Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 676

ตอนที่ 676 หวังทงปราบราบคาบ

พวกหวังทงมาถึงหน้าประตูบ้านนายกองธงใหญ่หานกัง ปฏิบัติตามแบบที่ผ่านมา ส่งทหารกับเจ้าหน้าที่ศาลซุ่นเทียนเข้าไปพังประตู

วันนี้ตั้งแต่เข้าเมืองมาก็ไปจัดการลงทัณฑ์ถึงบ้านทีละคน ล้วนไม่พบการขัดขืน ต่อหน้าทหารกองกำลังหู่เวยกับเจ้าหน้าที่สำนักรักษาความสงบพวกนี้ ทหารองครักษ์เสื้อแพรที่ฝ่าฝืนกฎย่อมไม่อาจมีเรี่ยวแรงต่อต้านอันใด

ทหารธรรมดาก็ให้พวกทหารหวังทงไปจัดการ แต่นายกองธงใหญ่นั้นแตกต่าง ต้องให้หวังทงนำทหารออกมาจัดการเอง จัดการเหรินชุนไหล เฉิงโยวที่ยอมรับผิด ส่วนเจียงเฟิงป่วยอยู่บ้าน หานกังนี่เป็นคนสุดท้าย

ทุกคนรู้ว่าวันนี้เสร็จภารกิจรวดเร็ว ก็ล้วนรู้สึกผ่อนคลาย หวังทงเงียบไป คนด้านหลังหัวเราะขึ้นเบาๆ

เสียงประตูพัง เสียงคำราม เสียงร้องเจ็บปวด หวังทงขมวดคิ้ว เสียงร้องเจ็บปวดเห็นชัดว่าเป็นเสียงทหารที่ส่งเข้าไปเมื่อครู่ ถานเจียงได้สติ

กองกำลังหู่เวยเป็นทหารที่เก่งกล้าเหมือนทหารทั่วไปในแผ่นดินหมิง ทหารที่หวังทงนำมาเมืองหลวงด้วยก็ยิ่งเก่งกล้ากว่าทั่วไป คนสำนักรักษาความสงบก็ล้วนเป็นคนมีฝีมือที่หลี่เหวินหย่วนฝึกฝนมาหลายปีนี้ เข้าไปจับกุมเช่นนี้ถึงกับเสียเปรียบได้ หรือว่าในนั้นมีกักดักอันใด

ข้างนอกได้สติก็สีหน้าเคร่งเครียด ด้านหลังมีคนโดดจากหลังม้า รีบก้าวเข้าไป คนด้านในตะโกนดังว่า

“หานกัง เมื่อวานเจ้าไม่ได้ไปเข้ารับการฝึก ก็เท่ากับทำผิดกฎ เจ้าไม่รับโทษ ยังกลับกล้าขัดขืน อย่าได้โทษข้าไม่เกรงใจ!!”

มีคนตะโกนดังขึ้นอีก ฝีเท้าดังมา เสียงไม้พลองปะทะกัน ก่อนจะมีเสียงร้องเจ็บปวดดังขึ้นอีก ได้ยินก็รู้ว่าเป็นคนหวังทงที่เสียเปรียบ จากนั้นก็มีเสียงคำรามดังขึ้น

“มารดาเจ้าสิ หนวดยังไม่ขึ้นเต็ม จะมาฝึกอันใด ก็แค่อุบายมาจัดการพี่น้องเรา ข้าสามารถฝึกเองได้ ไม่ต้องให้เขามาสอน เห็นพวกเจ้าแล้วขัดตา ยังจะมาสอน……พ่อหนุ่ม ท่าทางเราได้นี่นะ!!”

พวกหวังทงด้านนอกลาน ได้ยินวาจานี้ก็มองไปเห็นไม้พลองลอยขึ้น คนในลานพากันตกใจ คนที่ร้องดังไม่ใช่หานกัง

“ไม้พลองเป็นไม้ยาวห้าฉื่อ ดูท่าคนของเราเสียเปรียบแล้ว!”

ถานเจียงนิ่งกล่าวขึ้น หวังทงส่ายหน้ายิ้มกล่าวว่า

“คิดไม่ถึงว่าพวกองครักษ์เสื้อแพรขี้เกียจพวกนี้ถึงกับมีคนเช่นนี้ได้ น่าสนใจ เราเข้าไปดูกัน”

กล่าวจบก็โดดลงจากหลังม้า คนทั้งหมดก็ตามลงมา มีคนยังจะหยิบดาบและธนูติดมือมาด้วย หวังทงโบกมือยิ้มกล่าวว่า

“อย่าเพิ่งใช้อาวุธกำราบเจ้าหมอนี่ ดูไปก่อน!”

