ตอนที่ 678 ขันทีสำนักเครื่องใช้ส่วนพระองค์มาแล้วเป็นอย่างไร
เมืองหลวงชนชั้นสูงศักดิ์มีมาก การต่อสู้ข่มกันของมหาอำนาจเบื้องหลังก็มีให้เห็นมากมาก คนของสำนักรักษาความสงบยิ่งเห็นมามาก พวกเขาย่อมรู้ว่าเบื้องหลังหวังทงคือผู้ใด ไม่กังวลว่าจะเสียเปรียบ แต่ตอนนี้เป็นเช่นนี้ ก็คิดจะดูหานกังหน้าแตก
ทว่าเรื่องยังไม่ไปถึงที่พวกเขาคาดไว้ พอขันทีเฒ่าเข้ามา ก็ปรี่เข้าหาหานกัง ตบบ้องหูอย่างแรงไปทีหนึ่ง ทำเอารอบด้านเงียบกริบ
ไม่เพียงแต่หานกังจะตาค้าง แม้แต่ปากก็ค้าง ไม่รู้ว่าเกิดอันใดกันแน่ เด็กชายสองคนหน้าประตูเองก็อึ้งไปชั่วขณะ ส่งเสียงแผดร้องไห้ดังลั่น
ขันทีเฒ่าหันไปทางขันทีน้อยด้านหลังตวาดว่า
“พวกเจ้ายืนเซ่อทำอะไรกัน รีบพาเด็กสองคนนั่นไปกินขนมสิ ที่นี่ไม่มีอันใดแล้ว”
ขันทีน้อยที่ดึงตัวเด็กชายสองคนไว้ได้สติ ก็รีบพยักหน้ารับ กล่อมพาเด็กน้อยสองคนออกไป หานกังกำลังงง กล่าวว่า
“ปู่รอง ไอ้หมอนี่รังแกข้า ปู่มาตีข้าทำไมกัน!!”
พอกล่าวออกไป ขันทีเฒ่าก็ชี้หน้าหานกังมือสั่น ตวาดเสียงแหลมอย่างโกรธจัดว่า
“เจ้าเดรัจฉานหาเรื่องใส่ตัวแล้ว ตีเจ้าแล้วไง หากไม่เห็นแก่ปู่แก่พ่อเจ้าล่ะก็ ข้าจะฟันเจ้าทิ้งซะ!!”
หวังทงกระแอมไอดัง ในเมื่อผู้ใหญ่หนุนหลังหานกังรู้ความเช่นนี้ เรื่องนี้ก็ไม่สนุกสักเท่าไรแล้ว ปฏิบัติหน้าที่เสร็จแล้วรีบกลับดีกว่า คนฉลาดไหนเลยจะมองไม่ออกว่าการกระทำเช่นนี้ของขันทีเฒ่านั้นทำให้ผู้ใดดู หานกังร่างกายแข็งแรง ขันทีเฒ่าตบบ้องหูไปหลายทีก็แค่เจ็บๆ คันๆ
ได้ยินหวังทงกระแอมไอ ขันทีเฒ่าก็รีบหันหน้ามา ไม่กล้าอันใดก็คำนับทันที หานกังข้างๆ เห็นแล้ว ตาก็เบิกโตแทบทะลักออกมา
“ใต้เท้าหวัง หลานข้าน้อยคนนี้ไม่มีพ่อแม่อบรม มาเมืองหลวงแปลกถิ่นไม่คุ้นเคย มักถูกคนรังแก หากมีอันใดล่วงเกินใต้เท้า ขอใต้เท้าโปรดอภัย”
“ดูสถานะกงกงแล้ว เรียกตนเองว่า ข้าน้อย ต่อหน้าข้าใช่ว่าทำให้ข้าอายุสั้นหรือ หน้าคุ้นๆ ไม่ทราบว่าในวังท่านอยู่หน่วยงานใด จะเรียกขานท่านเช่นไรดี?”
อีกฝ่ายท่าทีสุภาพนอบน้อม ดังคำกล่าวที่ว่า ตีคนย่อมไม่ตีคนหน้ายิ้ม เมื่อครู่ที่หานกังว่ามาก็แสดงให้เห็นว่าเรื่องนี้บางทีอาจมิได้มีเจตนาล่วงเกิน วาจาหวังทงจึงเหมือนยังเปิดทางให้อยู่
หวังทงกล่าวเช่นนี้ ขันทีเฒ่าก็เบาใจลง ยิ้มกล่าวว่า
“ข้าน้อยหานไท่ผิง เป็นน้องชายของปู่เจ้าเด็กบ้าพวกนี้ ปฏิบัติหน้าที่ในสำนักเครื่องใช้ส่วนพระองค์ ตอนนี้ทำหน้าที่หัวหน้ากองควบคุมงาน”
“หานกงกงสถานะสูงส่ง เรียกตนเองว่า ข้า ก็พอ อย่าได้เรียกว่า ข้าน้อย เลย ไม่เช่นนี้หากแพร่เข้าไปในวัง ไม่รู้ว่าจะพูดถึงข้าหวังทงเช่นไร หานกงกงจำข้าได้รึ? ข้าเองก็คุ้นหน้าหานกงกงเช่นกัน!”
