Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 629

ตอนที่ 629 สองจางแตกต่าง ใช้คน พบคน

มหาอำมาตย์จางซื่อเหวยเพิ่งเข้ารับตำแหน่ง ก็ขัดพระทัยเรื่องแต่งตั้งนายกองพันองครักษ์เสื้อแพรหวังทงเป็นผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร ยืนยันให้ลั่วซือกงนั่งตำแหน่งนี้

คนที่กล้ากำจัดขุนนางชั่ว สรรเสริญขุนนางภักดีเช่นนี้ บรรดาขุนนางต่างก็ยกย่องให้เป็นอำมาตย์ที่สามารถในความคิด หวังทงสามารถเป็นผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรได้หรือไม่เป็นข้อพิสูจน์เรื่องนี้ บรรดาขุนนางบัณฑิตต่างก็ยินดีปรีดายิ่ง

เทียบกับการแย่งชิงตำแหน่งผู้บัญชาการแล้ว การที่จางซื่อเหวยเลื่อนตำแหน่งให้นายกองพันองครักษ์เสื้อแพรหลัวซิ่วเฉาและหวังชุนเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร เรื่องนี้จึงไม่มีคนสนใจมากนัก

การเลื่อนตำแหน่งให้ลั่วซือกงเป็นผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรจัดการอย่างรวดเร็ว หากเรื่องแต่งตั้งหวังทงเป็นรองผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรกลับต้องไปผ่านราชโองการจากห้องทรงอักษร ได้ข่าวว่าฮ่องเต้ว่านลี่ทอดพระเนตรราชโองการอยู่นานก่อนจะถอนใจตรัสขึ้นว่า

“เสียหน้าเราหมด……”

คนที่ความรู้สึกไวกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่เหมือนเดิม เมื่อตอนที่จางจวีเจิ้งยังกุมอำนาจนั้น การโต้แย้งในราชสำนักเกี่ยวกับเรื่องหวังทงและเทียนจินค่อนข้างรุนแรง ไม่ยอมลดราวาศอก แม้ว่าสุดท้ายจะเป็นฮ่องเต้ว่านลี่ที่ต้องยอมถอย แต่ก็ต้องผ่านคลื่นลมมากมายก่อน

เหตุใดพอเป็นจางซื่อเหวย เรื่องเกี่ยวกับหวังทงกลับเงียบกริบเช่นนี้ได้ บารมีจางซื่อเหวยเทียบกับจางจวีเจิ้งได้อย่างไรกัน เหตุใดฮ่องเต้ว่านลี่จึงยอมอ่อนข้อให้ง่ายเพียงนี้

ข่าวคราวของหวังทงที่ออกมาจากในวัง น่าแปลกที่บรรดาขุนนางบัณฑิตเมืองหลวงเริ่มวิพากษ์วิจารณ์กันไปว่า จางจวีเจิ้งตอนบั้นปลายชีวิตถูกพวกคนชั่วชักนำ ทำให้การทำงานค่อยๆ ห่างไกลจากคำสอนปราชญ์บัณฑิตโบราณ เช่นว่าใช้การเก็บภาษีมาวัดการสอบตำแหน่งขุนนางและการตัดสินเลื่อนตำแหน่ง ช่างเหลวไหลสิ้นดี การตรวจสอบที่ดิน การประกาศใช้กฎหมายภาษีที่ดินทำให้บรรดาบัณฑิตต้องถูกขูดรีดที่นาไปมากมายเท่าไร ทำให้แต่ละครอบครัวต้องเสียประโยชน์ไปมากมายเท่าไร

พอจางซื่อเหวยขึ้นดำรงตำแหน่งมหาอำมาตย์ ก็เตรียมจะจัดการเรื่องนี้ให้ถูกต้อง ขจัดความชั่วให้สิ้นไป จะต้องค่อยๆ จัดการเรื่องที่ผิดไปแล้วให้กลับคืนมา แน่นอน เรื่องทั้งหมดนี้เป็นเพียงการคาดเดา จางซื่อเหวยไม่แสดงท่าทีอันใด การบริหารแผ่นดินตอนนี้ก็ให้เป็นไปตามแนวทางที่จางจวีเจิ้งวางไว้

พิธีศพของมหาอำมาตย์จางจวีเจิ้งผ่านไปได้ไม่กี่วัน เดิมราชสำนักควรจะจัดพิธียิ่งใหญ่ แต่เพราะเหตุจลาจลในเมืองหลวง พอจางซื่อเหวยขึ้นเป็นมหาอำมาตย์ ก็ถูกลืมไปอย่างตั้งใจและไม่ตั้งใจ บำเหน็จจากในวังและคำสรรเสริญความดีต่อจางจวีเจิ้งยังคงมีอยู่ แต่ผู้คนที่มาหน้าจวนจางกลับน้อยมาก