“ใต้เท้า หานกังผู้นี้แต่ไรมาก็ไม่เกรงใจผู้ใด เพราะมีความกล้าและยังมีเบื้องหลังหนุน แม้แต่หน้านายกองพันเก่อก็ไม่ไว้ นายกองพันเก่อเองก็ไม่รู้จัดการอย่างไร”

หวังทงเดินเข้าประตูไป ก็เห็นทหารที่มาลงทัณฑ์ของตนถือพลองสั้นยืนกระจายตัว เบื้องหน้าเป็นชายถือไม้พลองในมือง ข้าง ๆ มีทหารสองคนนั่งแปะกุมหน้าอกอยู่กับพื้น ลุกไม่ขึ้น แม้ว่าทหารหวังทงจะมากกว่า แต่เห็นได้ชัดว่ากำลังเสียที คนที่ตามเข้ามาร้อนใจจะเข้าไปช่วย หากหวังทงยกมือห้ามไว้ หันไปถามคนนำทางที่เก่อลี่ให้มา สัพยอกกล่าวว่า

“นายกองพันเจ้าทำไม่จัดการไม่ได้ล่ะ?”

“……คือว่า……นายกองพันเก่อนิสัยดี ใจดีกับลูกน้อง บางคนไม่รู้จักคุณคน บางคนก็มีผู้หนุนอยู่เบื้องหลัง……”

ถูกถามเช่นนี้ คนนำทางก็ไปไม่เป็น แต่ไม่อาจไม่ตอบ ดังนั้นจึงตอบอู้อี้ๆ หวังทงมองชายเบื้องหน้าหนวดเคราเฟิ้ม สองตาถลน ได้ยินอีกฝ่ายคำรามดัง ยังคิดว่าคนผู้นี้น่าจะดูท่าทางดุร้าย เห็นตัวจริงแล้วก็ไม่เท่าไร

แม้หนวดเคราเฟิ้ม สองตาถลน แต่ใบหน้านั้นแสดงให้เห็นว่าแสร้งทำท่าดุร้ายไปก็เท่านั้น หนวดแม้เฟิ้ม แต่ใบหน้าขาวกระจ่าง อายุน่าจะไม่เท่าไร

“คนนี้คือไม่รู้จักคุณคน มีผู้หนุนอยู่เบื้องหลัง?”

“……หานกังปีก่อนมาเป็นทหารหน่วยเรา ไม่รู้ธรรมเนียม และยังมีคนในวังหนุน……”

คนของเก่อลี่ตอบอึกอัก หวังทงไม่ถามต่อ สถานการณ์เปลี่ยนแปลง หานกังชักไม้พลองในมือกลับ ทหารที่ประจันหน้าอยู่คิดว่าได้โอกาส คนหนึ่งก้าวเข้าไป อีกสองคนก็ตามเข้าไป

“ผิดแล้ว!”

หวังทงกับถานเจียงข้าง ๆ อดไม่ได้สบถขึ้น ดังคาด ไม้พลองชักกลับก็เพื่อส่งแรงกระแทกเข้าใส่ให้หนักขึ้นอีก ทหารด้านหน้าถูกฟาดไปทั้งแถบ ช่างบังเอิญ ไม้พลองปะทะไม้พลองกระแทกหน้าอกอย่างแรง ทนเจ็บไม่ไหว ล้มนั่งแปะกับพื้นทันที

ถูกตีล้มไปต่อหน้า สองแขนหานกังก็ยิ่งสะบัดกวาดแรง ทหารสองคนข้างที่กระหนาบเข้ามา หากเอาไม่อยู่ ถูกตีขา ต้องถอยออก แต่มีคนหลบไม่ทัน ถูกไม้พลองตีล้มไปอีก ส่งเสียงร้องดังอย่างเจ็บปวดคุกเข่าลงกับพื้น

“หยุด ถอยออกมา!!”

ทหารหวังทงหกคนที่เข้าไป ตอนนี้เหลือแค่สามคนที่ยังยืนอยู่ ย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ ไม่จำเป็นต้องสู้ต่อให้ขายหน้า หวังทงตะโกนสั่งให้หยุด ค่อยๆ เดินเข้าไป

“คนผู้นี้ใช้ยุทธวิธีทหาร องครักษ์เสื้อแพรเราไม่ได้สอน นายท่านระวังด้วย”

“ใช้ไม้พลอง ไม่ใช้ดาบ คนผู้นี้นับว่ายังยั้งมือ!”