หัวหน้ากองสำนักเครื่องใช้ส่วนพระองค์ สำนักเครื่องใช้ส่วนพระองค์ในวังนับว่าเป็นงานที่อยู่ระดับต้นๆ ดูแลเครื่องใช้สอยในวัง เป็นงานที่มีค่าน้ำร้อนน้ำชามากหน่วยงานหนึ่ง ตั้งแต่เฝิงเป่าควบตำแหน่งหัวหน้าสำนักเครื่องใช้ส่วนพระองค์ก็พอดูออกแล้วว่างานนี้ดีอย่างไร สำนักเครื่องใช้ส่วนพระองค์ย่อมมีหัวหน้าสำนัก และรองลงไปยังมีหัวหน้ากองงานอีกสอง ก็คืองานคุมภายในและคุมภายนอก ชื่อเรียกง่ายๆ ว่า หัวหน้ากองคุมงาน แต่ก็มีอำนาจเรียกได้ว่าไม่น้อย
มิน่าเล่า หานกังจึงได้มั่นใจเพียงนี้ รู้สึกว่าพอผู้ใหญ่หนุนหลังมาถึง แม้แต่รองผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรคงต้องเปิดทาง ดูให้ดีแล้ว หน้ำตาหานไท่ผิงกับหานกังก็เหมือนกันอยู่ น่าจะเป็นญาติกันจริงๆ ไม่ใช่พวกหลานบุญธรรมอันใดพวกนั้น
ได้ยินหวังทงถาม หานไท่ผิงลังเลก่อนจะกล่าวขึ้นเบาๆ ว่า
“ใต้เท้าหวัง คืนนั้นข้าถูกส่งไปเฝ้าที่ห้องเครื่อง ฟ้าสางเป็นคนส่งซุปแพะและแผ่นเปี๊ยะผักดองไปให้ท่านกับเจ้านายผู้นั้น”
กล่าวได้ดูลึกลับ หวังทงก็เข้าใจ ด้านนอกข่าวลือไม่มี ในวังสั่งให้ปิดปากเรื่องลัทธิไตรสุริยันในวังก่อการ ไม่ให้คนนอกพูดไป แต่เรื่องซุปแพะนี้ ก็แสดงให้เห็นว่าขันทีผู้นี้ได้เห็นหวังทงที่ตำหนักพระสนมเอกเจิ้ง
ที่แท้มีวาสนาเคยได้พบกันเช่นนี้เอง หวังทงยิ้มพยักหน้ากล่าวว่า
“มิน่าเล่า หานกงกงจึงรู้จักข้า หานกังนี่เป็นญาติอย่างไรกับกงกงหรือ?”
นอกวังหาเรื่องหวังทง แต่ในวังรู้ว่าหวังทงสถานะใหญ่เพียงใด หานไท่ผิงเป็นถึงหัวหน้ากองงาน แต่ต่อหน้าหวังทงก็ยังมีท่าทางหวั่นๆ ไม่กล้าล่วงเกินแม้แต่น้อย เห็นสีหน้าหวังทงผ่อนลง เขาก็เบาใจลง รีบกล่าวตอบว่า
“เรียนใต้เท้าหวังตามตรง เจ้าบ้านี่เป็นหลานของพี่ชายแท้ๆ ข้าเอง ครอบครัวยากจน ตอนเด็กข้าถูกส่งเข้าวัง ทิ้งพี่ชายอยู่บ้าน ว่าไปแล้วก็ละอายนัก คนเข้าวังย่อมได้ดูแลครอบครัวข้างนอก แต่ข้าเข้าวังกลับต้องให้คนที่บ้านดูแล……”
หานไท่ผิงผู้นี้พูดจาวกวน แต่หวังทงก็สนใจฟังต่อ ไม่ขัดจังหวะกล่าวแทรก
“……ตอนอายุ 16 ล้มป่วย ต้องใช้ยาชั้นดี แต่ในวังสถานะเช่นข้า ไหนเลยจะมียาดีให้ใช้ ได้แต่รอความตาย จึงฝากจดหมายไปที่บ้าน ดูว่าหาทางให้ได้ไหม ปรากฏพี่ชายข้าขายที่นารวบรวมเงินส่งให้ข้ามาซื้อยานอกวังรักษาจนหาย……พี่ชายข้ากลับไปไม่รู้ทำมาหากินอันใดต่อ จึงไปสมัครเป็นทหาร ฝ่าฟันจนได้เป็นนายกอง ได้แต่งงานมีลูก..ต่อมาตายในสนามรบ……ลูกชายตอนไปลาดตระเวนเจอกับพวกมองโกล ก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย……แม่และภรรยาร้องไห้จากไปอีก น่าสงสารเขา กับน้องชายอีกสองคน ยังมีน้องสาวอีกคน ตนเองแค่ 15 ก็ต้องไปเป็นทหาร………”
เขาเล่าไม่หยุด ทุกคนฟังจนตกในภวังค์ หวังทงพยักหน้ายิ้มเล็กน้อยกล่าวว่า
“ที่แท้ตระกูลผู้กล้า!”
