Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 662

ตอนที่ 662 ถกกันเป็นความลับ

ตรอกหนานจิงทางตะวันออกของเมืองหลวง ที่นี่เป็นที่ตั้งของจวนขุนนางบู๊ในเมืองหลวง เหตุใดต้องเป็นตรอกหนานจิง ก็เพราะปีนั้นฮ่องเต้จูตี้ย้ายราชธานีมา ขุนพลที่ทรงนำมาเมืองหลวงล้วนพักกันที่นี่

ที่นี่คึกคักมากในเดือนแปดปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 10 เพราะที่นี่มีจวนผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพร คนมาคารวะ มามอบของขวัญ ย่อมไม่น้อย หน้าประตูราวกับตลาด

แต่หลังจางซื่อเหวยกลับไปไว้ทุกข์ที่บ้านเกิด เซินสือหังขึ้นนั่งตำแหน่งมหาอำมาตย์ แม้ไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงโยกย้าย แต่ความคึกคักก็ยังเบาบางลงไปมาก คนจากไป น้ำชาเย็นชืด ตอนแรกจางซื่อเหวยขอฮ่องเต้แต่งตั้งลั่วซื่อกงเป็นผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพร ตอนนี้จางซื่อเหวยไม่อยู่แล้ว ผู้ใดจะส่งเสริมเขากัน

ตำแหน่งนี้ไม่เหมือนตำแหน่งอื่น ไม่ว่าผู้ใดขึ้นครองอำนาจบริหาร ก็มักจะส่งเสริมคนสนิทของตนมานั่ง ลั่วซื่อกงก็เช่นกัน ทุกคนรู้ดีว่าวันเวลาของเขาเหลืออีกไม่นานแล้ว

ฟ้าเพิ่งมืดลง ประตูจวนตระกูลลั่วปิดสนิท ห้องหนังสือตระกูลลั่วมีลั่วซื่อกงเดินไปมาในห้องอย่างหงุดหงิด ข้างๆ มีบัณฑิตนั่งอยู่อีกสองสามคน

ในหมู่องครักษ์เสื้อแพร พวกที่รู้หนังสือมีน้อย อย่าได้พูดถึงห้องหนังสือเลย ที่เรียกว่าห้องหนังสือก็แค่ที่ที่ไว้หารือราชการลับกันเท่านั้น สีหน้าลั่วซื่อกงร้อนใจ ผู้ใดก็มองออก เขาเดินไปมาก่อนจะหยุดลงหันไปทางบัณฑิตผู้หนึ่ง มองสีหน้าไม่อะไรนักหนาในเรื่องนี้ สองมือลั่วซื่อกงสะบัดแรง คำรามขึ้นเบาๆ ว่า

“ตำแหน่งนี้ข้าขึ้นมานั่งได้นับว่าเป็นโชควาสนา ในเมื่อฝ่าบาททรงต้องการให้หวังทงมานั่ง ก็ให้เขานั่งไปก็แล้วกัน พวกเขาออกไปหาเรื่องนอกประตูเมืองมา มีอันตรายใหญ่หลวงรู้หรือไม่!? ตอนนี้ถูกจับไปแล้ว เมื่อครู่ส่งคนไปถามมา บอกว่าพวกบัดซบนั่นถูกขังที่คุกสำนักรักษาความสงบ เข้าไม่ถึง เดิมหวังทงเข้าเมืองมา พวกมันก็รอดูข้าอยู่ ตอนนี้ดีเลย ส่งจุดอ่อนให้ผู้อื่นไปกำไว้แล้ว ไม่ใช่หาเรื่องมาใส่ตัวหรือ!? พาภายนะมาสู่ตัวแท้ๆ !!”

พอลั่วซื่อกงพูดจบ คนในที่นั่นก็สบตากันไปมา บัณฑิตตรงหน้าลั่วซื่อกงยิ้มบางกล่าวว่า

“นายท่านช่างเป็นคนสัตย์ซื่อ มิน่าท่านจางจึงให้ท่านขึ้นนั่งตำแหน่งนี้ ไม่ต้องกังวลไป คนผู้นั้นสาวมาไม่ถึงตัวนำยท่าน เรื่องเช่นนี้ก็แค่มีคนคิดถือคุณธรรมวิจารณ์กันเปิดเผยในที่ชุมนุม หรือไม่ก็แอบนินทา บอกว่าพนันว่าหวังทงไม่เข้าเมือง ไม่ว่าผลเป็นเช่นไร ก็ล้วนสร้างชื่อเสียง จึงได้มีพวกใจร้อนออกไปหาเรื่อง เรื่องเช่นนี้มีกันทุกปี แต่ครั้งนี้ชนเข้ากับตอ นายท่านไม่ต้องกังวล!?”

