แล้ว ก็มีท่าเรือการทหารที่เมืองชิงโจว เมืองจี่หนานถึงกับมีท่าเรือดีเช่นนี้ได้ด้วย หรือว่าการปิดกั้นทางทะเลเป็นการสูญเปล่า

อู๋เอ้อร์รีบตอบกล่าวว่า

“ใต้เท้าเข้าใจผิดแล้ว ด่านเถี่ยเหมินเมื่อร้อยปีก่อนเคยเป็นตลาดค้าเกลือ ต่อมารกร้าง ชายหาดตื้นมีมาก เวลาน้ำขึ้นก็ขึ้นมาก ชาวทะเล……ก็พวกเรือโจรสลัดลำใหญ่ไม่มาก สามารถดันเรือขึ้นมายังชายหาดตื้นได้ เรือใหญ่อย่างไรก็หาที่ทอดสมอได้ ดังนั้นจึงมีคนมาจอดเรือที่นี่กันมากเช่นนี้”

“แล้วพวกเสบียงทำอย่างไร? อำเภอลี่จินจัดหาอันใดให้ได้?”

“เรียนใต้เท้า หมู่บ้านติดทะเลที่เมืองจี่หนานและเมืองเติงโจว ไม่รู้ว่ามีชาวบ้านมากมายเท่าไรก็ทำมาหากินด้วยการขายอาหารให้พวกโจรสลัด ยังขายสินค้าให้อีกด้วย แต่ไรมาก็คึกคักอย่างมาก”

……

ที่แท้เรือที่มาจากประเทศวัว ไม่ว่าเรือโจรสลัดหรือเรือการค้า ล้วนต้องการรอขนถ่ายสินค้าที่ด่านเถี่ยเหมิน ไม่ใช่ว่าท่าเรือดีอันใด และก็ไม่ใช่ว่าเมืองเจริญอันใด ก็แค่ไม่มีอิทธิพลใหญ่ หรืออาจกล่าวได้ว่าไม่มีขาใหญ่คอยกันท่า

โจรสลัดเล็กๆ กับโจรในพื้นที่ซานตงมักจะมาที่นั่นกัน ฆ่ากันเองก็มี ร่วมกันทำมาหากินก็มี นักเลงที่ซานตงล้วนเคลื่อนไหวกันที่นี่ไม่น้อย

“แต่หลังจากเทียนจินเรารุ่งเรืองขึ้น ด่านเถี่ยเหมินก็ซบเซา มีแต่การค้ากับทางเขตปกครองใต้ของพวกเรือโจรเท่านั้นที่จะมาขึ้นที่ด่านเถี่ยเหมิน”

***************

“ทังซาน เจ้ารู้จักซาต้าเฉิงผู้นี้ไหม?”

อู๋เอ้อร์ออกไป หน่วยลาดตระเวรแม่น้ำทะเลทังซานก็ถูกหวังทงตามตัวมา ทังซานแม้ว่ามีหน้าที่เก็บภาษีแม่น้ำทะเล แต่เรื่องการรบทางน้ำที่เทียนจินก็ย่อมเรียกตัวเขามา ทังซานปีนั้นยังเคยเป็นโจรสลัด หวังทงย่อมตามตัวเขามาถาม

“ซาต้าเฉิง? ใต้เท้าหมายถึงคนที่เป็นโจรสลัดนั่นหรือ?”