หานไท่ผิงเล่ามาก็เพื่อให้หวังทงใจอ่อน คิดไม่ถึงว่าจะได้คำยกย่องมา จึงอึ้งไป น้ำตาไหลอาบใบหน้า รีบยกมือขึ้นปาด กล่าวต่อน้ำเสียงก็แหบเครือ
“ใต้เท้ากล่าวเช่นนี้ พี่ชายกับหลานที่น่าสงสารข้าก็ไม่เสียดายแล้ว เขาให้คนข้างบ้านช่วยเลี้ยงน้องชายและน้องสาว ตนเองไปเป็นทหาร ใช้เบี้ยหวัดเลี้ยงน้อง สวรรค์คุ้มครอง ฝ่าบาทรงพระเมตตา ให้ข้าได้ก้าวขึ้นมาตำแหน่งนี้ได้ ข้าจึงฝากคนไปแจ้งที่เมืองจี้โจว รับพวกเขามาอยู่เมืองหลวง”
กล่าวถึงตรงนี้ หานไท่ผิงจึงได้เข้าสู่ประเด็น ขยี้ตาอย่างแรงกล่าวว่า
“ข้าอายุมากแล้ว เล่าอะไรก็พรั่งพรูไม่หยุด ใต้เท้าหวัง เด็กพวกนี้ท่านตีก็ตีได้ ด่าก็ด่าได้ เขาแต่เล็กไม่มีพ่อแม่สั่งสอน นิสัยจึงไร้การอบรม ปากก็พูดไร้คิด ขอใต้เท้าสั่งสอนได้เลย”
หวังทงยิ้ม หันไปถามขึ้น
“หานกัง เจ้าบอกว่าเข้ารับการฝึกครั้งนี้มาตามเจ้าคนเดียว เรื่องนี้ผู้ใดบอกเจ้า หรือว่าไม่มีคนเตือนเจ้าว่าการฝึกนี้เป็นทหารจากสองกองพัน?”
ถามออกไปเช่นนี้ และก็เป็นดังที่หวังทงคาดไว้ หานกังตาพองพูดไม่ออก ก่อนจะกล่าวว่า
“นายกองร้อยเหยียนถนนหลินพูดกับข้า บอกว่าองครักษ์เสื้อแพรมาใหม่ไม่รู้จักธรรมเนียม ล่วงเกินคนไม่น้อย การฝึกครั้งนี้ก็จงใจหาเรื่องข้าโดยเฉพาะ”
ได้ยินเช่นนี้ หวังทงยิ้มส่ายหน้า หานไท่ผิงสีหน้าดำคล้ำ อยากจะเข้าไปตบบ้องหูอีกสักที สุดท้ายได้แต่ถอนหายใจ กล่าวกับหวังทงว่า
“ใต้เท้าหวัง ไม่กลัวท่านหัวเราะเอา บอกตรงๆ เจ้าเด็กหานกังพอมาเมืองหลวงก็ไปพลั้งมือกับนายกองร้อยหัวหน้าเขาด้วยเรื่องเล็กน้อย ต่อมายังลงมือกับนายกองธงเล็กสองคนของตัวเองอีก ทั้งกองร้อยจึงไม่พอใจเขา ข้ายอมออกหน้าหนังเหี่ยวๆ นี่ไปเจรจา ก็ได้ข้อตกลงว่าไม่ต้องปฏิบัติหน้าที่ ให้อยู่เฉยๆ รับเบี้ยหวัดไป ไม่คิดหวังให้เขาเลี้ยงครอบครัว อย่างไรข้าก็มีให้ ขอแค่เขาสามพี่น้องได้มีสถานะในเมืองหลวงก็พอใจแล้ว”
“นายกองร้อยเหยียน?”