อีกคนข้างๆ รีบรับคำกล่าวว่า

“บัณฑิตชิงหลิวด่าพวกบู๊ฝ่ายใน เดิมก็เป็นเรื่องคุณธรรม ผู้ใดจะรู้ว่ามีผู้คอยส่งแรงกระเพื่อม ในเมื่อหวังทงมีวิธีจัดการ ก็ถือว่าพวกเขาโชคร้ายเอง”

‘พวกบู๊ฝ่ายใน’ คำนี้ทำให้ลั่วซื่อกงตาพองโต คนที่รับคำก็ยิ้มแห้งๆ ลุกขึ้นขออภัย ลั่วซือกงนั่งลงที่เดิมด้วยสีหน้ำเย็นชา คำว่า ‘ฝ่ายใน’ ไม่เท่าไร แต่คำว่า ‘พวกบู๊’ คำนี้ถือเป็นดูถูกขุนนางบู๊อย่างมาก หลายปีนี้คำเหล่านี้เป็นคำดูถูกขุนนางบู๊ ‘พวกบู๊ฝ่ายใน’ ก็เหมือนรวมด่าลั่วซื่อกงไปด้วย

“พวกเจ้าก็ประเมินหวังทงต่ำไป ท่านจางและจางซื่อเหวยกดเขามาได้นานหลายปีเช่นนั้น แต่แล้วไง หวังทงจัดการนำพาตนเองจนยิ่งใหญ่ ในวังตอนเกิดเรื่องจลาจลพวกเจ้าได้ยินมาบ้างใช่ไหม ความดีความชอบเช่นนั้น พวกเจ้าคิดว่าจะกดเขาต่อไปได่หรือ ยังก่อเรื่องน่าขันเช่นนี้ได้ พวกเจ้าก็ช่างมั่นใจ ถึงตอนนั้นหากสาวมาถึง ทุกคนก็คงจบสิ้นกันหมด”

ลั่วซื่อกงนั่งกล่าวต่อไปหยุด พร้อมกับตบโต๊ะไม่หยุด กล่าวอย่างแค้นใจว่า

“ไม่ได้การละ พรุ่งนี้ข้าจะถวายฎีกา ขอลาออกจากตำแหน่ง ตอนนั้นดีใจ ยังคิดว่าวาสนาหล่นทับ คิดไม่ถึงว่าตนเองจะถูกจับขึ้นย่างบนเตาร้อนเช่นนี้ ไม่เป็นแล้วๆ !!”

ได้ยินวาจาเช่นนี้ บัณฑิตทั้งหลายก็มองหน้านายตนอึ้งไป ไม่กล่าวอันใด พากันพิงพนักเก้าอี้ ผู้ที่เอ่ยคำว่า พวกบู๊ ผู้นั้นแค่นยิ้มเยียบเย็นกล่าวว่า

“ผู้บัญชาการลั่ว ตอนนี้ไม่ใช่ช่วงเวลาเหมาะ ข้าน้อยคิดว่า ท่านลาออก วันหน้าพวกขุนนางก็ต้องยื่นฎีกาอีก ท่านรับเงินจากนายกองพันที่เหอหนานมาห้าหมื่น ทางเจ้อเจียงอีกหกหมื่น อีกคนที่คิดกลับจากหนิงเซี่ย ส่งมาเท่าไร เรื่องพวกนี้ปิดบังไม่มิดนะนายท่าน!”

ลั่วซื่อกงตบโต๊ะอย่างแรกง ลุกขึ้นตวาดดังด้วยความโมโหว่า

“บัดซบ พวกเจ้าขู่ข้า!!”

“ไม่ได้ขู่ แต่เตือนสติ ผู้บัญชาการลั่ว ท่านได้รับการส่งเสริมจากท่านจาง ตอนนี้เมืองหลวงหกกรมนี้ นอกจากมหาอำมาตย์เซินสือหัง ที่เหลือก็เป็นคนของจางซื่อเหวย หากมีคนที่จางซื่อเหวยส่งเสริมมาออกไป ที่เหลือก็ย่อมต้องออกตาม ปากทางนี้เปิดไม่ได้ อีกอย่าง ฝ่าบาทก็ไม่ได้ตรัสว่าให้ท่านออกจากตำแหน่ง ท่านจะทนไม่ไหวทำไมกัน!!”

