Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 651

ตอนที่ 651 โชคดีที่แผ่นดินหมิงมีเจ้า

ไม่ว่าเฝิงเป่าเปรียบเทียบเช่นนี้เพื่ออะไร วันนี้ที่เขาพูดมาทั้งหมดเตือนสติหวังทงไม่น้อย อย่าได้คิดว่าทรงไว้วางพระทัย อย่าได้คิดว่าตนเองสร้างรากฐานไว้ยิ่งใหญ่เพียงใด ก็จะมาได้ใจคิดว่าอำนาจวาสนาเต็มที่ในชาตินี้ แต่แท้จริงแล้วรอบกายล้วนเต็มไปด้วยอันตราย หากไม่ทันระวังเพียงเสี้ยววินาทีก็อาจแหลกสลายได้ทุกเมื่อ

หวังทงสูดลมหายใจเข้าลึก กำหมัดแน่นกล่าวว่า

“หวังทงเดาได้บางส่วน แต่รายละเอียดอย่างไร ขอเฝิงกงกงชี้แนะ!”

เฝิงเป่ายิ้มพยักหน้ากล่าวว่า

“เจ้าเป็นเด็กเปิดเผยดี ยากที่จะหาคนรู้จักถ่อมตนจริงใจเช่นนี้ได้ เหตุใดจึงกล่าวเช่นนี้กับเจ้า ก็เพราะต้องการให้เจ้าระวัง ไม่เพียงแต่เจ้าต้องระวัง หากยังต้องระวังความระแวงของฝ่าบาท เจ้าสร้างความดีความชอบมากมาย แตะต้องผลประโยชน์มากมาย ล่วงเกินคนก็มากมาย ตอนนี้อำนาจของเจ้าได้มาเพราะฝ่าบาทปกป้อง จึงได้สยบคนรอบทิศได้ แต่หากเกิดเหตุไม่คาดฝันเล่า? กลัวก็แต่เหตุไม่คาดฝัน! หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน หากเจ้าไม่ทันระวัง เจ้าคงได้แหลกสลายเป็นผุยผง เจ้าคิดว่าฝ่าบาทจะไม่ลื่นลงไปในสระในอุทยานหลวงหรือ?”

หวังทงสีหน้าจริงจัง พยักหน้ากล่าวว่า

“วันหน้าต้องระวังทุกฝีก้าว ไม่อาจประมาทละเลยได้แม้เพียงนิด……”

เฝิงเป่าหุบยิ้ม ถอนหายใจกล่าวว่า

“ท่านจางป่วยจากไป ข้าถูกขับไล่ออกจากเมืองหลวง จางซื่อเหวยเดิมเหมือนได้อำนาจไป แต่คิดไม่ถึงว่าฟ้าไม่ประทานให้ ต้องกลับบ้านไว้ทุกข์สามปี คนในรุ่นนี้ก็สูญหายไปหมดเช่นนี้เอง”

กล่าวถึงตรงนี้ เฝิงเป่าก็หยุดไป เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่รู้ตกในภวังค์ความคิดใด เงียบไปครู่หนึ่งเป็นนาน ก่อนจะกล่าวต่อว่า

ข้อดีข้อเสียของนโยบายจัดเก็บภาษีและเรียกแรงงานสำหรับคลังแผ่นดินแล้ว ตอนนี้ย่อมดีอย่างมาก แต่หวังทงวันก่อนได้เห็นข้อเสียของนโยบายจัดเก็บภาษีและเรียกแรงงาน แต่เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงในยามนี้ หากเรื่องชีจี้กวงแห่งจี้โจวอยู่ในตำแหน่งอีกไม่นาน เป็นเรื่องที่หวังทงคิดไม่ถึง

อวี๋ต้าโหยวจากไปแล้ว หม่าฟางก็ชรามากแล้ว ชีจี้กวงจากจี้โจวไปอีก ชายแดนแม่ทัพดังก็คงเหลือแต่หลี่เฉิงเหลียงคนเดียวแล้ว เกรงว่าคงไม่ได้การแล้ว

“ตอนข้าอยู่ในวังร้อนใจมาก ทุกวันต้องการเข้าเฝ้าไทเฮา เข้าเฝ้าฝ่าบาท แต่ไม่ทรงให้พบสักองค์ รอจนหมดหวัง จึงได้คิดได้ จากเมืองหลวงมา กลับคิดตก ข้าครองอำนาจมานานปี เพื่ออันใดกัน เพื่อแผ่นดินหมิงยืนยง หรือเพื่ออำนานวาสนาของตนเอง น่าจะเป็นอย่างแรกมากกว่าหน่อย!”