หวังทงหันไปทางคนนำทางของเก่อลี่ คนผู้นั้นสีหน้าเปลี่ยนทันที แอบด่าในใจ เข้าไปใกล้กระซิบว่า
“ใต้เท้า ถนนหลินอยู่ในการดูแลของนายกองพันเก่อ นายกองร้อยเหยียน……นายกองร้อยเหยียนก็คือคนของผู้ช่วยผู้บัญชาการเหยียน ……”
กล่าวถึงช่วงท้ายเสียงก็ยิ่งเบาลง ผู้ช่วยผู้บัญชาการเหยียนก็คือผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรเหยียนจิ้นจง วันนั้นก็มิได้ปรากฏตัวต้อนรับ เป็นหัวหน้าใหญ่คนหนึ่งขององครักษ์เสื้อแพร ตามคาด เรื่องใช่ว่าไร้สาเหตุ หวังทงพยักหน้า ยังไม่รอให้พูดจบ ก็ได้ยินหานกังตะโกนขึ้นว่า
“ปู่รอง ท่านยังพูดเรื่องพวกนั้นอีก เจ้านายกองร้อยสมควรตายนั่นรังแกแม่นาง แม่นางผู้นั้นกลับถึงบ้านเกือบผูกคอตาย ไม่ลงมือจัดการมันใครจะทำ คนของข้าสองคนดื่มเมาก่อเรื่องลงมือกับชายชราเกือบพิการ คนพวกนี้เดรัจฉานชัดๆ ปู่รอง ให้ข้ากลับเมืองจี้โจวเถอะ ข้ายอมติดตามแม่ทัพชีออกรบนอกด่าน หากไม่ยอมเป็นกระสอบหญ้าแฝงตัวหากินที่นี่”
“เจ้าอกตัญญู……”
ขันทีหานไท่ผิงโมโหจนหายใจไม่ทัน ชี้หน้าหานกัง คิดจะเข้าไปตบแต่ลงมือไม่ลง หวังทงส่ายหน้าเข้าไปจับมือหานไท่ผิงไว้ กล่าวว่า
“หานกงกง อย่าได้โมโหไป โมโหทำลายสุขภาพ ไม่ดี!”
หานไท่ผิงมองหานกัง ก่อนหันมองหวังทง คุกเข่าลงรีบขอร้องว่า
“ใต้เท้าหวัง ขอใต้เท้าเมตตา อย่าได้เอาเรื่องกับเจ้าบัดซบไร้หัวใจนี่เลย เขาขาดพ่อไร้แม่……”
หานกังเห็นภาพเช่นนี้ ก็คำรามอย่างโมโห ยังไม่ทันได้พูดอันใด ก็เห็นหวังทงประคองหานไท่ผิงขึ้นมา ยังปัดฝุ่นที่ชุดให้ด้วย หานไท่ผิงเองก็อึ้งไป หวังทงเดินไปหน้าหานกัง ยิ้มถามขึ้น
“เจ้าอยู่เมืองจี้โจวตำแหน่งอะไร สังหารมองโกลไปกี่คน?”
หานกังลังเลครู่หนึ่ง ก็ตอบอย่างภูมิใจว่า
“ข้าอยู่เมืองจี้โจวเป็นนายกองธงเล็ก ชัยชนะยิ่งใหญ่กู่เป่ยโข่ว ข้าสังหารมองโกลไปห้า แม้ไม่มาเมืองหลวง อยู่ที่นั่นก็ได้เป็นนายกองธงใหญ่แล้ว”
“วันหน้ามาเป็นคนของข้า เจ้าได้สังหารมองโกลอีกแน่นอน”
ได้ยินเช่นนี้ ในลานก็เงียบกริบ หานไท่ผิงตาค้างมองมา หานกังก็ยังคงไม่ทันตั้งสติได้ ถึงกับกล่าวทั้งที่ยังอึ้งๆ อยู่ว่า
“ติดตามท่านสังหารมองโกล เจ้าอยู่เมืองหลวงปฏิบัติหน้าที่ เคยสังหารศัตรูหรือ?”
ไม่ว่านอกเมืองเซวียนฝู่ หรือว่าชัยชนะยิ่งใหญ่ด่านกู่เป่ยโข่ว ทางการย่อมมิได้ป่าวประกาศความดีความชอบของหวังทง หานกังเป็นเพียงทหารตัวเล็กๆ ในสนามรบ ย่อมไม่เข้าใจสนามรบในตอนนั้น ไม่รู้ก็นับว่าเป็นเรื่องธรรมดา
“มองโกลตายในเงื้อมมือข้า ไม่เกินหมื่น แต่สองสามพันก็คงได้อยู่”