ตอนที่ 677 เช่นนั้นรอผู้ใหญ่หนุนหลังเจ้ามาก็แล้วกัน
ดูหว่างคิ้วเด็กน้อยสองคนมีความเหมือนกับหานกังหลายส่วน แต่กลับไม่ได้รูปร่างสูงใหญ่เหมือนหานกัง รูปร่างผอมแห้งอย่างมาก
พูดถึงความกล้าเรียกได้ว่าไม่น้อย ผู้ชายตัวใหญ่เต็มบ้าน เด็กสองคนถึงกับกล้าคว้าไม้ออกมาไล่ แต่เด็กก็คือเด็ก ถูกทหารหวังทงเข้าปลดอาวุธได้ก็ลนลาน พากันแหกปากร้องไห้จ้า
ทหารหวังทงวินัยเข้มข้น ย่อมรู้อะไรควรไม่ควร ไม่เช่นนั้นคงไม่ถูกผู้หญิงจัดการจนทำอันใดไม่ได้อย่างเมื่อครู่ เห็นเด็กน้อยก็ปวดหัว ทุกคนได้แต่ทำเป็นไม่เห็น หันกลับไปจับหานกังที่ดิ้นรนขัดขืนกดเอาไว้แทน
หานกังคำรามสุดเสียง เด็กสองคนก็ฉลาด เห็นทหารไม่ได้จับตัวตนเอาไว้ ก็หันหลังวิ่งออกไป วิ่งไปถึงประตู ก็มีคนสองคนมาขวางไว้ หวังทงยิ้มโบกมือให้ปล่อยตัวไป
หานกังที่พื้นคิดไม่ถึงว่าเด็กน้อยสองคนจะถูกปล่อยตัวออกไปง่ายเพียงนี้ ได้แต่อึ้งไปและไม่ดิ้นรนต่อ ทหารลงทัณฑ์ไม่กล้ารอช้า รีบเข้าไปคว้าเชือกมาจับหานกังมัดอย่างแน่นหนา
“ใต้เท้าลงทัณฑ์ตอนนี้เลยไหม?”
หวังทงยิ้มโบกมือกล่าวว่า
“จับขึ้นมา ข้ามีเรื่องจะถาม”
ทหารสองสามคนกระชับดาบคุมตัวหานกังขึ้นมา หวังทงยืนอยู่ข้างหน้า ยิ้มถามขึ้น
“เหตุใดเจ้าจึงคิดว่าการเข้ารับการฝึกเป็นการจับเจ้ามาทรมาน ผู้ใดบอกเจ้าว่ามีคนคิดจัดการเจ้ากัน!?”
“แล้วไม่ใช่หรือ ทำไมจงใจเลือกกองร้อยเราล่ะ รังแกกันมาถึงขั้นเหยียบปลายจมูกแล้ว เจ้าคิดว่าข้ากลัวหรือ?”
หวังทงได้ยิน ก็ก้าวเข้าไปย่อเข่าลงอัดท้องหานกังเต็มแรง หานกังถูกคุมตัวอยู่ก็ได้แต่ยันตัวรับไว้ แต่ความเจ็บปวดไม่น้อย ตัวงอขดลงอย่างกับกุ้งเป็นนานไม่อาจกล่าวอันใดได้ กว่าจะมีแรงคืนมาได้ก็ตะโกนดิ้นรนด่าสุดแรงว่า
“เจ้ามันมีความสามารถอันใด แน่จริงปล่อยข้าสิ พวกเรามาสู้กันใหม่……”
กล่าวไม่ทันจบ ก็มีอีกหมัดอัดเข้าที่ท้องอีกครั้งอย่างแรง หวังทงน้ำเสียงเย็นเยียบถามขึ้น
“ข้าเป็นถึงรองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร เจ้าไม่รู้จักเคารพ ยังเรียกตัวเองว่า ข้า เมื่อครู่กำราบไปยังไม่ยอมแพ้ หรือว่าไม่ใช่เป็นข้าที่กำราบเจ้าเมื่อครู่กัน?”
ต่อยไปสองหมัด หานกังสงบเสงี่ยมขึ้นมาก ตอนยืดตัวตรง ก็เอาแต่บ่นพึมพำไม่หยุดว่า
“อย่าคิดว่าเป็นขุนนางใหญ่นะ เบื้องหลังข้ายังมีผู้ใหญ่อีก หรือว่าเจ้าปล่อยข้าก่อน ข้าไม่เอาเรื่องเจ้า ไม่งั้นอีกประเดี๋ยวเจ้าได้เห็นดีแน่”
“ใต้เท้า เจ้าคงไม่รู้ดีชั่วเช่นนี้ โบยสัก 100 กับเฆี่ยนอีก 20-30 ทีก็คงจะรู้งานขึ้น!!”