เฝิงเป่ามีกลืนไม่เข้าคายไม่ออกบอกไม่ถูก หวังทงย่อมไม่อยากจะโต้แย้งอันใดกับคนแก่คนหนึ่ง ได้แต่ฟังเฝิงเป่ากล่าวต่อว่า

“นโยบายจัดเก็บภาษีและเรียกแรงงานถูกปัดทิ้ง คลังหลวงย่อมเดือดร้อน ในราชสำนักย่อมมีขุนนางแปดเก้าส่วนต้องคิดเรื่องเพิ่มภาษี อย่างไรก็คงไม่เก็บพวกเขา ล้วนเป็นราษฎรที่เสียเปรียบ หากเก็บภาษีหนัก เกรงว่าเป็นการบีบให้ราษฎรก่อการ ชีจี้กวงจากจี้โจวไป ทุ่งหญ้าทางนั้นย่อมปั่นป่วน การรบที่กู่เป่ยโข่วครานั้นทำให้พวกมองโกลสงบเสงี่ยมไม่น้อย พอเขาไป หรืออาจเกิดเหตุอีก ……ในนอกปั่นป่วน ให้ข้าวางใจไปหนานจิงใช้ชีวิตบั้นปลายได้อย่างไรกัน……”

ตั้งแต่หวังทงมา สีหน้าเฝิงเป่าแต่งแต้มรอยยิ้มมาตลอด กล่าวถึงตรงนี้กลับสะเทือนใจขึ้นมา แต่ก็ช่างบังเอิญ ด้านนอกไม่รู้บ้านใดจุดประทัด เสียงดังติดๆ กันไปทั่ว กลบเสียงในห้องไปหมด

รอจนเสียงประทัดหยุด เสียงเด็กๆ ก็เฮดีอกดีใจ ทำให้บรรยากาศในห้องผ่อนลงไม่น้อย อย่างน้อยก็ทำให้รู้สึกว่า ตอนนี้เป็นวันที่ 1 เดือนหนึ่งปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 11 ควรจะฉลองปีใหม่ที่บ้านให้มีความสุข

ผ่านเหตุการณ์นี้ไป อารมณ์พลุ่งพล่านใจของเฝิงเป่าก็สงบลง ได้แต่หลุดยิ้มเก้อกล่าวว่า

“ไม่ได้เป็นหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์แล้ว ยังมาวุ่นวายเรื่องพวกนี้อีก ช่างน่าขันๆ ……หวังทง เจ้านั่งลงๆ”

เมื่อครู่อารมณ์พลุ่งพล่านใจของเฝิงเป่าสงบลง แต่ยามนี้หวังทงกลับรู้สึกบอกไม่ถูก ได้ยินก็พยักหน้านั่งลง เฝิงเป่ากล่าวว่า

“หากไม่มีเจ้า สองเรื่องนี้ดีไม่ดีคงเป็นภัยใหญ่ แต่เพราะมีเจ้า ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นภัยใหญ่แล้ว เจ้าจัดการที่เทียนจินได้ดี ทุกปีส่งเงินเข้าวังหนึ่งล้านสองแสนห้าหมื่นตำลึง ทุกปีเหลือที่เทียนจิน คงไม่ใช่แค่จำนวนเท่านี้กระมัง?”