ทังซานรู้จักจริงด้วย เห็นหวังทงพยักหน้าก็เป็นการให้คำตอบว่าใช่ ทังซานกล่าวว่า

“ซาต้าเฉิงมีฉายาว่าฉลามดำ ปีนั้นแย่งกันเป็นใหญ่บนท้องทะเลกับเสิ่นหวั่ง ต่อมาไปรวมกำลังกับพวกที่ฮกเกี้ยนและเฉวียนโจวจึงได้ตรึงกำลังกันได้ เช่นนี้จึงไม่ได้เสียเปรียบ จึงใช้วิธีการสาบานเป็นพี่น้องกันเพื่อรวมตัวกันเป็นหนึ่ง ทุกคนยอมรับให้เสิ่นหวั่งเป็นพี่ใหญ่”

ทังซานกล่าวเช่นนี้ หวังทงก็อึ้งไป ก่อนจะถามต่อว่า

“ปกติเสิ่นหวั่งออกคำสั่งซาต้าเฉิงได้ไหม สองกลุ่มนี้สามารถร่วมรบเป็นตายได้หรือไม่?”

ทังซานส่ายหน้ากล่าวว่า

“ที่ใต้เท้าว่าหัวหน้าทุกคนก็อยากทำ แต่ทำไม่สำเร็จ เสิ่นหวั่งเก็บเงินค่าคุ้มครองบนท้องทะเล จากนั้นก็แบ่งสรรกันเท่าๆ กัน จึงทำให้พอรักษาสภาพเช่นนี้มาได้ เมื่อก่อนบนท้องทะเล ทุกคนเห็นเรือจากกวางตุ้งและทะเลใต้มา เรือพวกโจรสลัดและเรือฟะรังคี จึงค่อยร่วมมือกันรบ ยามปกตินอกจากทุกคนจะหารือกันแล้ว ผู้ใดก็ไม่อาจสั่งการผู้ใดได้”

ทังซานเล่าช้าๆ ราวกับกำลังรำลึกความหลัง หวังทงก็ตกในภวังค์ความคิดด้วย ผ่านไปครู่หนึ่งจึงถามขึ้นว่า

“กล่าวเช่นนี้ ซาต้าเฉิงมีบารมีบนท้องทะเลมากหรือ?”

“ย่อมมาก ราชาไตรธาราเสิ่นหวั่งกำลังมากสุด กู้เหล่าหู่เป็นอันดับสอง ซาต้าเฉิงเป็นอันดับสาม ซาต้าเฉิงมีสายสัมพันธ์กับทางท่าเรือจันทราที่ฮกเกี้ยนอยู่บ้าง หากนับกำลังแท้จริงแล้ว ดีไม่ดียังเหนือกว่ากู้เหล่าหู่อีกหลายส่วน”

หวังทงเงียบไป ครู่หนึ่งจึงแค่นยิ้มกล่าวว่า

“พวกเราสู้กับกู้เหล่าหู่ หากจะสู้กับซาต้าเฉิง ท้องทะเลนี้ใช่ว่าเป็นของเขาเพียงผู้เดียวหรอกหรือ เสิ่นหวั่งก็ช่างคิดได้ ยืมดาบฆ่าคน ยังมาเอาความดีความชอบกับเรา”

“ใต้เท้ากล่าวได้ถูกต้อง เสิ่นหวั่งมีความร้ายกาจโหดเหี้ยมบนท้องทะเลนี้ สติปัญญาก็เป็นที่รู้กัน เรื่องนี้ย่อมต้องการใช้ประโยชน์จากใต้เท้า ข้าน้อยก็ได้ยินว่าเสิ่นหวั่งบีบเรือกลุ่มอื่นหนักมาก เรือเขาเองมีมาก การขนสินค้าเหนือใต้ก็ต้องใช้เรือของเขา ยังเปิดการค้าหลายร้านที่นี่ทำการค้ากับทางใต้ กินกำไรอื้อซ่า ร้านอื่นๆ ได้แต่รอรับส่วนแบ่งเล็กน้อย เรือหลายสิบลำไม่กล้าออกทะเล หลายร้านก็ไม่พอใจนัก หากซาต้าเฉิงทำการเช่นนี้จริง ก็ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้”

ได้ยินเช่นนี้ หวังทงก็งงเล็กน้อยถามว่า

“เทียนจินไปที่ต่างๆ เรือขนสินค้าไม่พอไม่ใช่หรือ เรือซาต้าเฉิงไม่มาร่วมขนด้วยเล่า?”