คนที่ผ่านโลกมามาก ย่อมรู้ว่าเป็นธรรมดา เมื่อคนจากไป น้ำชาเย็นชืด ไร้คนเหลียวแล

***********

ต้นเดือนเจ็ด ณ เทียนจิน หลายคนรู้ว่าใต้เท้าหวังส่งเสริมคนพิการคนหนึ่ง คนผู้นี้แซ่หลิ่ว ชื่อว่าหลิ่วซานหลาง

งานที่ให้หลิ่วซานหลางดูแลก็คือหน่วยรักษาความปลอดภัย หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยค่อนข้างตำแหน่งใหญ่ จะว่าให้ดีก็คือชายฉกรรจ์ในแต่ละแห่ง แต่ละตระกูล แต่ละร้านค้าต้องส่งคนมาร่วมฝึกตามกำหนด ปกติก็จะผลัดเวรกันเฝ้ายาม มีหน้าที่จัดสรรให้ทำตามความสามารถ แต่ละหน่วยล้วนทำเหมือนว่าเป็นการเกณฑ์แรงงาน

พื้นที่เทียนจินทำได้จริงจัง แต่ละหน่วยงานส่งคนมาร่วมฝึกกับหน่วยรักษาความปลอดภัยก็ล้วนมีบันทึกไว้ ยังได้ยกเว้นภาษีเล็กน้อยตอบแทน อาวุธก็ทางการจัดหาให้ ร่วมฝึกก็มีอาหารให้กิน

สำหรับชายฉกรรจ์ที่ร่วมฝึกแล้ว หากมีความตั้งใจ ไม่อยากเป็นราษฎรทั่วไป หากอยู่หน่วยรักษาความปลอดภัยตั้งใจฝึกก็อาจมีโอกาส เพราะคนของกองกำลังหู่เวยและสำนักองครักษ์เสื้อแพรก็มักจะมาคัดเลือกเจ้าหน้าที่สำรองจากหน่วยรักษาความปลอดภัย

นอกจากขอคนจากหน่วยงานในพื้นที่มาฝึกชั่วคราวแล้ว ร้านสามธารา โรงช่างสามธาร ร้านประกันภัยสามธาราและร้านค้าในเครือของหวังทง แต่ละแห่งก็ส่งคนมาราว 100-200 คนมาร่วมฝึกในหน่วยรักษาความปลอดภัย รวมกันแล้วก็เกือบสามพันคน กองกำลังนี้ไม่เอาพวกคนงานและช่างมาฝึก

กองกำลังสามพันคนนี้ ล้วนฝึกฝนอาวุธพร้อม หากไม่มีปืนและชุดเกราะเหมือนพวกกองกำลังหู่เวย ที่เหลือล้วนได้ฝึกเหมือนกองกำลังหู่เวย ครูฝึกก็มาจากทหารเก่าสูงอายุที่ปลดระวางจากกองกำลังหู่เวย

กองกำลังนี้ไม่มีรายชื่อในกรมทหาร เบี้ยหวัดและอาวุธให้เบิกจากร้านสามธารา ออกตรวจตราในและนอกเมืองเทียนจิน คอยอารักขาทุกแห่ง ล้วนอยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยรักษาความปลอดภัย

หน่วยรักษาความปลอดภัยเหมือนว่าเป็นกำลังทหาร แต่ก็ไม่ใช่ เพราะพวกเขาต้องคบค้าสมาคมกับบรรดาร้านค้าและราษฎรในเทียนจิน รวมทั้งพวกนอกพื้นที่ต่างเมือง ต้องใกล้ชิดราษฎรอย่างมาก ดังนั้นไม่อาจใช้กฎระเบียบกองทัพมาจัดการ

กำลังและพลทหารม้าเกือบสามพัน กองกำลังเช่นนี้ย่อมต้องอยู่ในมือของคนสนิทหวังทง ทุกคนเข้าใจหลักการนี้ดี ดังนั้นแต่เริ่มต้นที่ให้หลี่หู่โถว ลี่เทา ซุนซิงและเด็กหนุ่มจากลานฝึกหู่เวยมาเป็นแกนนำนั้นก็ดี ลำดับถัดมาจะให้ผู้ใดเป็นนั้น ทุกคนเดาว่าน่าจะเป็นคนตระกูลถาน แต่คิดไม่ถึงว่าจะเป็นหลิ่วซานหลางที่ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน

นอกจากได้ชื่อว่าหัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัย หากหลิ่วซานหลางยังได้ตำแหน่งนายกองธงใหญ่ประจำกองพันองครักษ์เสื้อแพรอีกด้วย ตำแหน่งไม่สูง แต่อำนาจไม่น้อย เท่ากับว่าการรักษาความสงบในและนอกเมืองเทียนจินล้วนอยู่ในการดูแลของเขา บรรดาพ่อค้าต่างต้องพึ่งพาอาศัยเขาอย่างมาก