หวังทงส่ายหน้ายิ้ม ไม่ตอบคำถามนี้ เฝิงเป่าไม่ถามต่อ กล่าวเพียงว่า

“สิ่งที่เจ้าทำที่เทียนจิน ที่อื่นในใต้หล้าก็ล้วนทำได้ ที่แบบนี้หากมีหลายแห่ง นโยบายจัดเก็บภาษีและเรียกแรงงานถูกปัดทิ้งไป คลังหลวงเงินน้อยลง แต่ผ่านการเก็บภาษีแบบเจ้าได้ ชีจี้กวงคุมกำลังใต้หล้าหาผู้ใดเทียม แต่เขาเคยเขียนจดหมายรายงานท่านจางชมเชยเจ้า บอกว่าเจ้าอายุยังน้อย แต่เป็นขุนพลอนาคตไกล และพวกหลี่หู่โถว ลี่เทา ซุนซิงก็อายุน้อย ล้วนเป็นทหารฝีมือดี มีเจ้าอยู่ มีคนลานฝึกหู่เวยอยู่ แม้ไม่มีชีจี้กวง พวกเจ้าก็จะรับมือได้ ข้าออกจากเมืองหลวงมาทางเมืองทงโจว คิดได้ว่ามีเจ้า ในใจก็คลายกังวลลง”

กล่าวเช่นนี้ ความจริงก็คือนำหวังทงมาเทียบกับทั้งจางจวีเจิ้งและชีจี้กวง แม้ว่าอีกฝ่ายกล่าววาจำได้แยบยลลึกล้ำ แต่หวังทงฟังแล้วก็ยังรู้สึกซาบซึ้งใจ ลุกขึ้นประสานมือคำนับกล่าวว่า

“เฝิงกงกงชมเกินไปแล้ว หวังทงมีความสามารถอันใด รับคำชมเช่นนี้ไหวได้อย่างไร”

“รับไหวๆ เรื่องแต่ละเรื่องที่ทำมานั้น จะรับไม่ไหวได้อย่างไร”

เฝิงเป่ายิ้มกล่าว หวังทงเอาแต่มองท่าทางของเฝิงเป่า ท่าทางองอาจอย่างในปีนั้นไม่ปรากฏอีกแล้ว เหลือแต่ความเมตตาหลายส่วน

กล่าวถึงตรงนี้ก็ไม่รู้ว่าจะกล่าวอันใดต่อดี สองคนนั่งเงียบไปครู่หนึ่ง เฝิงเป่ากล่าวว่า

“อย่ามาเสียเวลาที่เทียนจินอีกเลย รีบไปเมืองหลวงซะ ข้างกายฮ่องเต้ซื่อจงมีผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรลู่ปิ่ง ตอนนี้ข้างกายฝ่าบาทต้องการเจ้า เจ้ารีบไปเถอะ!!”

กล่าวถึงตรงนี้ หวังทงก็ไม่มีปมในใจอีกต่อไป พยักหน้าตอบว่า

“เฝิงกงกงกล่าวได้ถูกต้อง ข้าจะรีบเตรียมตัวไปเมืองหลวงรับหน้าที่ วันนี้ได้ฟังเฝิงกงกงสอนสั่ง ช่างได้อะไรมากมายนัก ไปหนานจิงครานี้ หากท่านมีเรื่องใดให้ข้าช่วย ขอให้เอ่ยมา ร้านสามธาราย่อมจัดการให้ได้”

“แม้ข้าถูกขับจากเมืองหลวง แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีแม้เรือจะเดินทาง ข้าคิดจะอยู่เทียนจินถึงใบไม้ผลิ ชมทิวทัศน์ทะเลสักหน่อย พรุ่งนี้ข้าจะจัดเอกสารให้เจ้า เจ้าให้ฝ่าบาททอดพระเนตรแล้วก็เผาทิ้ง เหลือไว้จะยุ่งยากภายหลัง”

เฝิงเป่ากล่าวได้ไม่เคร่งเครียด แต่คิดได้พร้อมสรรพ การได้คุยส่วนตัวกับเฝิงเป่านี้ทำให้ร่าในวังไม่อาจไม่เข้าไปดูแล หวังทงรายงานพร้อมสารจากเฝิงเป่า ย่อมเป็นที่กระจ่าง

เสียงประทัดด้านนอกดังเข้ามา วันนี้คุยกันไปมาก เวลาไม่น้อยแล้ว สองฝ่ายไม่มีเรื่องจะคุยอีกแล้ว จึงหยุดแค่นี้ หวังทงลุกขึ้นอำลา

เฝิงเป่ายังคงมีท่าทีแบบขันทีใหญ่ นั่งพยักหน้าไม่ขยับ รอหวังทงเดินไปที่ประตู เฝิงเป่าลังเลก่อนจะกล่าวว่า