ถานเจียงกับหวังทงถามตอบกันเหมือนคนละเรื่อง แต่ทั้งสองเข้าใจกันดี ได้ยินหวังทงสั่งให้หยุด สามคนที่ประจันหน้าอยู่ก็พากันก้มคำนับถอยออกมา ไม่สนใจศัตรูเบื้องหน้า เข้าไปประคองทหารที่ล้มลงเมื่อครู่ สีหน้าอับอายอย่างมาก

หวังทงเขี่ยตวัดไม้พลองสองอันข้างๆ ขึ้นมา ยิ้มกล่าวว่า

“หากเป็นสนามรบ เราถือดาบพัวเตา อีกฝ่ายถือไม้พลองยาว ขอเพียงตั้งรับให้ดีก็พอ ทหารเราเหตุใดจึงบุกเข้าไป เข้าไปให้ตายเรียงตัวงั้นหรือ!”

ไม้พลองที่ทหารหวังทงใช้ล้วนขนาดยาว 5 ฉื่อ ขนาดยาวใกล้เคียงกับดาบพัวเตา ส่วนไม้พลองของหานกังกลับยาวถึง 7-8 ฉื่อ ความยาวได้เปรียบไม่น้อย

มือหานกังถือไม้พลองทิ่มลง ค่อย ๆ ย่ำเท้าไปมา มาประจันหน้ากับหวังทง หวังทงในชุดรองผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพร เขาไม่ได้คิดจะคำนับตามมารยาทแม้แต่น้อย

สถานที่ติดถนนใหญ่เขตทักษิณเป็นบ้านขนาดใหญ่ ในบ้านก็กว้างขวาง จากที่พักก็ดูออกว่าสถานะหานกังไม่เลว หวังทงยังมองเห็นห้องด้านหลังหานกัง มีคนกำลังแอบมองจากหน้าประตูห้องและหน้าต่าง น่าจะเป็นคนในครอบครัวหานกัง

ครอบครัวเช่นนี้ อย่างไรก็ไม่น่าจะเป็นพวกใช้กำลัง องครักษ์เสื้อแพรตีพวกเดียวกัน นายกองธงใหญ่โต้รองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร ความผิดนี้เกรงว่าจะไร้สมองไปหน่อยกระมัง

หานกังผู้นี้มองใกล้ๆ แล้ว ยิ่งทำให้หวังทงมองออกอยู่เรื่องหนึ่ง อายุหานกังดีไม่ดีน่าจะน้อยกว่าที่คิดไว้เมื่อครู่ รูปร่างยังสูงกว่าหม่าซานเปียวอยู่เล็กน้อย แขนทั้งสองยาวมาก สองมือถือไม้พลองดูหนักแน่น สองขาก็ดูกำลังดี ท่อนล่างตั้งมั่นคง

รูปร่างเช่นนี้ หลี่หู่โถวโตขึ้นก็น่าจะเป็นเช่นนี้ ตามที่อวี๋ต้าโหยวเคยบอกไว้ตอนนั้น คนเช่นนี้หากฝึกยุทธ์ ฝึกได้ถูกต้อง ย่อมมีอนาคตไกล

หวังทงตกใจอยู่ไม่น้อย ในหมู่องครักษ์เสื้อแพรนี้ถึงกับมีคนแบบนี้อยู่ การเคลื่อนไหวของหานกังแม้ว่าจะรุนแรงแต่ก็ระมัดระวังไม่น้อย ดูแล้วฝึกมาถูกยุทธวิธี และได้มาตรฐานไม่น้อย

แต่สถานการณ์คับขันตอนนี้ ต้องจัดการคนผู้นี้ให้ได้ก่อน ไม่เช่นนั้นหากวันนี้ไม่อาจแสดงความน่าเกรงขามในการลงทัณฑ์ได้ เกรงว่าคงเป็นเรื่องให้หัวเราะเยาะไปทั่ว มือขวาหวังทงถือไม้พลองยกขึ้นเหนือศีรษะ ก้าวเข้าไปหาหานกัง

ระยะห่างราว 3 ก้าว ไม้พลองหานกังกวาดมาย่อมตีโตน แต่แทงออกมาอาจไม่สามารถส่งแรงมาทั้งหมด หานกังยังคงตั้งรับอยู่เหมือนเดิม ทั้งสองเท้าก้าวเดินจัดระเบียบท่าทาง ไม่ได้ส่งเสียงดังข่มอันใด เป็นการตั้งรอจู่โจมที่มีรูปแบบง่ายดายกว่าการล้อมโจมตีเมื่อครู่นัก

“อาวุธยาวไม่พอ ก็ต้องเข้าใกล้ให้พอจึงค่อยลงมือ!!”