หวังทงสนใจการขนสินค้าทางทะเลอยู่สองเรื่อง หนึ่งก็คือการต่อเรือ สองก็คือเรือการค้าไปมาเทียนจินต้องปลอดภัยเรื่องอื่นๆ ไม่ค่อยใส่ใจนัก เหตุเพราะเรื่องราวมากมาย เขาได้แต่จับแต่เรื่องสำคัญ ได้ยินคำถามนี้ สีหน้าทังซานก็หลุดหัวเราะตามมาด้วยรู้สึกไม่เหมาะไม่ควร จึงกระแอมไอสองทีอธิบายว่า

“ใต้เท้า เรือเสิ่นหวั่งเหตุใดจึงมารับงานเทียนจินเราได้ เสิ่นหวั่งก็มาทำการค้ากับพ่อค้าเราได้ เพราะพ่อค้าเราไว้ใจเขา เพราะการค้าและเรือเสิ่นหวั่งมีการรับประกันจากร้านประกันภัยเรา ทุกคนก็วางใจ นับประสาอันใดกับการที่เสิ่นหวั่งประกาศตัวว่าเป็นเถ้าแก่หุ้นใหญ่ร้านประกันภัย เป็นดังป้ายรับประกันทองคำเลยทีเดียว เรือเดินทะเล ผู้ใดจะกล้ารับประกันอันใด หากถูกโจรสลัดปล้นรอบเดียวก็ทำความเสียหายหนักหนาแล้ว หากมีร้านประกันภัยรับรอง ก็ย่อมวางใจได้สามส่วน เสิ่นหวั่งยังแอบเผยสถานะตน ก็ยิ่งทำให้ผู้คนวางใจ”

“……คิดไม่ถึงจริงๆ …”

“ส่วนซาต้าเฉิงนั้นแม้แต่ร้านประกันภัยก็ไม่รู้จัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่า เสิ่นหวั่งย่อมต้องบีบเขาหนัก จะให้มารับงานขนสินค้าอันใดกันเล่า แม้ว่าสินค้าที่ขนมาจากทางใต้กับประเทศวัว ก็ไม่คนกล้าซื้อ”

ทังซานพูดไปพูดมาจนออกรส หวังทงส่ายหน้ายิ้มเฝื่อน ทังซานจึงได้หยุด ถามขึ้นว่า

“ใต้เท้า ล้มซาต้าเฉิงเหมือนเป็นการช่วยเสิ่นหวั่งตัดชุดแต่งงาน[1] พวกเราจะไปสู้หรือขอรับ?”

“ซาต้าเฉิงเรื่องนี้ ข้าสนใจด่านเถี่ยเหมินมากกว่า ทังซาน เจ้ายังจำท่าเรือถังเจียเหอได้ไหม?”

“เหตุใดจะจำไม่ได้ ข้าน้อยถูกใต้เท้าจับที่นั่น จะว่าไปแล้ว ก็เป็นตอนก่อนที่ข้าน้อยมีเงินทองในวันนี้ ตอนนี้ยังมักฝันถึง……”

หวังทงยิ้มพยักหน้า ตามมาด้วยว่า

“ถังเจียเหอไม่อาจมีอยู่ ด่านเถี่ยเหมินนี่ก็ไม่อาจมีอยู่ ท่าเรือตอนเหนือเทียนจิน ไม่อาจมีท่าเรือการค้าอื่น”

ในตอนนั้นเองก็มีคนด้านนอกตะโกนดังมาว่า

“ใต้เท้า ราชโองการมา……”

………………..

[1] สำนวนจีนการตัดชุดแต่งงานให้ผู้อื่น หมายถึงการทำอันใดโดยเสียเปล่า เหมือนตัดชุดแต่งงานให้ผู้อื่น ตนเองไม่ได้แต่ง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version