เห็นคนไม่รู้จักดีชั่วเช่นนี้แล้ว แม้แต่ทหารในลานล้านก็ยังโมโห หลายคนยังขอให้หวังทงจัดการ แต่หวังทงกลับโบกมือ ยิ้มกล่าวว่า
“ไม่รีบ รอให้ผู้ใหญ่เขามา ข้าจะรอพบหน้าสักหน่อย ที่แท้เป็นเทพองค์ใดกัน”
ข้างๆ มีคนสั่งการว่าไปลากเก้าอี้มาให้ใต้เท้า มีคนจะเดินเข้าไปในห้องยกมา หวังทงรีบเรียกไว้ กล่าวว่า
“ข้างในอาจมีหญิงเจ้าบ้าน อย่าได้รบกวน นั่งอยู่ข้างนอกนี่ก็ได้”
ชายหญิงไม่อาจใกล้ชิด แม้ว่าเป็นการปฏิบัติงาน ก็ต้องดูเรื่องพวกนี้ด้วย สำหรับพวกที่มีสถานะนั้นล้วนเป็นเรื่องยุ่งยาก เมื่อครู่เด็กน้อยสองคนวิ่งออกมา หวังทงเห็นว่าข้างในอาจมีคน แม้ว่าไม่รู้ว่าชายหรือหญิง แต่อย่างไรก็ไม่ควรหาเรื่องยุ่งยากใส่ตัว
หานกังเมื่อครู่ตวาดดังไม่หยุด แต่พอเห็นเช่นนี้ก็เงียบไปครู่หนึ่ง ตอนพูดอีกครั้งอารมณ์ก็เย็นลงมาก แต่น้ำเสียงก็ยังคงไม่พอใจ ด่าว่า
“ตระกูลข้าไม่ได้เป็นตระกูลองครักษ์เสื้อแพรแล้วไง ข้าคนเดียวจัดการพวกเจ้าสิบยี่สิบได้ คอยหาเรื่องแต่ข้า ขัดขาข้า ข้าไปล่วงเกินผู้ใดกัน หากไม่ใช่ว่าข้ามีผู้ใหญ่หนุนหลังก็คงได้โชคร้ายไปแล้ว พวกเจ้าจะเท่าไรกัน ข้ามีผู้ใหญ่หนุนเว้ย พวกเจ้าผู้ใดกล้าล่วงเกิน!!”
“เข้ารับการฝึกเหตุใดจึงเป็นหาเรื่องเจ้าเล่า?”
“ไม่เรียกผู้อื่น เรียกแต่ข้า ยังไม่หาเรื่องอีกหรือ ข้ายังต้องเข้ารับการฝึก……”
“หุบปาก!! หากเมื่อครู่ทหารพวกนั้นถืออาวุธยาว เจ้าคิดว่ายังจะยืนหยัดอยู่ได้หรือไง หากเจ้ามีความสามารถจริง จะถูกมัดอยู่นี่หรือไง!!”
ฟังหานกังตะโกนไม่หยุด หวังทงก็พอเข้าใจเรื่องราวกระจ่างแล้ว แต่หานกังหลงตัวเองมากไป หวังทงทนฟังต่อไปไม่ไหว มีความสามารถก็มีอยู่ แต่หากหลงตัวเองย่อมเป็นความผิดพลาด จึงออกปากสั่งสอนไป ถูกหวังทงอัดไปกองกับพื้น หานกังไม่รู้จะตอบโต้คืนได้ด้วยเหตุผลอันใด จึงได้แต่หน้าบึ้งหุบปากทันที
“เมื่อครู่วิชาเพลงทวนเจ้าเรียนมาจากเจ้อเจียงใช่หรือไม่? หรือว่าจากเมืองจี้โจว?”
ขณะเงียบอยู่นั้น ถานเจียงกลับเดินเข้าไปถามขึ้น หานกังอึ้งไปนานกว่าจะตอบเสียงแข็งว่า
“เมืองจี้โจว……”
ถานเจียงพยักหน้า หันไปทางหวังทงกล่าวว่า
“เมื่อครู่คนผู้นี้รุกถอยล้วนมียุทธวิธี ใต้เท้าชีเน้นเรื่องทหารราบกับเพลงทวน หากไม่ใช่สองแห่งนี้ย่อมฝึกออกมาไม่ได้แบบนี้ ดูการต่อสู้แล้ว เขาน่าจะผ่านสมรภูมิมา ดังนั้นข้าน้อยจึงได้ถามเช่นนั้น”
นี่ก็วิเคราะห์ได้เหมือนหวังทง เมื่อครู่การต่อสู้แม้เพียงชั่วครู่แต่ก็ดุเดือดทำให้หวังทงเหงื่อออก แต่ในใจกลับผ่อนคลาย ยิ้มถามขึ้น
“เมืองจี้โจวทางนั้นเทคนิคการต่อสู้เทียบกับที่ใต้เท้าชีสอนแล้วเป็นไง?”