วาจานี้เหมือนตำหนิ ดูรุนแรงไป คนผู้นั้นที่เรียกนายท่านรีบยิ้มกล่าวว่า

“สำหรับองครักษ์เสื้อแพรเราแล้ว ทุกคนไม่อยากให้ตำแหน่งนี้ตกอยู่กับคนที่ไร้หัวนอนที่มา ธรรมเนียมอันใดก็ไม่รู้สักอย่าง วันๆ สั่งการมั่วๆ จะว่าไป ฝ่าบาทเหินห่างจากขุนนางราชสำนัก กลับไปใกล้ชิดขุนนางชั่ว นี่มันเกี่ยวพันถึงแผ่นดิน พวกเราเป็นขุนนางจะนั่งมองดูดายได้อย่างไร!!”

ลั่วซื่อกงยืนมองซ้ายมองขวา มีคนหัวเราะ มีคนโมโห ในใจก็เข้าใจกระจ่าง คนพวกนี้มาเป็นที่ปรึกษาให้ตน เบื้องหลังย่อมมีขุนนางใหญ่บงการมา ตนเองก็ทำอันใดไม่ได้

ยืนอยู่ตรงนั้น เงียบไปครู่หนึ่ง ลั่วซื่อกงถอนหายใจยาว กล่าวอย่างเหนื่อยล้าว่า

“พวกเจ้าว่าอย่างไรก็อย่างนั้นแล้ว ไปพักก่อนละ”

ที่ปรึกษาพากันลุกขึ้น กล่าวอำลาอย่างนอบน้อม พอคนพวกนี้ออกไป คนสนิทลั่วซื่อกงด้านนอกก็เตรียมเข้ามาปัดกวาดทำความสะอาด เห็นลั่วซื่อกงมือกุมขมับกลัดกลุ้มใจ จึงทำอย่างเบามือ ตอนเดินไปตรงหน้าลั่วซื่อกง กลับถูกลั่วซื่อกงคว้าไว้ ได้ยินเขาส่งเสียงกระซิบเบาๆ ว่า

“อย่าส่งเสียง อีกสักครู่ไปช่วยข้าเรื่องหนึ่ง!!”

*************

แม้หวังทงไม่ได้อยู่เมืองหลวงมาห้าปีกว่า แต่ที่พักเขากับหม่าซานเปียวก็ยังมีคนมาปัดกวาดทำความสะอาดอยู่ตลอด ครั้งนี้ได้ยินว่าหวังทงกลับมา ก่อนเขามา ในห้องก็มีจุดไฟไว้รอแล้ว พอเดิมเข้าไปรู้สึกอบอุ่นอย่างมา น้ำชาอันใดก็เตรียมพร้อมสรรพ

เดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ในห้อง หวังทงมองซ้ายมองขวา ไม่รู้สึกว่าจากไปห้าปี แต่เหมือนว่าเพิ่งกลับมาอย่างไรอย่างนั้น

ได้ยินเสียงทหารยามด้านนอกที่เฝ้าเวรยามคุยกันจุกจิก ทำให้หวังทงรู้สึกไม่เหมือนเดิม หวังทงส่ายหน้ายิ้ม ยกน้ำชาขึ้นดื่ม

ยังไม่ทันวางจอกชาลง ด้านนอกก็มีคนเข้ามารายงานว่าหัวหน้ามือปราบศาลซุ่นเทียนหลี่กุ้ยมา หวังทงตอบรับให้เชิญเข้ามา หลี่กุ้ยเปิดม่านประตูเดินเข้ามา

พอเข้ามาในห้องเห็นหวังทง หลี่กุ้ยก็รีบคุกเข่าลงคำนับ หวังทงยิ้มเข้าไปประคองกล่าวว่า

“คนกันเองทั้งนั้น ไยต้องทำตัวเหินห่าง!?”

“ใต้เท้าหวังตอนนี้สถานะไม่เหมือนเดิม สูงส่งอย่างมาก เป็นข้าที่ไม่ถูกต้อง ตอนบ่ายใต้เท้าเข้าเมืองมา ข้าน้อยรออยู่ที่ทำการ ไม่ได้ไปต้อนรับ ขอใต้เท้าอภัยด้วย!”

ตอนนี้หวังทงเป็นรองผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรมีอำนาจจริง สถานะย่อมต่างจากหลี่กุ้ยรราวฟ้ากับเหว หลี่กุ้ยจึงยิ่งระมัดระวังมากขึ้น หวังทงกลับยิ้มเปิดเผยกล่าวว่า

“มีคนตั้งมากมายมารอต้อนรับข้าที่ประตูเมือง เอิกเกริกใหญ่โตเช่นนั้น บารมีข้าไม่น้อยแล้ว ไม่ต้องให้คนกันเองไปยุ่งยากด้วยหรอก!”