คนเราหากแปลกหน้ากันไป ทุกคนก็ย่อมรีบไปสืบหาข่าว ข่าวที่ได้มาทำให้รู้ว่าหลิ่วซานหลางก็เป็นคนกองกำลังเทียนจินมาก่อน ครอบครัวไม่มีใคร คนเดียวโดดเดี่ยว

ได้ยินว่าตัวคนเดียวโดดเดี่ยว ทุกคนก็เหมือนคิดได้ว่า หรือว่าด้วยเหตุนี้จึงได้ดำรงตำแหน่งนี้ได้ คิดก็ส่วนคิด หากส่งมอบของขวัญสานสัมพันธ์ก็ยังคงต้องทำ ธรณีประตูบ้านหลิ่วซานหลางแทบพัง

จะเรียกว่าบ้านหลิ่วซานหลางก็ไม่ถูกต้องนัก เพิ่งมาเทียนจิน หลิ่วซานหลางยังไม่มีเงินมากนัก ยังคงเช่าบ้านนอกเมืองอยู่ หน่วยรักษาความปลอดภัยไม่ใช่ทหาร กองกำลังสามพันต่างกระจัดกระจายกันอยู่ตามร้านค้าต่างๆ แยกกันอยู่

หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยไม่นับเป็นทหาร ย่อมไม่อาจพักในค่ายทหาร หวังทงที่แต่ไรมาดูแลลูกน้องนี้ หากครานี้กลับลืม ไม่ได้หาที่พักให้

เห็นที่พักหลิ่วซานหลางลำบากเช่นนี้ บรรดาพ่อค้าต่างก็แสดงน้ำใจกันยกใหญ่ พ่อค้าเทียนจินไม่ขาดแคลนเงินทอง ไม่ต้องพูดถึงของขวัญมากมายที่ส่งมา ตอนนั้นยังมีพ่อค้าตบอกตนเองกล่าวว่า

“จะให้ใต้เท้าพักอาศัยยากลำบากเช่นนี้ได้อย่างไร ข้ามีบ้านพักริมแม่น้ำทะเล หากใต้เท้าไม่รังเกียจก็ไปพักได้ มีสาวใช้คนงานพร้อม”

มอบบ้านพักพร้อมคนรับใช้ก็ไม่เท่าไร แต่บ้านพักที่เป็นเรือนสามชั้น พร้อมสาวใช้และคนงานพร้อม ยังมีรถม้าพร้อม มีคนไม่เพียงแต่ให้บ้านพัก ยังจะจัดหาหญิงงามจากที่อื่นมาให้ด้วย

เมื่อก่อนพวกหลี่หู่โถวก็เจอสถานการณ์นี้ จึงปิดประตูไม่ให้เข้าพบเสียอย่างนั้น บางครั้งมีคนหาช่องทางเข้ามาได้มาตื้อหนักเข้า ก็ใช้แส้แกว่งไล่ไปทันที

หน่วยรักษาความปลอดภัยอย่างไรก็เป็นหน่วยงานที่รวบรวมคนจากพ่อค้าพวกนี้ ต้องสมาคมกับพวกเขาให้มาก หากแข็งกร้าวเกินไป ย่อมไม่ใช่เรื่องดี

************

“ใต้เท้า นี่คือรายการของที่หลิ่วซานหลางส่งมา”

ซุนต้าไห่นำรายการมอบให้หวังทง หวังทงหยิบมากวาดตามองไปรอบหนึ่ง ก็ส่งให้จางซื่อเฉียง กล่าวว่า

“ส่งคนของเจ้าไปตรวจดู หากไม่มีอันใดก็จ่ายให้หลิ่วซานหลางไป จัดที่พักให้ด้วย จัดทหารอารักขารับใช้ด้วย!”

จางซื่อเฉียงรับรายการไปก่อนจะรับคำ ยิ้มกล่าวว่า

“ใต้เท้า จากเบื้องล่างรายงานมา หลิ่วซานหลางนิสัยอ่อนนอกแข็งใน คนมากมายมอบของขวัญให้ เขารับแล้วก็นำส่งขึ้นมา พวกที่จะให้จวนและผู้หญิง เขาก็รับมือย่างนุ่มนวล ไม่ให้อีกฝ่ายเสียหน้า พ่อค้าล้วนรู้สึกว่าหลิ่วซานหลางคบหาง่าย”