“ในเมื่อเจ้ามาแล้ว ข้าก็มีเรื่องอยากฝากฝังเจ้า”

หวังทงหันมากล่าวว่า

“เฝิงกงกงเอ่ยมาได้เลย ขอเพียงหวังทงทำได้ จะต้องทำให้อย่างเต็มที่”

“โหน่วหนิงเป็นคนกตัญญู ครั้งนี้ในวังเมตตาให้ข้าจากเมืองหลวงไปได้ โหย่วหนิงยังอยู่เมืองหลวงต่อไปได้ แต่เขาสละอำนาจวาสนาไปดูแลข้าที่หนานจิง ข้าไปหนานจิง ไม่ใช่ไปเฝ้าวังที่หนานจิงก็ไปเฝ้าสุสาน เขาติดตามไปทำไม เทียนจินรุ่งเรืองเพียงนี้ ข้าคิดให้เขาอยู่ที่นี่ ให้เจ้าดูแลด้วย ให้มีชิวิตที่ดีไปตลอดชีวิตได้ไหม?”

เฝิงโหย่วหนิงอายุใกล้ 40 กลับต้องให้หวังทงที่อายุไม่ถึง 20 มาดูแล พูดแล้วก็น่าขันเสียจริง ทว่าหวังทงรู้ เฝิงเป่าก็รู้ ในวังเป็นอย่างไร ตอนนี้ยังมองไม่ออก ในวังนอกวังจะกำจัดคนของเฝิงเป่าหรือไม่ ผู้ใดก็ไม่อาจรู้ได้

ให้เฝิงโหย่วหนิงอยู่เทียนจิน ก็เพื่อให้หวังทงคอยปกป้อง หวังทงลังเล เฝิงเป่ายิ้มกล่าวว่า

“เดิมข้าคิดไม่ถึงเรื่องนี้ กลับเป็นเมื่อหลายวันก่อน อิ๋วชีคนสนิทท่านจางถูกขับออกจากจวนท่านจางด้วยเหตุที่รับสินบน อิ๋วชีถูกขับ ก็เปลี่ยนชื่อแซ่ซ่อนตัวกลับไปยังบ้านเกิด คนอื่นไม่รู้ว่าเขาแอบเปลี่ยนชื่อปลอมมาเทียนจิน เขาวางรากฐานไว้ที่นี่นานแล้ว”

อิ๋วชีที่เคยวางตำแหน่งขุนนางในราชสำนักได้ มีเงินทองในมือเท่าภูเขา จะไปรับสินบนได้อย่างไร การทำเช่นนี้ก้เพื่อหาเหตุให้ถูกขับออก ถือจังหวะสลัดให้หลุดก่อนก็เท่านั้น เฝิงเป่าตอนนั้นยังคุมสำนักบูรพา ย่อมรู้ข่าวนี้

“ข้าเองก็ได้สติจากอิ๋วชี ตอนนี้โหย่วหนิงไปหนางจิงทำอันใด ให้เสวยสุขที่เทียนจินดีกว่า”

คิดถึงเรื่องที่วันนี้เฝิงเป่าว่ามา หวังทงรู้สึกว่าเป็นฝนที่มาทันเวลา ดังนั้นเห็นแก่น้ำใจเฝิงเป่าก็ย่อมได้

“ก็ดี ให้พี่เฝิงอยู่เทียนจิน หวังทงจะต้องดูแลอย่างดี”

เฝิงเป่าได้ยินก็ลุกจากเก้าอี้ ประสานมือคำนับขอบคุณ

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ต้องรบกวนแล้ว”

หวังทงพยักหน้ารับการคำนับ ยังไม่ทันขยับ เฝิงเป่าก็กล่าวอีกว่า

เฝิงโหย่วหนิงฝากฝังให้หวังทงนับว่าช่วยเหลือคืน เซี่ยงเหยียนไม่รู้จะลากสัมพันธ์อันใดมาโยง เห็นหวังทงลังเล เฝิงเป่ายิ้มโบกมือกล่าวว่า

“ข้าเหนื่อยแล้ว เจ้ากลับไปฉลองปีใหม่ได้แล้ว กลับไปเถอะ!!”

หวังทงก้มคำนับประสานมือ เขารู้ว่าจากนี้ไป ก็คงไม่อาจได้พบเฝิงเป่าอีก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!