“เรื่องนี้เทียบกันยาก ใต้เท้าอวี๋กับใต้เท้าชีล้วนเคยแลกเปลี่ยนกันมา น่าจะมีใช้แนวทางเดียวกัน แต่ใต้เท้าอวี๋สอนนายท่านตอนนั้น น่าจะเพิ่มสิ่งที่ตนเองเรียนรู้มาได้เข้าไปอีกด้วย”
หวังทงพยักหน้า หานกังที่ถูกมัดแน่นหนาได้ยินแล้วก็อึ้งไป ชีจี้กวง อวี๋ต้าโหยว ขุนพลบู๊แห่งยุคในตำนาน แต่เด็กหนุ่มเบื้องหน้านี้ถึงกับได้รับการถ่ายทอดจากอวี๋ต้าโหยวด้วยตนเอง จะไม่ให้เขาตกใจได้อย่างไร ในใจหานกังก็เริ่มยินดี มิน่าจึงถูกอัดคว่ำ ที่แท้เป็นผู้ได้รับถ่ายทอดจากวีรบุรุษในตำนานนี่เอง
มีคนออกไปเอาน้ำเต้าที่แขวนบนอานม้ามาให้หวังทงดื่มน้ำ หวังทงยิ้มถามถานเจียงว่า
“เจ้าหมอนี่น่าจะถูกรังแกไม่น้อย เข้ารับการฝึกครั้งนี้น่าจะถูกหลอกใช้มาออกหน้าถึงแปดเก้าส่วน”
หลังการถามตอบเมื่อครู่ ทุกคนก็มองออก ถานเจียงยิ้มพยักหน้า ปากหานกังไม่ได้แข็งเหมือนเมื่อครู่ ได้แต่ก้มหน้านิ่ง
หวังทงส่งน้ำเต้าให้ถานเจียง พลางกล่าวว่า
“ถูกรังแกมาหลายครั้ง สามารถนั่งตำแหน่งนายกองธงใหญ่มาได้ ยังมีบ้านใหญ่เช่นนี้ ดูท่าผู้ใหญ่เบื้องหลังหมอนี่น่าจะไม่น้อย ข้าชักสนใจละ เป็นผู้ใดกัน?”
“ใต้……ใต้เท้าหวัง ดูแล้วท่านก็ไม่น่ำใจแคบ ปล่อยข้าเถอะ เดี๋ยวสักครู่เราค่อยคุยกันดีๆ !!”
หานกังยอมอ่อนให้ในที่สุด พึมพำกล่าวขึ้น ถานเจียงกับทหารหวังทงย่อมรู้สถานะและบารมีหวังทงในเมืองหลวงอย่างกระจ่าง ได้ยินหานกังกล่าวเช่นนี้ ทุกคนก็พยายามฝืนกลั้นเอาไว้ แต่ไม่รู้ว่าผู้ใดจะกลั้นไม่ไหวก่อนกันจึงหลุดออกมา ทุกคนพากันหัวเราะฮาลั่นตาม
หัวเราะจนหานกังงงไปหมด สุดท้ายจึงโมโหหนัก ไม่พูดอันใดอีกเลย เดี๋ยวรอดูก็แล้วกัน
น้องชายสองคนของหานกังไปกันนานแล้ว พวกหวังทงมากันก็เกือบเที่ยงแล้ว คอยไปคอยมาก็ไม่มาสักที ทหารที่ออกไปหลังสุดซื้ออาหารมา ใส่มาในสำรับ เข้าไปนั่งกินในลานหน้าบ้านหานกังอย่างขอไปที
กินอาหารกลางวันเสร็จ พวกหวังทงล้วนคิดว่าหานกังขี้โม้เป็นแน่ แต่สีหน้าหานกังมั่นใจเต็มเปี่ยม ทำให้หวังทงรู้สึกอยากรู้ยิ่งนัก
ผ่านไปอีกเกือบชั่วยาม มีคนมาจริง พวกทหารหวังทงยืนเฝ้าอยู่ในลาน นี่เป็นคำสั่งหวังทง ไม่ให้คนไม่เกี่ยวข้องออกไปข้างนอก จะทำให้ผู้ใหญ่หนุนหลังหานกังไม่กล้าเข้ามา
ได้ยินเสียงฝีเท้าเร่งรีบมายังลานบ้าน ยังได้ยินเสียงเด็กน้อยรีบร้อนกล่าวขึ้น
“ปู่รอง ไม่รู้พวกเขาไปกันหรือยัง!!”