หวังทงอยู่ๆ กล่าวขึ้นเสียงดัง ก้าวเข้าไปใกล้อีกก้าว มือขวายกไม้พลองสั้นเสมือนเป็นทวนยาวฟาดเข้าใส่ เขาใช้แรงแขน ใช้แรงทุ่มออกไป ไม้พลองฟาดไปราวกับมีเสียงลมฟาดแรง แต่อย่างไรก็ไม่ใช่ท่าทางสำหรับออกแรง ความเร็วจึงได้ไม่เท่าไร หากไม้พลองสั้นนี้แทงเข้าใส่หน้าอกหานกังอย่างจัง จำเป็นต้องปัดทิ้ง

ไม้พลองในมือหานกังตวัดมาปัดไม้พลองสั้นหวังทงทิ้งอย่างรวดเร็ว แต่หวังทงกลับโยนไม้พลองสั้นทิ้ง พุ่งเข้าใส่ทันที วิ่งเข้าใส่สองก้าว ก่อนจะรับไม้พลองสั้นอีกด้านเอาไว้ ระยะห่างไม่ไกลกัน สองสามก้าวก็ถึงตัว ห้องด้านหลังหานกังมีเสียงร้องตกใจดังขึ้น

แต่ไม้พลองของหานกังยังคงกระชับอยู่ในมือ ตวัดไม้พลองสั้นถูกปัดออก หวังทงยังไม่อาจเข้าประชิดได้ หานกังก็ตาโตตวาดดัง ฟาดไม้ในมือใส่อย่างแรง

ระยะห่างไม่ถึงสองก้าว ไม้พลองฟาดลงมา แม้ใช้แรงไม่เต็มส่วน แต่ก็นับว่าแรงไม่น้อย หวังทงไม่อาจทานรับได้ สองแขกยกไม้ขึ้นรับ สองฝ่ายปะทะกัน ไม้พลองสั้นในมือหวังทงสะบัด ไม้พลองหานกังลื่นไปอีกทาง เอียงไปอีกข้าง

หวังทงยามนี้โยนไม้พลองทิ้ง อาศัยจังหวะหานกังยังตั้งรับไม่ทัน ก็ไปถึงเบื้องหน้าหานกัง ซัดหมัดอัดคางหานกังอย่างแรง

ถูกอัดเข้าเต็มคางทำเอามึนจนเห็นดาว นับประสาอันใดกับการที่หวังทงเป็นขุนนางบู๊ที่ฝึกยุทธ์ทุกวัน หานกังถูกซัดไปหมัดหนึ่ง ก็เซไปหลายก้าว ยังคิดจะใช้ไม้พลองยันกายเอาไว้ หวังทงก็ก้าวตามเข้ามา อัดเข้าใส่ท้องหานกังอีกสองหมัดอย่างแรง

สามทีอย่างแรงทำเอาหานกังหมดสภาพ ในที่สุดก็ทนไม่ไหว กุมท้องคุกเข่าลงกับพื้น หวังทงหายใจแรงออกมาสองเฮือกกล่าวว่า

“พอเข้าใกล้ได้ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธ ใช้หมัดอัดแทน!!”

ยามนี้ทหารด้านนอกกรูกันเข้ามา จับหานกังกดไว้ ในตอนนั้นเอง ครอบครัวหานกังที่หลบอยู่หลังประตูก็เดินออกมาจากห้อง สองคนมองแล้วเป็นเด็กชายอายุราว 10 ปี ร้องไห้จ้าวิ่งออกมาพร้อมไม้ไผ่ในมือ เข้ามาตีหวังทง

“เสี่ยวเถี่ย เสี่ยวสือ อย่าทำร้ายน้องชายข้า!!”

หวังทงไหนเลยจะคิดเล็กคิดน้อยกับเด็กน้อยสองคน เอี้ยวตัวหลบ ทหารข้างกายรีบคว้าอาวุธในมือเด็กน้อยออก หากไม่จับตัวไว้ สองเด็กน้อยลนลานอยู่กับที่ หานกังถูกจับกดอยู่คำรามดังว่า

“ร้องไห้ทำบ้าไร รีบไปตามปู่รองมาที่นี่สิ!!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!