หวังทงพยักหน้า กล่าวว่า

“หน่วยรักษาความปลอดภัยก็เหมือนเจ้าหน้าที่ทางการ หากวันๆ เอาแต่หน้ำตาดุดันแบบทหารก็ไม่สะดวกนัก แต่หากรู้งานมากไป ถูกพวกมีเงินในเทียนจินเอาเงินอุดปากไว้ก็จะเป็นภัย คนเช่นหลิ่วซานหลางเหมาะสม โรงเตี๊ยมต้อนรับแขกไปมาต้องรับมือสุภาพ ยังเคยฝึกฝนแบบทหารมา ไม่เสียแรงที่อยู่กองกำลังหู่เวยเรามาก่อน ต้าไห่ ให้คนไปเชิญเสิ่นหวั่งมา ข้าจะพบเขาวันนี้”

ซุนต้าไห่รับคำออกไป หวังทงหันไปกล่าวกับจางซื่อเฉียงว่า

“หลิ่วซานหลางต้องจับตาดูไปอีกครึ่งปี หน่วยรักษาความปลอดภัยขาดคนเช่นนี้ แต่ก็ไม่อาจวางใจไม่ดูแล”

จางซื่อเฉียงพยักหน้า ลังเลครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า

“ใต้เท้าไยต้องรีบร้อนเช่นนี้ คนของกองกำลังหู่เวยกับสำนักองครักษ์เสื้อแพรก็ฝึกฝนขึ้นมาได้ ค่อยๆ เฟ้นหาอย่างไรก็ต้องหาคนที่เหมาะสมได้”

“ไม่ได้เป็นผู้บัญชาการ แต่ตำแหน่งที่ได้มาก็ต้องไปอยู่ปฏิบัติหน้าที่ที่เมืองหลวงอยู่ดี ที่เทียนจินต้องรีบจัดการให้เรียบร้อย ไม่รีบไม่ได้!”

หวังทงตอบ จางซื่อเฉียงไม่กล่าวอันใดต่อ หยุดไปครู่หนึ่ง จางซื่อเฉียงกล่าวต่อว่า

“ใต้เท้า เจ็ดคนที่จับคุมขังนั้นมีหนึ่งคนบาดเจ็บสาหัสตายไปแล้ว ที่เหลืออีกหกคนแยกขัง ไปศาลชิงจวินให้ส่งเจ้าหน้าที่มาสอบปากคำหลายครั้ง ทุกครั้งถูกลงทัณฑ์จนยอมพูด ตอนนี้ไม่บอกว่าเป็นพวกลัทธิไตรสุริยันแล้ว หากบอกว่ามีคนจ้างมา แต่น่าจะไม่ใช่ความจริง!”

หวังทงพยักหน้า แค่นยิ้มกล่าวว่า

“ลงทัณฑ์หนักก็เกรงว่าคงกัดฟันไม่ยอมสารภาพ ไม่รีบ จัดการไปตามที่บอกหรือยัง?”

“ขอใต้เท้าวางใจ ตอนนี้ส่งคนป้องกันลดลงทุกวัน หากมีคนไว้ใจได้เตรียมไว้พร้อมแล้ว”

“การป้องกันของจริงต้องรัดกุมให้มาก พวกเชลยพวกนี้อยู่ในกำมือพวกเรา เบื้องหลังพวกมันไม่รู้ว่าร้อนใจเพียงใด อย่าให้พวกมันฆ่าปิดปากได้!”

กล่าวถึงตรงนี้ ด้านนอกก็มีคนรายงานดังเข้ามาว่าเสิ่นหวั่งมาถึงแล้ว หวังทงสบตากับจางซื่อเฉียง จางซื่อเฉียงรีบเปิดประตูเชิญให้เข้ามา

เสิ่นหวั่งสวมชุดยาวเข้ามา พอเข้ามาถึงก็หยุดเดินคุกเข่าลงโขกศีรษะอย่างนอบน้อมหลายทีกล่าวว่า

“ข้าน้อยเสิ่นหวั่ง คำนับใต้เท้าหวัง!”

คนในห้องที่เคยรู้จักเสิ่นหวั่งมา เมื่อก่อนภาพเสิ่นหวั่งในใจทุกคนก็คือแข็งกร้าวไว้ท่าที หากวันนี้กลับนอบน้อมยิ่ง ยากจะได้เห็น คนมีท่าทีเช่นไร มักแสดงให้เห็นถึงความคิดที่เปลี่ยนแปลงไป วันนี้เป็นเช่นนี้ ในใจก็คงคิดตกแล้วกระมัง หวังทงยิ้ม ไม่ได้ให้เสิ่นหวั่งลุกขึ้น ถามว่า

“เถ้าแก่เสิ่นมีเรื่องอันใด จึงได้รีบร้อนมาพบข้า!”

“ข้าน้อยมีเรื่องสำคัญรายงาน……”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version