ฝีเท้ามาหยุดหน้าประตูอย่างรวดเร็ว หวังทงกำลังนั่งอยู่บนอานม้าที่ปลดลงมา ประตูใหญ่หน้าลานเปิดออก ก็เห็นศีรษะขันทีผู้หนึ่งโผล่ออกมา ก่อนจะผลุบกลับไป
หวังทงอึ้งไป ยิ้มหันไปกล่าวกับหานกังว่า
“ผู้ใหญ่หนุนหลังเจ้าเป็นคนในวังเชียวหรือนี่ มิน่าจะจึงมั่นใจนัก!”
ยามนี้หานกังกลับไม่ยอมพูด สมองเขาแม้ว่าคิดช้าแต่ก็มองออกว่าหวังทงไม่เกรงกลัวคนในวังแม้แต่น้อย
เกี้ยวด้านนอกหยุดลง จากนั้นก็มีเด็กชายสองคนปรากฏตัวขึ้นที่ประตู เห็นหานกังถูกมัดอยู่ ก็รีบตะโกนขึ้นว่า
“ปู่รอง พี่ใหญ่ยังถูกมัดอยู่ ท่านรีบมาช่วยเร็ว!!”
“ผู้ใดกันบังอาจบัดซบเช่นนี้ ถึงกับกล้ารังแกคนตระกูลหานเราได้!!”
ได้ยินเสียงแหลมตวาดดังอย่างโมโหพร้อมขันทีในชุดลายงูใหญ่สีแดงปรากฏตัวขึ้นที่ประตู การแต่งกายเช่นนี้ในวังเรียกได้ว่ามหาขันทีหรืออย่างไรก็ไม่ห่างไกลจากคำว่ามหาขันทีสักเท่าไร นับได้ว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในวัง
ขันทีสีหน้าโกรธจัด หานกังพอเห็นก็ไม่สนใจคนที่คุมตัวอยู่ หากดิ้นรนตะโกนดังว่า
“ปู่รอง เจ้าพวกนี้รังแกข้า เมื่อครู่ยังอัดข้าด้วย ปู่รองออกหน้าให้ข้าด้วย!!”
วาจานี้เห็นชัดว่าเป็นเด็กน้อยขอความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่ ขันทีผู้นี้ดูคุ้นๆ หวังทงไม่สนใจ ใหญ่แค่ใดก็คงไม่ใหญ่ไปกว่าจางเฉิง ใหญ่แค่ไหนหรือจะสู้ ‘บ่าว’ ข้างพระวรกายฮ่องเต้ว่านลี่
ขันทีเฒ่าสีหน้าโกรธจัด แต่พอเห็นหวังทงก็อึ้งไป รีบยกปลายชุดขึ้นเดินเข้ามาอย่างเร็ว พุ่งไปทางหวังทง หวังทงปัดฝุ่นตามกางเกงออกก่อนจะยิ้มลุกขึ้น ดูซิว่าขันทีผู้นี้จะทำอันใด
น้องชายหานกังสองคนตามเข้ามาด้านหลัง ขันทีน้อยที่ตามมาก็ฉลาดไม่เบา รีบดึงตัวไว้ ขันทีเฒ่าสีหน้าโกรธเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ รอยยิ้มบนใบหน้าหวังทงยังคงเดิม
สองคนกำลังประชิดกัน หวังทงกำลังจะพูดอันใด ขันทีผู้นั้นก็เดินอ้อมหวังทงไปด้านหลัง หานกังถูกมัดอยู่ตรงนั้น ขันทีเฒ่าเดินไปหน้าหานกัง ถลกแขนเสื้อขึ้น ตบหน้าหานกังอย่างแรงหลายที คนในที่นั้นล้วนอึ้งสนิท
ได้ยินขันทีผู้นั้นตวาดด่าเสียงดังว่า
“เจ้าเดรัจฉานหาภัยมาสู่ตัว ตระกูลหานเราคงต้องโดนไปด้วยเพราะเจ้าเป็นแน่!!”
กล่าวจบ ยังตบบ้องหูไปอีกหลายที เสียง ‘ผัวะเผียะ’ ดังลั่น