ทั้งสองพากันหัวเราะดังลั่น หลี่กุ้ยรายงานว่า

“คนเกือบร้อยที่จับมาเมื่อคืน ตอนจับมาเราก็ส่งสายสืบปะปนเข้าไปด้วย คนมาก ยังมืดแล้ว พวกเขาไม่รู้ว่าผู้ใดอยู่นอกเมืองกันบ้าง ไม่ว่าเฉินเกอหรือคนนอกคนใด ก็ล้วนว่าได้ยินจากที่ชุมนุมเล่ากันถึงเรื่องว่าหวังทงนำเงินก้อนใหญ่มหาศาลเข้าเมืองมา หากยับยั้งไม่ให้เข้ามาหรือตำหนิต่อหน้าได้ ก็ย่อมเป็นโอกาสสร้างชื่อเสียงคุณธรรมของตนให้โด่งดัง ขุนนางบุ๋นทั้งหลายกล่าวเช่นนี้ สำนักรักษาความสงบก็ส่งคนไปสอบถามลูกน้องพวกเขา ล้วนบอกว่าเจ้านายตนให้พวกเขาออกไปนอกเมืองดูลาดเลา ให้แน่ใจว่าหวังทงลากรถใหญ่มาพร้อมเงินก้อนมหาศาลเข้าเมืองหลวง ยังบอกว่าเป็นโอกาสสร้างชื่อเสียงให้ใต้หล้าประจักษ์”

หวังทงนั่งนิ่งไปครู่หนึ่ง กล่าวว่า

“สอบออกมาไม่ได้ว่าผู้ใดสร้างแรงกระเพื่อมหรือ?”

“คนพวกนี้กล่าวมาน่าจะจริง ดูท่าแล้วมีคนคิดสร้างแรงกระเพื่อมในเมืองหลวง บัณฑิตพวกนี้คิดแต่สร้างชื่อเสียง ได้ยินลมมาก็ว่าฝน เพื่อสร้างชื่ออะไรก็ทำได้หมด ข้าน้อยคิดว่า คนสร้างเรื่องน่าจะดูอยู่นอกเมืองเหมือนกัน แต่ย่อมไม่ได้เข้าเมืองมารายงาน”

หลี่กุ้ยศาลซุ่นเทียนเป็นมือปราบมานานหลายปี ยังทำงานที่สำนักรักษาความสงบมาอีกหลายปีจนเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ไม่น้อย การวิเคราะห์ของเขาสมเหตุสมผล หวังทงเงียบพยักหน้า หลี่กุ้ยกล่าวต่อว่า

“มีพวกทหารศาลอาญาใหญ่บางคนเอ่ยความจริง คนพวกนี้ปกติก็มีสายสัมพันธ์กับคนสำนักรักษาความสงบ ไม่กล้าไปพูดข้างนอก หากพูดกันภายในเหมือนกัน บอกว่าหัวหน้าศาลอาญาใหญ่เฉินจิ่วอิงได้รับคำสั่งมาว่า ตอนใต้เท้าเข้าเมืองมา ต้องตรวจสอบให้ดี คิดไม่ถึงว่านอกเมืองก็มีเหตุขวางทางกันแล้ว พวกเขาไม่ต้องลงมือ จึงได้แต่รอดู”

หวังทงยิ้มเยาะโบกมือกล่าวว่า

“ทหารศาลอาญาใหญ่ให้ปากคำแล้วก็ปล่อยตัวไปละกัน แอบให้ค่าน้ำร้อนน้ำชาไปด้วย วันหน้ามีโอกาสได้ใช้งาน หลี่กุ้ย เจ้าว่าคนมากมายในเมืองหลวงไม่อยากให้ข้ามา มาแล้วก็ไม่อยากให้ข้านั่งตำแหน่งนี้หรือ!!”

“ข้าน้อยไม่รู้อันใดทั้งนั้น รู้แต่ใต้เท้ามาเมืองหลวง วันดีๆ ของพวกข้าน้อยก็มาถึงแล้ว รู้สึกมั่นใจมากขึ้น!!”

*************

เช้าวันที่ 28 เดือนหนึ่ง หวังทงเพิ่งบ้วนปากเสร็จ ทหารด้านนอกก็รายงานดังเข้ามาว่า ในวังมีขันทีมา พอให้เข้ามา ขันทีผู้นั้นก็กล่าวอย่างนอบน้อมว่า

“ฝ่าบาทมีพระบัญชาเรียกหวังทงเข้าวัง!”

หวังทงอดงงไม่ได้ ในใจคิดว่าตอนเช้าไม่ใช่เวลาที่ทรงหารือราชการแผ่นดินกับบรรดาขุนนางหรอกหรือ เหตุใดจึงมาตามเข้าเฝ้ายามนี้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!